ฉันไม่ใช่นักเขียน….แต่เป็นแค่นักเล่าเรื่องคนหนึ่งเท่านั้น
ก็อย่างที่จั่วหัวเรื่องนั่นแหละค่ะ ฉันไม่ใช่นักเขียน แต่เป็นแค่นักเล่าเรื่อง ที่ขอให้ประสพพบเหตุ เอ้ย พบเห็นเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคนใกล้ตัว หรือคนแปลกหน้า เรื่องสัพเพเหระ ดราม่า หรือว่าหรรษา เป็นต้องร่ายเรียงออกมาเป็นตัวอักษร ถ่ายทอดให้ทุกๆคนได้ฟังกัน
และเรื่องที่ฉันกำลังจะเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้นที่ *ท่าอากาศยานฮาร์ตสฟีลด์ แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ระหว่างที่รอต่อเครื่องจะกลับบ้านเมื่อปีกลาย
กว่าเครื่องบินที่ฉันโดยสารจะออกก็ตั้งร่วมสองชั่วโมง ฉันก็เลยฆ่าเวลาช่วงนั้น ด้วยการเดินดูข้าวของในร้านค้าต่างๆ จิบกาแฟ กินอาหารว่าง ก่อนจะแยกออกมานั่งโดดๆที่เก้าอี้ยาว มองผ่านผนังกระจก ต่ำลงไปที่ลาน เครื่องบินจอดเรียงรายเป็นทิวแถว ครั้นเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า ก็เห็นเมฆนับร้อยนับพันลอยฟ่อง ในรูปทรงที่ต่างกัน
คิดแล้วก็น่ามหัศจรรย์ใจเหลือหลาย ตอนนี้ฉันทำได้แค่มองมัน แต่สักประเดี๋ยวเมื่อฉันขึ้นไปอยู่บนเครื่องบิน เมฆที่สูงลิบ เกินกว่าจะฉันจะเอื้อม มันกลับลอยฟ่องอยู่ข้างตัว แค่เปิดหน้าต่างอออกไป เอื้อมมือไปนิดเดียวก็ถึงมัน
แค่คิดเท่านั้นแหละค่ะ ขืนทำอย่างนั้นจริงๆ เมฆก็ไม่ได้ ดีไม่ดี ตัวเองอาจจะลอยละล่องหลุดร่วงไปในห้วงเวหา
ความคิดฉันสะดุด เมื่อชายใส่สูตรหน้าตาเกือบดี มานั่งแปะที่ปลายเก้าอี้อีกด้าน ทั้งที่เก้าอี้ตัวถัดไปก็ว่าง
ทำไม คุณจะต้องมานั่งเก้าอี้เดียวกับฉันด้วย ฉันอยากจะถามเขาอย่างนั้น โกรธ ที่เขามาขัดจังหวะ ความคิดที่ไหลลื่นของฉัน
แต่ฉัน ก็โกรธเขาไม่ได้ได้นานหรอกนะ เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ สนามบินไม่ใช่ของฉัน แล้วตรงที่ฉันนั่ง ก็ไม่ได้ติดป้าย
ห้ามนั่งเกินสองคน
แค่เขามานั่งด้วย ฉันก็เคืองพออยู่แล้ว แต่นี่พ่อเจ้าประคุณยิ่งทำให้ฉันเคืองขัดหนักขึ้น เพราะพอนั่งลงได้เท่านั้น เขาก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม พูดโทรศัพท์ ดังๆ ไม่หยุดหย่อน วนมาวนไปอยู่แต่
หุ้นขึ้นลง
การเมือง
เพาะกาย
คงเพราะแต่ละเรื่องที่เขาพูดมานั้น มันไม่ได้อยู่ในความสนใจของฉันแม้แต่น้อย หลังจากทนฟังเขาพูดมาครู่ใหญ่ๆ ฉันก็เลยกวาดตาไปรอบๆ พอเห็นที่นั่งใหม่ ที่อยู่ด้านโน้น ฉันก็ลุกขึ้นช้าๆ ไม่ได้ร่ำลา แค่ยิ้มให้นิดๆ พร้อมกับสื่อผ่านทางสายตา เหมือนจะบอกเขาว่า ฉันไม่ได้โกรธเคืองอะไรคุณนะ แต่มีเหตุจะต้องไป
เขายิ้มตอบกลับมา ทำเอาฉันแอบรู้สึกผิดนิดๆ และอดถามตัวเองไม่ได้ นี่ถ้าเขารู้ว่า ฉันหนีเขา เขาจะยังยิ้มให้ฉันไหมนะ
การเป็นคนแปลกหน้า มันดีตรงนี้นี่แหละ เมื่อไหร่ที่เราไม่อยากฟัง เราก็เดินหนีไปซะ เขาจะมาว่าเราก็ไม่ได้ แต่ลองถ้าเขาเป็นคนรู้จัก หรือว่าเพื่อนพ้อง จะชอบหรือไม่ เราก็ต้องนั่งฟัง จนตายกันไปข้างหนึ่ง
ฉันลากกระเป๋าเดินทางใบเก่ง ที่ล้อข้างหนึ่งจะหลุดมิหลุดแหล่ ใกล้จะปลดระวางเต็มที เดินห่างออกมา พอถึงเก้าอี้ที่หมายตาก็หย่อนตัวนั่งลง คราวนี้แทนที่จะนั่งหันหน้ามองฟ้า หรือเครื่องบิน ฉันก็นั่งหันหน้าเข้าด้านใน เลยจากทางเดินไปหน่อย ตรงหน้า คือมุมรับขัดรองเท้า shoe shine
ช่างขัดรองเท้า เป็นชายผิวดำวัยกลางคน กำลังขัดรองเท้าให้ลูกค้าชายอายุในราวหกสิบต้นๆ ในสูทชั้นดี ที่กำลังสนใจหนังสือพิมพ์ในมือ มากกว่าเสียงเพลงของเขา ที่ขัดรองเท้าไป ร้อง My Girl ของ The Temptations ไป
ฉันฟังแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะว่าเป็นเพลงโปรด และถึงว่าเขาจะร้องไม่เพราะเท่ากับเจ้าของเพลง แต่ในความรู้สึกของฉัน มันก็ไม่เลวเสียทีเดียวหรอกนะ
ความคิดของฉันสะดุดนิดๆ เมื่อแหม่มวัยรุ่นสองคน หน้าตาดี พอกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ มานั่งลงในเก้าอี้ถัดไป
ทั้งคู่นั่งหันหน้าออกด้านนอก มองเครื่องบิน และท้องฟ้า คุยไป แชทมือถือไป ในขณะที่ฉันกำลังฟัง มายเกิล จากช่างขัดรองเท้า
“ให้ตาย ถ้าต้องขัดรองเท้าอย่างเขา ฉันยอมตายเสียดีกว่า “ จู่ๆยายผมทอง ก็เปรยขึ้นมา พูดจบ ก็เอี้ยวไปมองช่างขัดรองเท้า เบ้ปากให้ก่อนจะหันกลับมาเร็วๆ
“ฉันก็ไม่เอา “ ยายผมน้ำตาลที่กำลังแชท เสริมขึ้นมาเร็วๆ ” งานต่ำๆอย่างนี้ น่าอายจะตาย และฉันว่า เจ้าตัวเขาก็ คงจะรู้สึกอับอายไม่น้อย ก็เลยร้องเพลงปลอบใจตัวเองไปตามเรื่อง “ ยายผมน้ำตาล คาดคะเน
ทั้งสองพูดเสร็จพยักพเยิดไปที่ช่างขัดรองเท้า คนถูกพาดพิงไม่ได้ยิน เพราะหนึ่งอยู่ไกล แล้วอีกอย่าง เจ้าตัวกำลังก้มหน้าก้มตา ขัดรองเท้าไป ร้องเพลงไป และยิ้มไปพร้อมกัน
สองสาว พูดอะไรอีกคำสองคำ ก็ลุกจากเก้าอี้ แต่ตอนที่กำลังจะเดินผ่านช่างขัดรองเท้า ก็บุ้ยใบ้ให้กัน ทั้งเบ้ปากใส่ สายตาของทั้งคู่ที่มองไปยังเขามันฟ้อง คุณนี่ช่างเป็นคนที่น่าสงสาร เสียยิ่งกระไร มองแล้วก็หัวเราะให้กันคิกคัก ก่อนจะเดินจากไป
ฉันมองสองสาว แล้วหันมามองช่างขัดรองเท้า ก่อนจะถามตัวเองอย่างฉงนฉงาย ทำไม ฉัน กับยายสองคนนั่น ถึงมองในสิ่งเดียวกัน แตกต่างกันอย่างนี้นะ
สองคนนั่น ว่าเขาต่ำต้อย ดูน่าอับอาย แต่ฉันกลับว่า เขามีความสุขกับสิ่งที่ทำ ก็เห็นๆอยู่นี่นา เขาร้องมายเกิล ของ เดอะเท็มเทชั่น ไม่ได้พูด หรือบ่นอะไรสักคำ ว่างานที่ตัวทำอยู่นั้นต่ำต้อย น่าอาย
แวบหนึ่งฉันฉุกคิดขึ้นมาอย่างฉาบฉวย หากวันหนึ่งช่างขัดรองเท้า เลิกขัดรองเท้า ไม่แน่นะ ดีไม่ดี เขาอาจจะไปเป็นนักร้องก็ได้
แต่จะเกิดอะไรขึ้น กับยายสองคนนั่น หากมีเหตุให้ต้องมาขัดรองเท้าอย่างเขา ในเมื่อเจ้าตัวก็ประกาศออกโต้งๆ ว่ายอมตายเสียดีกว่าที่จะต้องมาขัดรองเท้า
ตายละ ถ้าหากหล่อนทำอย่างที่ปากพูด พลเมืองโลก มีหวังได้ลดจำนวนลงไปถึงสองคน นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วนะ แต่เป็นโศกนาฏกรรมเลยนะนี่
ความคิดที่ล่องลอยของฉัน ถูกดึงกลับมาเร็วๆ ทันทีที่เห็นลูกค้ารายใหม่ของช่างขัดรองเท้า รายนี้เป็นหนุ่มญี่ปุ่น ที่เรี้ยมเร้ ตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับหลุดออกมาจากหนังสือการ์ตูน
พ่อรูปหล่อ ไว้ผมย้อยปรกหน้านิดๆ ยาวระต้นคอ เสื้อโค้ทสีเทายาวเพียงเข่า กางเกงสีดำ รองเท้าสีน้ำตาลเข้ม เข้ากับ กระเป๋าหนังที่สะพายพาดอก
ความเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ ของเขา ทำเอาฉันอึ้งไปหลายนาที ให้ตายเถอะ ในอนาคตข้างหน้า ถ้าหากฉันได้เขียนนิยายรักหวานแหวสักเรื่อง ( ฝันค่ะ…. )
พระเอกของฉัน หน้าตาจะต้องอย่างนี้ ฉันคิดไปยิ้มไป มองพระเอกในฝัน ที่ตั้งแต่มานั่ง ให้ช่างขัดรองเท้าให้ จะยิ้มสักนิดก็ไม่มี
ทำไม เขาจึงไม่ยิ้ม คำถามนั้นแวบเข้ามา ซึ่งในนาทีต่อมา ฉันก็ได้คำตอบ ที่ฉันค้นหา
ที่เขาไม่ยิ้ม เพราะขัดใจช่างขัดรองเท้า ขัดรองเท้าไม่ได้ดั่งใจ เขาไม่ได้บอกฉันหรอก แต่ฉันอ่านจากหน้าตา และท่าทาง เขาชี้มือไปที่รองเท้าข้างซ้าย ช่างขัดรองเท้าก็ขัดให้ ครู่ต่อมาก็ชี้มือไปที่รองเท้าข้างขวา ช่างขัดรองเท้า ยิ้มให้นิดๆ แล้วก็ขัดให้โดยดี
และเมื่อช่างขัดรองเท้า ขัดรองเท้าเรียบร้อย เมื่อเขาก้าวจากเก้าอี้ลงมายืนที่พื้น ส่งเงินให้ช่างขัดรองเท้า เขาก็ทำมือทำไม้ พูดอะไรกับช่างขัดรองเท้าคำสองคำ
ช่างขัดรองเท้าก็หันไปคว้าแปรงขัดรองเท้า ยื่นให้กับลูกค้ารูปหล่อ ลูกค้ารูปหล่อ รับที่แปรงมาจากช่างขัดรองเท้าได้ ก็ก้มลงถูรองเท้าของเขาไปมา โดยมีช่างขัดรองเท้า ยืนมองอย่างทึ่งๆ เช่นเดียวกับฉัน
พ่อรูปหล่อขัดรองเท้าให้ตัวเองเรียบร้อย ก็ยืดตัวขึ้นมาเร็วๆ ส่งแปรงให้ช่างขัดรองเท้า ก่อนจะเดินทื่อๆจากไป โดยมีฉันมองตามไป พร้อมกับถามตัวเอง
หรือเขาจะไม่ใช่คน แต่เป็นหุ่น ?
แต่ถ้าเขาไม่ใช่หุ่น แต่เป็นคนล่ะ แค่คิดฉันก็ให้หนาวๆร้อนๆแทนคนที่อยู่รอบข้างเขา กะอีแค่รองเท้า ซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อย พ่อเจ้าประคุณ ยังทำเสียเป็นเรื่องใหญ่โต แล้วถ้าเกิดว่าพ่อคุณไปเจอปัญหาใหญ่ยิ่ง คอขาดบาดตาย ฉันอยากรู้นักหนา เจ้าตัวจะจัดการกับปัญหานั้นได้อย่างไร
อ้อ ประทานโทษนะคะ สุดหล่อ เมื่อกี้ที่ฉันบอกว่า จะเอาคุณไปเป็นพระเอกนิยายรัก หวานแหววของฉัน ตอนนี้ ฉันเปลี่ยนใจ ไม่เอาคุณเป็นพระเอกแล้วล่ะ ( เปลี่ยนใจง่ายๆอย่างนี้แหละ ใครจะทำไม )
ทำไมนะเหรอคะ คำตอบง่ายนิดเดียวค่ะ ที่ฉันเปลี่ยนใจไม่เอาคุณเป็นพระเอกของฉัน ก็เพราะพระเอกในจิตนาการของฉัน ไม่ได้เพียบพร้อม เลอเลิศ แต่เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆ ที่ผิดบ้าง ถูกบ้าง ดีเลวปะปนกันไป
“นี่เราเองปุ้ม เออ ตอนนี้อยู่ที่ สนามบินแอนแลนตา “ ภาษาไทยที่ลอยมากระทบโสต ทำให้ฉันหันไปมองที่มาของต้นเสียง แน่ละในเมื่อฉันเองก็เป็นคนไทยเหมือนกัน
เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาว อยู่ในวัยถ้าไม่ยี่สิบปลายๆ ก็สามสิบต้นๆ แต่งหน้าเข้มจัด สวมแพนท์สูทสีเนื้อ เสื้อตัวในสีแดง สีเดียวกับรองเท้าส้นสูง กระเป๋าถือ และกระเป๋าเดินทางล้อลากของหลุยส์เข้าชุด บอกบ่งถึงรสนิยม
เพราะฉันมองหล่อน หล่อนก็เลยมองตอบ ก่อนที่หล่อนจะถามฉัน ด้วยเสียงแปร๋นแปร๋
“ where you from ? (Where are you from?)
ระว่างที่รอคำตอบจากฉัน หล่อนก็สำรวจสารรูปฉันไปพลางๆ มองไป คิ้วทั้งสองข้างก็ขมวดมุ่น หล่อนไม่ต้องพูดอะไรออกมา ฉันก็พอจะอ่านความคิดหล่อนออก
ทำไม ถึงได้แต่งตัวกระจอก แบบนี้นะ
เพราะอ่านสายตาหล่อนออกอย่างว่า ฉันเลยคันปากยิบๆ อยากจะบอกหล่อนเหลือเกิน ครั้งแรกที่ฉันเดินทาง ฉันก็แต่งตัวเต็มยศ อย่างหล่อนนี่แหละ แต่ตอนหลังเดินทางบ่อยเข้า แทนจะใส่สูตรสวยๆ รองเท้าส้นสูง ก็เปลี่ยนมาแต่งตัวสบายๆ เสื้อยืดกางเกงยีนส์ แจ็กเก็ตบางๆ รองเท้าผ้าใบ ซึ่งถ้าหล่อนจะมองไปรอบๆ ก็จะเห็นว่า ผู้คนในสนามบินส่วนใหญ่ ก็แต่งตัวคล้ายๆกับฉันนี่แหละ
ไม่ค่อยปลื้มหล่อนก็จริง แต่ไอ้ครั้นจะไม่ตอบหล่อนก็จะดูเสียมารยาท ด้วยเหตุนี้ฉันจึงยิ้มให้หล่อนนิดๆ พอเป็นพิธี ก่อนจะตอบหล่อนไป ไม่เต็มเสียงนัก
“I from Philippines“ (I’m from the Philippines) ฉันปดหล่อนไปอย่างนั้น ไม่ภูมิใจนักหรอก แต่ที่ต้องทำอย่างนั้น เพราะกลัวเหลือเกินว่า หากฉันตอบไปตามจริง ว่าฉันเป็นคนไทย หล่อนมีหวังได้ตอแยฉันไม่เลิก
และถ้าต้องให้ฉันเลือก ระหว่างคุยกับหล่อน กับมองท้องฟ้า ละก็ ฉันขอเลือกเอาสิ่งหลัง
หล่อนได้ยินคำตอบ ก็ยิ้มให้อย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะสะบัดหน้ากลับไปพูดโทรศัพท์ที่ค้างไว้
“โทษที แดง เห็นคนข้างๆ หน้าตาคล้ายคนไทย ถามว่ามาจากไหน กลายเป็นฟิลิปปินส์ นึกอยู่แล้วหน้าตาแปลกๆ แต่งตัวก็กระจอกๆ ช่างยายฟิลิปปินส์เถอะ มาพูดถึงเรื่องเค้าดีกว่า
ตอนนี้นะเหรอ เค้าเลิกกับไอ้โทมัส แล้วนะ จะเรื่องอะไร ก็มันไปนั่งจีบเด็กเสิร์ฟที่บาร์ใกล้บ้าน เค้าเห็นกับตา เด็กคนไทยด้วยนะ เสียดายที่เป็นอเมริกา ถ้าเมืองไทยละก็ แม่จะตบให้กระจาย พูดถึงไอ้บ้าโทมัส มันผิดเห็นๆ แต่ดันท้าเค้าหย่า เค้าจะแคร์อะไร มันท้าเลิก เค้าก็ โอ.เค. แต่บอกมันว่า ขอกลับไปเที่ยวเมืองไทยก่อน แล้วถึงจะกลับมาหย่ากับมัน แต่ก่อนหย่า เค้าต้องเอามันคืนให้ที่สุด นี่เค้าก็เพิ่งซื้อนาฬิกา สายสร้อย กระเป๋า รองเท้า รูดการ์ดไปเรื่อยๆ เอามันให้หมดตัว อนาคตเหรอแดง ช่างมันซิ ไม่สนหรอก เค้ายังสาวอยู่ หาได้เป็นสิบ เออ แค่นี้ก่อนนะ มัวแต่พูด เดี๋ยวตกเครื่อง”
ฉันไปเจอกับคุณปุ้ม ตรงประตูทางขึ้นเครื่อง ประตูเราดันมาอยู่ใกล้กัน อันนี้จะเป็นด้วยลิขิตฟ้าดิน หรืออะไรก็สุดจะเดาได้
พอพนักงานเรียกขึ้นเครื่อง ฉันก็ลากกระเป๋าก้าวไปหาพนักงาน ในขณะที่ คุณปุ้ม กำลังคุยกับ ชายแปลกหน้า กระจุ๋งกระจิ๋ง
หล่อนพูดถูก อย่างหล่อน หาได้อีกเป็นสิบ
แล้วเครื่องบินที่ฉันโดยสาร ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ปกติฉันจะนั่งเก้าอี้ริมทางเดิน เพราะจะได้เข้าห้องน้ำ หรือเดินยืดเส้นยืดสายเวลาเมื่อยขบ แต่เที่ยวบินนี้ ผู้โดยสารเต็ม ฉันเลยต้องนั่งด้านในติดกับหน้าต่าง โชคดีที่บินภายในประเทศ ระยะทางสั้นๆ จึงไม่มีปัญหา
ฉันไม่ใช่นักเขียน….แต่เป็นแค่นักเล่าเรื่องคนหนึ่งเท่านั้น
ก็อย่างที่จั่วหัวเรื่องนั่นแหละค่ะ ฉันไม่ใช่นักเขียน แต่เป็นแค่นักเล่าเรื่อง ที่ขอให้ประสพพบเหตุ เอ้ย พบเห็นเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคนใกล้ตัว หรือคนแปลกหน้า เรื่องสัพเพเหระ ดราม่า หรือว่าหรรษา เป็นต้องร่ายเรียงออกมาเป็นตัวอักษร ถ่ายทอดให้ทุกๆคนได้ฟังกัน
และเรื่องที่ฉันกำลังจะเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้นที่ *ท่าอากาศยานฮาร์ตสฟีลด์ แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ระหว่างที่รอต่อเครื่องจะกลับบ้านเมื่อปีกลาย
กว่าเครื่องบินที่ฉันโดยสารจะออกก็ตั้งร่วมสองชั่วโมง ฉันก็เลยฆ่าเวลาช่วงนั้น ด้วยการเดินดูข้าวของในร้านค้าต่างๆ จิบกาแฟ กินอาหารว่าง ก่อนจะแยกออกมานั่งโดดๆที่เก้าอี้ยาว มองผ่านผนังกระจก ต่ำลงไปที่ลาน เครื่องบินจอดเรียงรายเป็นทิวแถว ครั้นเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า ก็เห็นเมฆนับร้อยนับพันลอยฟ่อง ในรูปทรงที่ต่างกัน
คิดแล้วก็น่ามหัศจรรย์ใจเหลือหลาย ตอนนี้ฉันทำได้แค่มองมัน แต่สักประเดี๋ยวเมื่อฉันขึ้นไปอยู่บนเครื่องบิน เมฆที่สูงลิบ เกินกว่าจะฉันจะเอื้อม มันกลับลอยฟ่องอยู่ข้างตัว แค่เปิดหน้าต่างอออกไป เอื้อมมือไปนิดเดียวก็ถึงมัน
แค่คิดเท่านั้นแหละค่ะ ขืนทำอย่างนั้นจริงๆ เมฆก็ไม่ได้ ดีไม่ดี ตัวเองอาจจะลอยละล่องหลุดร่วงไปในห้วงเวหา
ความคิดฉันสะดุด เมื่อชายใส่สูตรหน้าตาเกือบดี มานั่งแปะที่ปลายเก้าอี้อีกด้าน ทั้งที่เก้าอี้ตัวถัดไปก็ว่าง
ทำไม คุณจะต้องมานั่งเก้าอี้เดียวกับฉันด้วย ฉันอยากจะถามเขาอย่างนั้น โกรธ ที่เขามาขัดจังหวะ ความคิดที่ไหลลื่นของฉัน
แต่ฉัน ก็โกรธเขาไม่ได้ได้นานหรอกนะ เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ สนามบินไม่ใช่ของฉัน แล้วตรงที่ฉันนั่ง ก็ไม่ได้ติดป้าย
ห้ามนั่งเกินสองคน
แค่เขามานั่งด้วย ฉันก็เคืองพออยู่แล้ว แต่นี่พ่อเจ้าประคุณยิ่งทำให้ฉันเคืองขัดหนักขึ้น เพราะพอนั่งลงได้เท่านั้น เขาก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม พูดโทรศัพท์ ดังๆ ไม่หยุดหย่อน วนมาวนไปอยู่แต่
หุ้นขึ้นลง
การเมือง
เพาะกาย
คงเพราะแต่ละเรื่องที่เขาพูดมานั้น มันไม่ได้อยู่ในความสนใจของฉันแม้แต่น้อย หลังจากทนฟังเขาพูดมาครู่ใหญ่ๆ ฉันก็เลยกวาดตาไปรอบๆ พอเห็นที่นั่งใหม่ ที่อยู่ด้านโน้น ฉันก็ลุกขึ้นช้าๆ ไม่ได้ร่ำลา แค่ยิ้มให้นิดๆ พร้อมกับสื่อผ่านทางสายตา เหมือนจะบอกเขาว่า ฉันไม่ได้โกรธเคืองอะไรคุณนะ แต่มีเหตุจะต้องไป
เขายิ้มตอบกลับมา ทำเอาฉันแอบรู้สึกผิดนิดๆ และอดถามตัวเองไม่ได้ นี่ถ้าเขารู้ว่า ฉันหนีเขา เขาจะยังยิ้มให้ฉันไหมนะ
การเป็นคนแปลกหน้า มันดีตรงนี้นี่แหละ เมื่อไหร่ที่เราไม่อยากฟัง เราก็เดินหนีไปซะ เขาจะมาว่าเราก็ไม่ได้ แต่ลองถ้าเขาเป็นคนรู้จัก หรือว่าเพื่อนพ้อง จะชอบหรือไม่ เราก็ต้องนั่งฟัง จนตายกันไปข้างหนึ่ง
ฉันลากกระเป๋าเดินทางใบเก่ง ที่ล้อข้างหนึ่งจะหลุดมิหลุดแหล่ ใกล้จะปลดระวางเต็มที เดินห่างออกมา พอถึงเก้าอี้ที่หมายตาก็หย่อนตัวนั่งลง คราวนี้แทนที่จะนั่งหันหน้ามองฟ้า หรือเครื่องบิน ฉันก็นั่งหันหน้าเข้าด้านใน เลยจากทางเดินไปหน่อย ตรงหน้า คือมุมรับขัดรองเท้า shoe shine
ช่างขัดรองเท้า เป็นชายผิวดำวัยกลางคน กำลังขัดรองเท้าให้ลูกค้าชายอายุในราวหกสิบต้นๆ ในสูทชั้นดี ที่กำลังสนใจหนังสือพิมพ์ในมือ มากกว่าเสียงเพลงของเขา ที่ขัดรองเท้าไป ร้อง My Girl ของ The Temptations ไป
ฉันฟังแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะว่าเป็นเพลงโปรด และถึงว่าเขาจะร้องไม่เพราะเท่ากับเจ้าของเพลง แต่ในความรู้สึกของฉัน มันก็ไม่เลวเสียทีเดียวหรอกนะ
ความคิดของฉันสะดุดนิดๆ เมื่อแหม่มวัยรุ่นสองคน หน้าตาดี พอกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ มานั่งลงในเก้าอี้ถัดไป
ทั้งคู่นั่งหันหน้าออกด้านนอก มองเครื่องบิน และท้องฟ้า คุยไป แชทมือถือไป ในขณะที่ฉันกำลังฟัง มายเกิล จากช่างขัดรองเท้า
“ให้ตาย ถ้าต้องขัดรองเท้าอย่างเขา ฉันยอมตายเสียดีกว่า “ จู่ๆยายผมทอง ก็เปรยขึ้นมา พูดจบ ก็เอี้ยวไปมองช่างขัดรองเท้า เบ้ปากให้ก่อนจะหันกลับมาเร็วๆ
“ฉันก็ไม่เอา “ ยายผมน้ำตาลที่กำลังแชท เสริมขึ้นมาเร็วๆ ” งานต่ำๆอย่างนี้ น่าอายจะตาย และฉันว่า เจ้าตัวเขาก็ คงจะรู้สึกอับอายไม่น้อย ก็เลยร้องเพลงปลอบใจตัวเองไปตามเรื่อง “ ยายผมน้ำตาล คาดคะเน
ทั้งสองพูดเสร็จพยักพเยิดไปที่ช่างขัดรองเท้า คนถูกพาดพิงไม่ได้ยิน เพราะหนึ่งอยู่ไกล แล้วอีกอย่าง เจ้าตัวกำลังก้มหน้าก้มตา ขัดรองเท้าไป ร้องเพลงไป และยิ้มไปพร้อมกัน
สองสาว พูดอะไรอีกคำสองคำ ก็ลุกจากเก้าอี้ แต่ตอนที่กำลังจะเดินผ่านช่างขัดรองเท้า ก็บุ้ยใบ้ให้กัน ทั้งเบ้ปากใส่ สายตาของทั้งคู่ที่มองไปยังเขามันฟ้อง คุณนี่ช่างเป็นคนที่น่าสงสาร เสียยิ่งกระไร มองแล้วก็หัวเราะให้กันคิกคัก ก่อนจะเดินจากไป
ฉันมองสองสาว แล้วหันมามองช่างขัดรองเท้า ก่อนจะถามตัวเองอย่างฉงนฉงาย ทำไม ฉัน กับยายสองคนนั่น ถึงมองในสิ่งเดียวกัน แตกต่างกันอย่างนี้นะ
สองคนนั่น ว่าเขาต่ำต้อย ดูน่าอับอาย แต่ฉันกลับว่า เขามีความสุขกับสิ่งที่ทำ ก็เห็นๆอยู่นี่นา เขาร้องมายเกิล ของ เดอะเท็มเทชั่น ไม่ได้พูด หรือบ่นอะไรสักคำ ว่างานที่ตัวทำอยู่นั้นต่ำต้อย น่าอาย
แวบหนึ่งฉันฉุกคิดขึ้นมาอย่างฉาบฉวย หากวันหนึ่งช่างขัดรองเท้า เลิกขัดรองเท้า ไม่แน่นะ ดีไม่ดี เขาอาจจะไปเป็นนักร้องก็ได้
แต่จะเกิดอะไรขึ้น กับยายสองคนนั่น หากมีเหตุให้ต้องมาขัดรองเท้าอย่างเขา ในเมื่อเจ้าตัวก็ประกาศออกโต้งๆ ว่ายอมตายเสียดีกว่าที่จะต้องมาขัดรองเท้า
ตายละ ถ้าหากหล่อนทำอย่างที่ปากพูด พลเมืองโลก มีหวังได้ลดจำนวนลงไปถึงสองคน นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วนะ แต่เป็นโศกนาฏกรรมเลยนะนี่
ความคิดที่ล่องลอยของฉัน ถูกดึงกลับมาเร็วๆ ทันทีที่เห็นลูกค้ารายใหม่ของช่างขัดรองเท้า รายนี้เป็นหนุ่มญี่ปุ่น ที่เรี้ยมเร้ ตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับหลุดออกมาจากหนังสือการ์ตูน
พ่อรูปหล่อ ไว้ผมย้อยปรกหน้านิดๆ ยาวระต้นคอ เสื้อโค้ทสีเทายาวเพียงเข่า กางเกงสีดำ รองเท้าสีน้ำตาลเข้ม เข้ากับ กระเป๋าหนังที่สะพายพาดอก
ความเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ ของเขา ทำเอาฉันอึ้งไปหลายนาที ให้ตายเถอะ ในอนาคตข้างหน้า ถ้าหากฉันได้เขียนนิยายรักหวานแหวสักเรื่อง ( ฝันค่ะ…. )
พระเอกของฉัน หน้าตาจะต้องอย่างนี้ ฉันคิดไปยิ้มไป มองพระเอกในฝัน ที่ตั้งแต่มานั่ง ให้ช่างขัดรองเท้าให้ จะยิ้มสักนิดก็ไม่มี
ทำไม เขาจึงไม่ยิ้ม คำถามนั้นแวบเข้ามา ซึ่งในนาทีต่อมา ฉันก็ได้คำตอบ ที่ฉันค้นหา
ที่เขาไม่ยิ้ม เพราะขัดใจช่างขัดรองเท้า ขัดรองเท้าไม่ได้ดั่งใจ เขาไม่ได้บอกฉันหรอก แต่ฉันอ่านจากหน้าตา และท่าทาง เขาชี้มือไปที่รองเท้าข้างซ้าย ช่างขัดรองเท้าก็ขัดให้ ครู่ต่อมาก็ชี้มือไปที่รองเท้าข้างขวา ช่างขัดรองเท้า ยิ้มให้นิดๆ แล้วก็ขัดให้โดยดี
และเมื่อช่างขัดรองเท้า ขัดรองเท้าเรียบร้อย เมื่อเขาก้าวจากเก้าอี้ลงมายืนที่พื้น ส่งเงินให้ช่างขัดรองเท้า เขาก็ทำมือทำไม้ พูดอะไรกับช่างขัดรองเท้าคำสองคำ
ช่างขัดรองเท้าก็หันไปคว้าแปรงขัดรองเท้า ยื่นให้กับลูกค้ารูปหล่อ ลูกค้ารูปหล่อ รับที่แปรงมาจากช่างขัดรองเท้าได้ ก็ก้มลงถูรองเท้าของเขาไปมา โดยมีช่างขัดรองเท้า ยืนมองอย่างทึ่งๆ เช่นเดียวกับฉัน
พ่อรูปหล่อขัดรองเท้าให้ตัวเองเรียบร้อย ก็ยืดตัวขึ้นมาเร็วๆ ส่งแปรงให้ช่างขัดรองเท้า ก่อนจะเดินทื่อๆจากไป โดยมีฉันมองตามไป พร้อมกับถามตัวเอง
หรือเขาจะไม่ใช่คน แต่เป็นหุ่น ?
แต่ถ้าเขาไม่ใช่หุ่น แต่เป็นคนล่ะ แค่คิดฉันก็ให้หนาวๆร้อนๆแทนคนที่อยู่รอบข้างเขา กะอีแค่รองเท้า ซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อย พ่อเจ้าประคุณ ยังทำเสียเป็นเรื่องใหญ่โต แล้วถ้าเกิดว่าพ่อคุณไปเจอปัญหาใหญ่ยิ่ง คอขาดบาดตาย ฉันอยากรู้นักหนา เจ้าตัวจะจัดการกับปัญหานั้นได้อย่างไร
อ้อ ประทานโทษนะคะ สุดหล่อ เมื่อกี้ที่ฉันบอกว่า จะเอาคุณไปเป็นพระเอกนิยายรัก หวานแหววของฉัน ตอนนี้ ฉันเปลี่ยนใจ ไม่เอาคุณเป็นพระเอกแล้วล่ะ ( เปลี่ยนใจง่ายๆอย่างนี้แหละ ใครจะทำไม )
ทำไมนะเหรอคะ คำตอบง่ายนิดเดียวค่ะ ที่ฉันเปลี่ยนใจไม่เอาคุณเป็นพระเอกของฉัน ก็เพราะพระเอกในจิตนาการของฉัน ไม่ได้เพียบพร้อม เลอเลิศ แต่เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆ ที่ผิดบ้าง ถูกบ้าง ดีเลวปะปนกันไป
“นี่เราเองปุ้ม เออ ตอนนี้อยู่ที่ สนามบินแอนแลนตา “ ภาษาไทยที่ลอยมากระทบโสต ทำให้ฉันหันไปมองที่มาของต้นเสียง แน่ละในเมื่อฉันเองก็เป็นคนไทยเหมือนกัน
เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาว อยู่ในวัยถ้าไม่ยี่สิบปลายๆ ก็สามสิบต้นๆ แต่งหน้าเข้มจัด สวมแพนท์สูทสีเนื้อ เสื้อตัวในสีแดง สีเดียวกับรองเท้าส้นสูง กระเป๋าถือ และกระเป๋าเดินทางล้อลากของหลุยส์เข้าชุด บอกบ่งถึงรสนิยม
เพราะฉันมองหล่อน หล่อนก็เลยมองตอบ ก่อนที่หล่อนจะถามฉัน ด้วยเสียงแปร๋นแปร๋
“ where you from ? (Where are you from?)
ระว่างที่รอคำตอบจากฉัน หล่อนก็สำรวจสารรูปฉันไปพลางๆ มองไป คิ้วทั้งสองข้างก็ขมวดมุ่น หล่อนไม่ต้องพูดอะไรออกมา ฉันก็พอจะอ่านความคิดหล่อนออก
ทำไม ถึงได้แต่งตัวกระจอก แบบนี้นะ
เพราะอ่านสายตาหล่อนออกอย่างว่า ฉันเลยคันปากยิบๆ อยากจะบอกหล่อนเหลือเกิน ครั้งแรกที่ฉันเดินทาง ฉันก็แต่งตัวเต็มยศ อย่างหล่อนนี่แหละ แต่ตอนหลังเดินทางบ่อยเข้า แทนจะใส่สูตรสวยๆ รองเท้าส้นสูง ก็เปลี่ยนมาแต่งตัวสบายๆ เสื้อยืดกางเกงยีนส์ แจ็กเก็ตบางๆ รองเท้าผ้าใบ ซึ่งถ้าหล่อนจะมองไปรอบๆ ก็จะเห็นว่า ผู้คนในสนามบินส่วนใหญ่ ก็แต่งตัวคล้ายๆกับฉันนี่แหละ
ไม่ค่อยปลื้มหล่อนก็จริง แต่ไอ้ครั้นจะไม่ตอบหล่อนก็จะดูเสียมารยาท ด้วยเหตุนี้ฉันจึงยิ้มให้หล่อนนิดๆ พอเป็นพิธี ก่อนจะตอบหล่อนไป ไม่เต็มเสียงนัก
“I from Philippines“ (I’m from the Philippines) ฉันปดหล่อนไปอย่างนั้น ไม่ภูมิใจนักหรอก แต่ที่ต้องทำอย่างนั้น เพราะกลัวเหลือเกินว่า หากฉันตอบไปตามจริง ว่าฉันเป็นคนไทย หล่อนมีหวังได้ตอแยฉันไม่เลิก
และถ้าต้องให้ฉันเลือก ระหว่างคุยกับหล่อน กับมองท้องฟ้า ละก็ ฉันขอเลือกเอาสิ่งหลัง
หล่อนได้ยินคำตอบ ก็ยิ้มให้อย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะสะบัดหน้ากลับไปพูดโทรศัพท์ที่ค้างไว้
“โทษที แดง เห็นคนข้างๆ หน้าตาคล้ายคนไทย ถามว่ามาจากไหน กลายเป็นฟิลิปปินส์ นึกอยู่แล้วหน้าตาแปลกๆ แต่งตัวก็กระจอกๆ ช่างยายฟิลิปปินส์เถอะ มาพูดถึงเรื่องเค้าดีกว่า
ตอนนี้นะเหรอ เค้าเลิกกับไอ้โทมัส แล้วนะ จะเรื่องอะไร ก็มันไปนั่งจีบเด็กเสิร์ฟที่บาร์ใกล้บ้าน เค้าเห็นกับตา เด็กคนไทยด้วยนะ เสียดายที่เป็นอเมริกา ถ้าเมืองไทยละก็ แม่จะตบให้กระจาย พูดถึงไอ้บ้าโทมัส มันผิดเห็นๆ แต่ดันท้าเค้าหย่า เค้าจะแคร์อะไร มันท้าเลิก เค้าก็ โอ.เค. แต่บอกมันว่า ขอกลับไปเที่ยวเมืองไทยก่อน แล้วถึงจะกลับมาหย่ากับมัน แต่ก่อนหย่า เค้าต้องเอามันคืนให้ที่สุด นี่เค้าก็เพิ่งซื้อนาฬิกา สายสร้อย กระเป๋า รองเท้า รูดการ์ดไปเรื่อยๆ เอามันให้หมดตัว อนาคตเหรอแดง ช่างมันซิ ไม่สนหรอก เค้ายังสาวอยู่ หาได้เป็นสิบ เออ แค่นี้ก่อนนะ มัวแต่พูด เดี๋ยวตกเครื่อง”
ฉันไปเจอกับคุณปุ้ม ตรงประตูทางขึ้นเครื่อง ประตูเราดันมาอยู่ใกล้กัน อันนี้จะเป็นด้วยลิขิตฟ้าดิน หรืออะไรก็สุดจะเดาได้
พอพนักงานเรียกขึ้นเครื่อง ฉันก็ลากกระเป๋าก้าวไปหาพนักงาน ในขณะที่ คุณปุ้ม กำลังคุยกับ ชายแปลกหน้า กระจุ๋งกระจิ๋ง
หล่อนพูดถูก อย่างหล่อน หาได้อีกเป็นสิบ
แล้วเครื่องบินที่ฉันโดยสาร ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ปกติฉันจะนั่งเก้าอี้ริมทางเดิน เพราะจะได้เข้าห้องน้ำ หรือเดินยืดเส้นยืดสายเวลาเมื่อยขบ แต่เที่ยวบินนี้ ผู้โดยสารเต็ม ฉันเลยต้องนั่งด้านในติดกับหน้าต่าง โชคดีที่บินภายในประเทศ ระยะทางสั้นๆ จึงไม่มีปัญหา