กว่าจะตัดสินใจเขียนเรื่องราวนี้เพื่อบอกเล่าสู่สังคมชาวพันทิป ต้องบอกเลยว่ามันยากที่จะบอกเล่าเป็นตัวหนังสือจนมาถึงวันนี้ 14/10/2557 มันถึงทางตันแล้วที่จะปรึกษาท่านผู้รู้อื่นๆ หรือขอคำแนะนำจากใคร เพราะเวลาที่ตัดสินใจไม่มีเลย
น้องจอย (ลูกสาวคนที่ป่วย) กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยของรับบาล(ปริญญาตรีปี 4 ปีสุดท้าย)แถวนางเลิ้ง และอยู่ในช่วงฝึกงานนอกสถานที่ ได้เกิดมีอาการไอ อย่างไม่ทราบสาเหตุ ไอไม่หยุด (อยู่ในช่วงเดือนกรกฏาคม 2556) จึงเข้ารับการตรวจเอ็กซเรย์ที่โรงบาลย่านอนุสาวรีชัยฯ พบก้อนเนื้อที่ทรวงอก จึงส่งตัวมารักษาที่ต้นสังกัด(บัตรทอง 30บาท)ที่ภูมิลำเนาเดิมฉะเชิงเทราและเริ่มวินิจฉัยก้อนเนื้อนั้นที่โรงพยาบาลที่ฉะเชิงเทรา โดยการเจาะเนื้อเยื่อไปพิสูจน์เพื่อหาว่าก้อนเนื้อนั้นคืออะไร (ทำการเจาะถึงสองครั้ง) ซึ่งก้ไม่สามารถสรุป"ด้ว่าเป็นอะไร จึงต้องทำเรื่องส่งต่อมารักษาตัว เพื่อผ่าเอาก้อนเนื้อนั้นมาพิสูจน์อีกครั้งที รพ.ราชวิถี จนผลสรุปออกมาว่าเป็น "มะเร็งต่อมน้ำเหลื่องระยะที่ 4"
เหมือนทุกอย่างสำหรับผมมันหยุดทั้งหมด คนที่เข้มแข็งที่สุดที่ผ่านมาคือผม แต่ตอนนี้คนที่เข้มแข็งที่สุดกับเป็นน้องจอย และภรรยาผม"พ่อไม่ต้องห่วงไม่ต้องกังวล หนูอายุยังน้อย หนู่ยังแข็งแรง พ่อสู้ๆ" เป็นคำปลอบที่น้องจอยปลอบผมอยู่ตลอดเวลา
เมื่อทราบผลว่าเป็น "มะเร็งต่อมน้ำเหลื่องระยะที่ 4" ก็เริ่มวางแผนการรักษาโดยการให้ "คีโม" 8ครั้ง โดยเริ่มให้ครั้งแรก 28/10/2556 โดยให้ครั้งละสองชั่วโมงต่อครั้ง แล้วเว้นไปประมาณ 21 วันเริ่มให้ครั้งต่อไป (ตอนนี้ให้ที่โรงพยาบาลราชวิถี) จนเส็รจสิ้นการให้ครั้งที่สาม ซึ่งหลายๆท่านเคยบอกว่าถ้าให้คีโมครั้งที่สามผ่านทุกอย่างก็จะดีขึ้น แล้วสิ่งที่เรากังวลก็เกิดขึ้น เมื่อน้องจอยร่างการเริ่มอ่อนแอ เกิดภาวะปอดติดเชื้อ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่สามารถนอนได้ หายใจเองไม่ได้ต้องอยู่กับเครื่องช่วยหายใจ(ในครั้งนี้ผมเอาลูกเข้ารักษาตัวที่ รพ.ฉะเชิงเทรา) ซึ่งได้ปรึกษากับทางคุณหมอแล้ว จะเป็นผลดีกว่าเดินทางไปมา ระหว่างกรุงเทพกับฉะเชิงเทรา (ต้องขอขอบคุณคุณหมอทั้งสองที่ ที่ท่านเต็มที่กับการรักษามาก) ในช่วงนี้ทำให้ต้องหยุดการให้คีโมทั้งหมดทันที ช่วงนี้เป็นช่วงที่วิกฤต ที่สุด หลายครั้งที่คุณหมอเรียกผมและภรรยา
เข้าไปพูดคุยเรื่องการรักษาตลอด สิ่งที่คุณหมอถามและบอกตลอดคือ "น้องอาจไม่ได้กลับบ้านแล้วนะ" อาจต้องเจาะคอน้องนะ เพราะภาวะปอดติดเชื้อดื้อยาไม่ตอบสนองการรักษา ตอนนี้น้องจอยถูกนำตัวมาห้องแยก(ห้องปลอดเชื้อ) สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือ
1. ไม่ยอมให้เจาะคอน้อง
2. หมอที่จะรักษาทางพระทางหมอดูเริ่มหาหมด
3.ยาสมุนไพร (มีมาให้จากทุกทิศทุกทาง)ต้องขอบพระคุณมาก
4.อธิฐาน
แต่ก็ยังรักษากับทางหมอปัจจุบันอยู่ เพราะถือว่าจุดที่ทำให้รู้ว่าน้องจอยเป็นอะไรนั้น มาจากการค้นหาของแพทย์แผนปัจจุบันทั้งสิ้น
ต้องบอกว่าโดยปกติผมและครอบครัวจะทำกิจกรรมทางพุทธศาสนามาก จนแฟนผมต้องเอยปากว่า "ถ้าเจ้ากรรมนายเวรมีจริงจะเอากันให้ตายเลยหรือถ้าเอาให้ตายกันเลย เวรกรรมก็คงใช้กันไม่หมดเพราะไม่รู้ว่ามีเวรกรรมอะไรบ้าง ทำไมไม่เข้าโอกาศสร้างบุญสร้างกุศลกันบ้าง เวรกรรมต่างๆจะได้เบาบางลงและไม่มีกรรมต่อกันและกัน"
หลังจากนั้นทางคุณหมอก็บอกว่าจำเป็นต้องให้ยาต้านเชื้อที่แรงที่สุด ถ้าครั้งนี้ยังดื้อยาอยู่ทุกอย่างก็......จบ ถึงอย่างไรเราก็ต้องยอมตามคุณหมอหวังว่าสิ่งต่างๆที่ครอบครัวเราสร้างมา และเจ้ากรรมนายเวร คงให้โอกาสเราบ้าง ...แล้วสิ่งต่างๆที่เราคาดหวังก็ดีขึ้นตามลำดับ น้องเริ่มรู้สึกตัว เริ่มสวดมนต์ได้ แต่ยังใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ เริ่มนอนตะแคงได้ (นอนหงายยังไม่ได้) แนวโน้มเริ่มดีขึ้น ทุกคนเริ่มมีความหวังมากขึ้น แต่ต้องอยู่ในการดูแลของคุณหมออย่างใกล้ชิด
เมื่อลูกสาวผม(อายุ23ปี)เป็น"มะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะที่4"
น้องจอย (ลูกสาวคนที่ป่วย) กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยของรับบาล(ปริญญาตรีปี 4 ปีสุดท้าย)แถวนางเลิ้ง และอยู่ในช่วงฝึกงานนอกสถานที่ ได้เกิดมีอาการไอ อย่างไม่ทราบสาเหตุ ไอไม่หยุด (อยู่ในช่วงเดือนกรกฏาคม 2556) จึงเข้ารับการตรวจเอ็กซเรย์ที่โรงบาลย่านอนุสาวรีชัยฯ พบก้อนเนื้อที่ทรวงอก จึงส่งตัวมารักษาที่ต้นสังกัด(บัตรทอง 30บาท)ที่ภูมิลำเนาเดิมฉะเชิงเทราและเริ่มวินิจฉัยก้อนเนื้อนั้นที่โรงพยาบาลที่ฉะเชิงเทรา โดยการเจาะเนื้อเยื่อไปพิสูจน์เพื่อหาว่าก้อนเนื้อนั้นคืออะไร (ทำการเจาะถึงสองครั้ง) ซึ่งก้ไม่สามารถสรุป"ด้ว่าเป็นอะไร จึงต้องทำเรื่องส่งต่อมารักษาตัว เพื่อผ่าเอาก้อนเนื้อนั้นมาพิสูจน์อีกครั้งที รพ.ราชวิถี จนผลสรุปออกมาว่าเป็น "มะเร็งต่อมน้ำเหลื่องระยะที่ 4"
เหมือนทุกอย่างสำหรับผมมันหยุดทั้งหมด คนที่เข้มแข็งที่สุดที่ผ่านมาคือผม แต่ตอนนี้คนที่เข้มแข็งที่สุดกับเป็นน้องจอย และภรรยาผม"พ่อไม่ต้องห่วงไม่ต้องกังวล หนูอายุยังน้อย หนู่ยังแข็งแรง พ่อสู้ๆ" เป็นคำปลอบที่น้องจอยปลอบผมอยู่ตลอดเวลา
เมื่อทราบผลว่าเป็น "มะเร็งต่อมน้ำเหลื่องระยะที่ 4" ก็เริ่มวางแผนการรักษาโดยการให้ "คีโม" 8ครั้ง โดยเริ่มให้ครั้งแรก 28/10/2556 โดยให้ครั้งละสองชั่วโมงต่อครั้ง แล้วเว้นไปประมาณ 21 วันเริ่มให้ครั้งต่อไป (ตอนนี้ให้ที่โรงพยาบาลราชวิถี) จนเส็รจสิ้นการให้ครั้งที่สาม ซึ่งหลายๆท่านเคยบอกว่าถ้าให้คีโมครั้งที่สามผ่านทุกอย่างก็จะดีขึ้น แล้วสิ่งที่เรากังวลก็เกิดขึ้น เมื่อน้องจอยร่างการเริ่มอ่อนแอ เกิดภาวะปอดติดเชื้อ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่สามารถนอนได้ หายใจเองไม่ได้ต้องอยู่กับเครื่องช่วยหายใจ(ในครั้งนี้ผมเอาลูกเข้ารักษาตัวที่ รพ.ฉะเชิงเทรา) ซึ่งได้ปรึกษากับทางคุณหมอแล้ว จะเป็นผลดีกว่าเดินทางไปมา ระหว่างกรุงเทพกับฉะเชิงเทรา (ต้องขอขอบคุณคุณหมอทั้งสองที่ ที่ท่านเต็มที่กับการรักษามาก) ในช่วงนี้ทำให้ต้องหยุดการให้คีโมทั้งหมดทันที ช่วงนี้เป็นช่วงที่วิกฤต ที่สุด หลายครั้งที่คุณหมอเรียกผมและภรรยา
เข้าไปพูดคุยเรื่องการรักษาตลอด สิ่งที่คุณหมอถามและบอกตลอดคือ "น้องอาจไม่ได้กลับบ้านแล้วนะ" อาจต้องเจาะคอน้องนะ เพราะภาวะปอดติดเชื้อดื้อยาไม่ตอบสนองการรักษา ตอนนี้น้องจอยถูกนำตัวมาห้องแยก(ห้องปลอดเชื้อ) สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือ
1. ไม่ยอมให้เจาะคอน้อง
2. หมอที่จะรักษาทางพระทางหมอดูเริ่มหาหมด
3.ยาสมุนไพร (มีมาให้จากทุกทิศทุกทาง)ต้องขอบพระคุณมาก
4.อธิฐาน
แต่ก็ยังรักษากับทางหมอปัจจุบันอยู่ เพราะถือว่าจุดที่ทำให้รู้ว่าน้องจอยเป็นอะไรนั้น มาจากการค้นหาของแพทย์แผนปัจจุบันทั้งสิ้น
ต้องบอกว่าโดยปกติผมและครอบครัวจะทำกิจกรรมทางพุทธศาสนามาก จนแฟนผมต้องเอยปากว่า "ถ้าเจ้ากรรมนายเวรมีจริงจะเอากันให้ตายเลยหรือถ้าเอาให้ตายกันเลย เวรกรรมก็คงใช้กันไม่หมดเพราะไม่รู้ว่ามีเวรกรรมอะไรบ้าง ทำไมไม่เข้าโอกาศสร้างบุญสร้างกุศลกันบ้าง เวรกรรมต่างๆจะได้เบาบางลงและไม่มีกรรมต่อกันและกัน"
หลังจากนั้นทางคุณหมอก็บอกว่าจำเป็นต้องให้ยาต้านเชื้อที่แรงที่สุด ถ้าครั้งนี้ยังดื้อยาอยู่ทุกอย่างก็......จบ ถึงอย่างไรเราก็ต้องยอมตามคุณหมอหวังว่าสิ่งต่างๆที่ครอบครัวเราสร้างมา และเจ้ากรรมนายเวร คงให้โอกาสเราบ้าง ...แล้วสิ่งต่างๆที่เราคาดหวังก็ดีขึ้นตามลำดับ น้องเริ่มรู้สึกตัว เริ่มสวดมนต์ได้ แต่ยังใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ เริ่มนอนตะแคงได้ (นอนหงายยังไม่ได้) แนวโน้มเริ่มดีขึ้น ทุกคนเริ่มมีความหวังมากขึ้น แต่ต้องอยู่ในการดูแลของคุณหมออย่างใกล้ชิด