ห้องอาหารในคฤหาสหลายสิบล้าน คนกลุ่มหนึ่งกำลังคุยกันเสียงดังท่ามกลางมื้ออาหารราคาแพง ผู้คนในวัยผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกือบ 5 ถึง 6 รอบ มีทั้งหญิงชายล้วนประดับร่างกายด้วยสร้อยแหวนมีค่า เสื้อผ้าแบรนด์เนมราคาแพงระยับ พวกเขาจับกลุ่มคุยกันบนโต๊ะอาหารสุดหรู
"เสี่ยเม้งจะทำอย่างไรหากมีการใช้กฎหมายภาษีที่ดินจริงๆ แล้วที่ดิน 200 กว่าไร่ที่สุพรรณมีคนสนใจหรือยังล่ะ
"ถ้ากฎหมายนั่นถูกบังคับใช้ก่อนที่ผมจะขายที่ดินแปลงนั้นได้คงจะเดือดร้อนกันถ้วนหน้าเลย เคยมีนายทุนชาวไทยมาติดต่อไว้เหมือนกันแต่พอมีข่าวว่าจะประกาศใช้ภาษีที่ดิน นายทุนพวกนั้นมันก็เตรียมจะกดราคาที่ดินทันทีเลย เลวมาก!"
เสี่ยเม้งพูดขึ้นด้วยอารมณ์เซ็ง
"ใครเลว นายทุนหรือรัฐบาล"
"ก็ทั้งสองน่ะแหล่ะ ไม่รู้มันจะรีบประกาศหาพระแสงอะไรตอนนี้ แต่ยังโชคดีนะที่ผมดีลไว้กับพวกนายทุนจากตะวันออกกลางไว้แล้ว พวกนี้ไม่ต่อราคาสักคำพร้อมจะทุ่มเงินทุกเมื่อ"
เสี่ยเม้งกระดกไวน์ราคาขวดละหลายหมื่นเข้าปากก่อนจะพูดต่อ
"แล้วเสี่ยป๋อเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ที่ดิน 800 กว่าไร่มีโอกาสจะขายได้ก่อนมั้ย"
"ใจเย็นเสี่ยเม้ง ไม่ต้องไปรีบร้อนกับเรื่องพวกนี้หรอก ขอแค่เรามีเงินเสียหน่อย การทำธุรกิจของเราก็จะง่ายลงไปทันที ถือเสียว่าบริจาคเงินให้พวกข้าราชการสัก 10 หรือ 20 ล้าน แต่เราไม่ต้องเสียส่วนต่างไปเป็นร้อยๆล้าน คิดดูสิว่ามันคุ้มกันหรือไม่"
เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังลั่น แต่นั่นก็ไม่ได้เรียกความสนใจจากพวกผู้หญิงที่ไปดึงหน้าจนตึงเปรี๊ยะ พวกเธอกำลังใช้สมาธิอยู่กับการถอดเครื่องประดับเพชรมาโอ้อวดให้คนอื่นๆดู
"จะดีเหรอเสี่ยป๋อ ติดสินบนเจ้าหน้าที่มีความผิดร้ายแรงนะ"
"โธ่เสี่ย ไม่ใช่เรื่องนี้เสี่ยจะไม่รู้ คุกน่ะมีไว้ขังหมา คนจนๆและคนโง่เท่านั้นแหละ กฎหมายไม่สามารถใช้กับคนแบบเราได้หรอก จริงมั้ย"
เสียงหัวเราะจากทั้งคู่ดังลั่นอีกครั้ง
---------------------------------------------------------------------
ลานกลางบ้านไม้เก่าๆ มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงกินข้าวกับพื้นบ้าน แต่ละคนต่างจกข้าวเหนียวและจิ้มมันลงในน้ำแกงก่อนเอาใส่ปาก
"ที่นาของจอนขายไปหรือยัง"
กำธรพูดในระหว่างที่เคี้ยวข้าวไปด้วย
"ที่ตรงนั้นเสี่ยป๋อมาเอาไปแล้ว 3 ไร่ได้มาล้านกว่าบาท"
เชิดตอบ
"มันจะบ้าหรือไงวะ ที่ตั้ง 3 ไร่ได้เงินมาแค่ล้านกว่าบาท แล้วต่อไปมันจะไปทำอะไรกิน"
"ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ไอ้จอนมันดันไปกู้เงินเสี่ยป๋อมาทำนาน่ะสิ แล้วฝนฟ้าบ้านเราเอย ไหนจะน้ำท่วมเมื่อปีที่แล้วอีก ยืมเงินเสี่ยมาแค่ 3 แสน ผ่านไป 3 ปีกลายเป็นเกือบ 2 ล้าน นี่ถ้าไอ้จอนมันไม่รีบตัดสินใจขายตอนนี้นะ ต่อไปมันต้องยกที่ดินให้ไอ้เสี่ยป๋อนั่นฟรีๆเลยรู้มั้ย"
"อืม เราคนจนก็ต้องทุกข์ทนไปตลอดชาติแหล่ะว่ะ แล้วต่อไปมันจะไปทำนาที่ไหน"
กำธรพูดจบก่อนจะกระดกเหล้าขาวใส่ปากรวดเดียว ในชีวิตของเขาแล้วคงมีแค่เหล้าขาวนี่แหล่ะ ที่พอจะทำให้เขาลืมเลือนความทุกข์ไปได้บ้าง แม้จะแค่ชั่วคราว
"ก็คงเหมือนคนอื่นๆน่ะ พอนายทุนยึดที่นาไป เราก็ไปเช่านาที่เดิมจากนั้นทุนนั้นทำนาต่อไป"
ถึงคราวที่เชิดจะกระดกเหล้าขาวลงคอบ้าง เหตุผลที่เขาดื่มเหล้าข้าวก็เหมือนกับที่กำธรดื่ม
"แล้วนายทุนพวกนั้นมันจะคุ้มทุนเหรอวะ ซื้อมาเป็นล้าน มาปล่อยให้เราเช่าปีสองสามหมื่น"
"ไม่หรอก ไอ่พวกนี้มันก็ประกาศขายที่ดินไปด้วย ถ้าได้ราคาดีหน่อยมันก็ไล่คนทำนาออกแล้วปล่อยขายทันทีเลย มันซื้อไปเกร็งกำไรไง"
"อ่อ เป็นอย่างนี้นี่เอง"
กำธรเตรียมรินเหล้าขาวลงในแก้วเดิมอีกครั้ง เพราะความทุกข์ของเขามันมากมายเหลือเกินที่เหล้าแค่แกัวเดียวจะระงับมันอยู่
"แต่เห็นเขาคุยกันว่ารัฐจะใช้ภาษีที่ดินเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องการซื้อที่ดินไปเกร็งกำไร แต่ก็ไม่รู้นะว่าจะช่วยยังไง เห็นเขาว่าไวัอย่างนั้น"
เชิดพูด
"เออ มีอะไรก็รีบเอาออกมาใช้เถอะ ขอให้มันพอช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นได้บ้าง ตอนนี้เราเลิกพูดถึงไอ้จอนมันก่อนดีกว่า ยิ่งพูดถึงก็เครียดแทนแล้ว พรุ่งนี้เราก็คงต้องไปขอเช่าที่นาเสื่ยเม้งเพื่อเอาไว้ทำหน้าปีหน้าต่อไป"
กำธรพูดจบและนิ่งไปสักครู่หนึ่งก่อนจะตะโกนระบายอารมณ์ออกมา
"เครียดโว้ย!! นังหนู ไปแปะเหล้าที่ร้านเจ๊เพ็ญมาขวดนึง"
---------------------------------------------------------------------
กำธรก้มเด็ดต้นข้าวที่มีร่องรอยการกัดแทะของเพลี้ยกระโดดในแปลงนาของเขา ต้นข้าวอีกหลายต้นที่อยู่ในนาข้าวอีกกว่าสิบไร่สภาพก็ไม่ต่างไปจากนี้ กำธรไม่มีน้ำที่ไหลรินออกจากตาเพื่อจะระบายความคับแค้นใจอีกต่อไป เขารู้ตัวมานานแล้วว่าครั้งแรกของการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงที่นายทุนเอามาแจกฟรีๆเมื่อ 5 ปีก่อนมันจะเป็นสาเหตุให้ข้าวของขาวเริ่มให้ผลผลิตน้อยในปีนี้ แต่เมื่อเคยใช้มันไปแล้วครั้งหนึ่งก็เหมือนกับโดนคำสาบให้ต้องใช้มันไปตลอด สุขภาพของกำธรก็เริ่มจะแย่ลงจากการสูดดมสารเคมีเข้าไปในร่างกาย ทำให้เขามีโรคแทรกซ้อนใหม่ๆ แต่นั่นก็ไม่ทำให้กำธรหนักใจมากไปกว่าการที่เขาไม่มีผลผลิตไปขายเพื่อเอาเงินมาใช้จ่ายในบ้าน ไม่มีเงินส่งค่าเทอมให้ลูกสาว
และในตอนนี้เองเข้ารู้แล้วว่านายทุนที่เอาปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงมาให้เขาฟรีนั้นเพื่ออะไร เพราะเมื่อไม่นานมานี้นายทุนคนนั้นพยายามที่จะมาขอซื้อที่ดินจากเขาในราคาถูก และหนี้สินจากการทำนาก็เป็นตัวผลักดันอีกอย่างที่ทำให้กำธรอาจจะต้องขายที่นา
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้กำธรครุ่นคิดในหัวมาตลอดว่าเขาทำผิดอะไรนักหนา จึงต้องถูกสังคมลงโทษเช่นนี้ กำธรจำได้ว่าเขาปลูกข้าวเลี้ยงคนมาตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ ตอนนี้เขาจะ 60 แล้ว มีคนในสังคมที่โตมาเพราะข้าวของกำธรหลายหมื่นหลายแสนคน แต่สิ่งนี้หรือคือผลตอบแทนที่เขาควรได้รับ
กำธรมองไปที่แกลลอนยาฆ่าแมลงที่นายทุนคนนั้นแจกให้เขาฟรีๆทุกปี เขาคิดว่าจะขอใช้ยาฆ่าแมลงครั้งสุดท้ายในชีวิตนี้โดยพยายามจะกรอกใส่ปากตัวเองเพื่อฆ่าตัวตาย แต่ยังไม่ทันที่กำธรจะบิดเกลียวฝาแกลลอนครบรอบ กำธรคิดถึงสิ่งที่เขารักมากที่สุดในชีวิต นั่นก็คือลูกสาวของเขานั่นเอง กำธรบิดฝาเกลียวแกลลอนยาฆ่าแมลงกลับให้ปิดแน่นเหมือนเดิน
กำธร ชาวนาไทยผู้ปลูกข้าวมากว่า 40 ปี
"เสี่ยเม้งจะทำอย่างไรหากมีการใช้กฎหมายภาษีที่ดินจริงๆ แล้วที่ดิน 200 กว่าไร่ที่สุพรรณมีคนสนใจหรือยังล่ะ
"ถ้ากฎหมายนั่นถูกบังคับใช้ก่อนที่ผมจะขายที่ดินแปลงนั้นได้คงจะเดือดร้อนกันถ้วนหน้าเลย เคยมีนายทุนชาวไทยมาติดต่อไว้เหมือนกันแต่พอมีข่าวว่าจะประกาศใช้ภาษีที่ดิน นายทุนพวกนั้นมันก็เตรียมจะกดราคาที่ดินทันทีเลย เลวมาก!"
เสี่ยเม้งพูดขึ้นด้วยอารมณ์เซ็ง
"ใครเลว นายทุนหรือรัฐบาล"
"ก็ทั้งสองน่ะแหล่ะ ไม่รู้มันจะรีบประกาศหาพระแสงอะไรตอนนี้ แต่ยังโชคดีนะที่ผมดีลไว้กับพวกนายทุนจากตะวันออกกลางไว้แล้ว พวกนี้ไม่ต่อราคาสักคำพร้อมจะทุ่มเงินทุกเมื่อ"
เสี่ยเม้งกระดกไวน์ราคาขวดละหลายหมื่นเข้าปากก่อนจะพูดต่อ
"แล้วเสี่ยป๋อเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ที่ดิน 800 กว่าไร่มีโอกาสจะขายได้ก่อนมั้ย"
"ใจเย็นเสี่ยเม้ง ไม่ต้องไปรีบร้อนกับเรื่องพวกนี้หรอก ขอแค่เรามีเงินเสียหน่อย การทำธุรกิจของเราก็จะง่ายลงไปทันที ถือเสียว่าบริจาคเงินให้พวกข้าราชการสัก 10 หรือ 20 ล้าน แต่เราไม่ต้องเสียส่วนต่างไปเป็นร้อยๆล้าน คิดดูสิว่ามันคุ้มกันหรือไม่"
เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังลั่น แต่นั่นก็ไม่ได้เรียกความสนใจจากพวกผู้หญิงที่ไปดึงหน้าจนตึงเปรี๊ยะ พวกเธอกำลังใช้สมาธิอยู่กับการถอดเครื่องประดับเพชรมาโอ้อวดให้คนอื่นๆดู
"จะดีเหรอเสี่ยป๋อ ติดสินบนเจ้าหน้าที่มีความผิดร้ายแรงนะ"
"โธ่เสี่ย ไม่ใช่เรื่องนี้เสี่ยจะไม่รู้ คุกน่ะมีไว้ขังหมา คนจนๆและคนโง่เท่านั้นแหละ กฎหมายไม่สามารถใช้กับคนแบบเราได้หรอก จริงมั้ย"
เสียงหัวเราะจากทั้งคู่ดังลั่นอีกครั้ง
---------------------------------------------------------------------
ลานกลางบ้านไม้เก่าๆ มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงกินข้าวกับพื้นบ้าน แต่ละคนต่างจกข้าวเหนียวและจิ้มมันลงในน้ำแกงก่อนเอาใส่ปาก
"ที่นาของจอนขายไปหรือยัง"
กำธรพูดในระหว่างที่เคี้ยวข้าวไปด้วย
"ที่ตรงนั้นเสี่ยป๋อมาเอาไปแล้ว 3 ไร่ได้มาล้านกว่าบาท"
เชิดตอบ
"มันจะบ้าหรือไงวะ ที่ตั้ง 3 ไร่ได้เงินมาแค่ล้านกว่าบาท แล้วต่อไปมันจะไปทำอะไรกิน"
"ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ไอ้จอนมันดันไปกู้เงินเสี่ยป๋อมาทำนาน่ะสิ แล้วฝนฟ้าบ้านเราเอย ไหนจะน้ำท่วมเมื่อปีที่แล้วอีก ยืมเงินเสี่ยมาแค่ 3 แสน ผ่านไป 3 ปีกลายเป็นเกือบ 2 ล้าน นี่ถ้าไอ้จอนมันไม่รีบตัดสินใจขายตอนนี้นะ ต่อไปมันต้องยกที่ดินให้ไอ้เสี่ยป๋อนั่นฟรีๆเลยรู้มั้ย"
"อืม เราคนจนก็ต้องทุกข์ทนไปตลอดชาติแหล่ะว่ะ แล้วต่อไปมันจะไปทำนาที่ไหน"
กำธรพูดจบก่อนจะกระดกเหล้าขาวใส่ปากรวดเดียว ในชีวิตของเขาแล้วคงมีแค่เหล้าขาวนี่แหล่ะ ที่พอจะทำให้เขาลืมเลือนความทุกข์ไปได้บ้าง แม้จะแค่ชั่วคราว
"ก็คงเหมือนคนอื่นๆน่ะ พอนายทุนยึดที่นาไป เราก็ไปเช่านาที่เดิมจากนั้นทุนนั้นทำนาต่อไป"
ถึงคราวที่เชิดจะกระดกเหล้าขาวลงคอบ้าง เหตุผลที่เขาดื่มเหล้าข้าวก็เหมือนกับที่กำธรดื่ม
"แล้วนายทุนพวกนั้นมันจะคุ้มทุนเหรอวะ ซื้อมาเป็นล้าน มาปล่อยให้เราเช่าปีสองสามหมื่น"
"ไม่หรอก ไอ่พวกนี้มันก็ประกาศขายที่ดินไปด้วย ถ้าได้ราคาดีหน่อยมันก็ไล่คนทำนาออกแล้วปล่อยขายทันทีเลย มันซื้อไปเกร็งกำไรไง"
"อ่อ เป็นอย่างนี้นี่เอง"
กำธรเตรียมรินเหล้าขาวลงในแก้วเดิมอีกครั้ง เพราะความทุกข์ของเขามันมากมายเหลือเกินที่เหล้าแค่แกัวเดียวจะระงับมันอยู่
"แต่เห็นเขาคุยกันว่ารัฐจะใช้ภาษีที่ดินเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องการซื้อที่ดินไปเกร็งกำไร แต่ก็ไม่รู้นะว่าจะช่วยยังไง เห็นเขาว่าไวัอย่างนั้น"
เชิดพูด
"เออ มีอะไรก็รีบเอาออกมาใช้เถอะ ขอให้มันพอช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นได้บ้าง ตอนนี้เราเลิกพูดถึงไอ้จอนมันก่อนดีกว่า ยิ่งพูดถึงก็เครียดแทนแล้ว พรุ่งนี้เราก็คงต้องไปขอเช่าที่นาเสื่ยเม้งเพื่อเอาไว้ทำหน้าปีหน้าต่อไป"
กำธรพูดจบและนิ่งไปสักครู่หนึ่งก่อนจะตะโกนระบายอารมณ์ออกมา
"เครียดโว้ย!! นังหนู ไปแปะเหล้าที่ร้านเจ๊เพ็ญมาขวดนึง"
---------------------------------------------------------------------
กำธรก้มเด็ดต้นข้าวที่มีร่องรอยการกัดแทะของเพลี้ยกระโดดในแปลงนาของเขา ต้นข้าวอีกหลายต้นที่อยู่ในนาข้าวอีกกว่าสิบไร่สภาพก็ไม่ต่างไปจากนี้ กำธรไม่มีน้ำที่ไหลรินออกจากตาเพื่อจะระบายความคับแค้นใจอีกต่อไป เขารู้ตัวมานานแล้วว่าครั้งแรกของการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงที่นายทุนเอามาแจกฟรีๆเมื่อ 5 ปีก่อนมันจะเป็นสาเหตุให้ข้าวของขาวเริ่มให้ผลผลิตน้อยในปีนี้ แต่เมื่อเคยใช้มันไปแล้วครั้งหนึ่งก็เหมือนกับโดนคำสาบให้ต้องใช้มันไปตลอด สุขภาพของกำธรก็เริ่มจะแย่ลงจากการสูดดมสารเคมีเข้าไปในร่างกาย ทำให้เขามีโรคแทรกซ้อนใหม่ๆ แต่นั่นก็ไม่ทำให้กำธรหนักใจมากไปกว่าการที่เขาไม่มีผลผลิตไปขายเพื่อเอาเงินมาใช้จ่ายในบ้าน ไม่มีเงินส่งค่าเทอมให้ลูกสาว
และในตอนนี้เองเข้ารู้แล้วว่านายทุนที่เอาปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงมาให้เขาฟรีนั้นเพื่ออะไร เพราะเมื่อไม่นานมานี้นายทุนคนนั้นพยายามที่จะมาขอซื้อที่ดินจากเขาในราคาถูก และหนี้สินจากการทำนาก็เป็นตัวผลักดันอีกอย่างที่ทำให้กำธรอาจจะต้องขายที่นา
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้กำธรครุ่นคิดในหัวมาตลอดว่าเขาทำผิดอะไรนักหนา จึงต้องถูกสังคมลงโทษเช่นนี้ กำธรจำได้ว่าเขาปลูกข้าวเลี้ยงคนมาตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ ตอนนี้เขาจะ 60 แล้ว มีคนในสังคมที่โตมาเพราะข้าวของกำธรหลายหมื่นหลายแสนคน แต่สิ่งนี้หรือคือผลตอบแทนที่เขาควรได้รับ
กำธรมองไปที่แกลลอนยาฆ่าแมลงที่นายทุนคนนั้นแจกให้เขาฟรีๆทุกปี เขาคิดว่าจะขอใช้ยาฆ่าแมลงครั้งสุดท้ายในชีวิตนี้โดยพยายามจะกรอกใส่ปากตัวเองเพื่อฆ่าตัวตาย แต่ยังไม่ทันที่กำธรจะบิดเกลียวฝาแกลลอนครบรอบ กำธรคิดถึงสิ่งที่เขารักมากที่สุดในชีวิต นั่นก็คือลูกสาวของเขานั่นเอง กำธรบิดฝาเกลียวแกลลอนยาฆ่าแมลงกลับให้ปิดแน่นเหมือนเดิน