สวัสดีครับชาวพันทิป กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม ใช้ไอดีของคุณแม่... หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
หัวข้อนี้เป็นกระทู้เตือนใจสำหรับวัยรุ่นทุกคน ที่เป็นช่วงหัวเรี่ยวหัวต่อของชีวิต อยากให้อ่านประสบการณ์ของผมไว้เป็นอุทาหรณ์ครับ
พ่อกับแม่ผมแยกทางกันสมัยประถมตอนปลาย เนื่องจากทั้งคู่ทะเลาะกันบ่อย พ่อผมกินเหล้าหนักมาก
แม่จึงเป็นฝ่ายที่มีหน้าที่ดูแลผม เนื่องจากแม่รู้ว่าถ้าฝากผมไว้ที่พ่อคงไปกันไม่รอด
ผมจึงเริ่มกลายเป็นเด็กมีปัญหา ทุกครั้งๆที่ผมกระทำบางสิ่งบางอย่างเรื่องที่ผู้ชายเขาทำกัน (เตะต่อยอะไรแบบนี้)
แม่มักจะโกรธ ไม่ว่าเราจะถูกหรือผิด เหมือนกับว่าแม่ไม่เข้าใจในคำว่า "ลูกผู้ชาย"
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครับ เวลาพ่ออยู่ พ่อจะเข้าใจเรามากที่สุด เขาจะไม่ค่อยว่าอะไรผม
ช่วงที่ผมเริ่มเข้ามัธยม ผมอยู่กับแม่แค่สองคนครับ โรงเรียนนี้ผมเป็นคนเลือกเข้าด้วยตัวเอง
โรงเรียนมีชื่อเสียงด้านลบ ตีกันแทบทุกวัน... ผมคิดว่ามันน่าท้าทายสำหรับผม
ผมสอบเข้าได้ห้องคิง (หัวดีแต่ขี้เกียจ) ตั้งใจเรียนมาตลอด จนกระทั่งติดเพื่อน
ผมเริ่มสูบบุหรี่ กินเหล้า เที่ยว กลับบ้านดึกๆ ตั้งแต่ ม.3 เกรดถูๆไถๆ พอประมาณ
แต่ไม่พอต่อโควต้า ม.4 เลยต้องมาสอบเข้าใหม่ได้ห้องควีน (บอกแล้วว่าหัวดีแต่ขี้เกียจ)
ช่วง ม.4-ม.6 เป็นช่วงที่ผมเลวที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ครับ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แม่ผมมีปัญหาเรื่องการเงิน
แต่ผมก็ไม่ค่อยสนใจอะไร เลิกเรียนผมก็เข้าตู้ม้า เล่นสนุ๊กเกอร์กินตังค์ กินเหล้า ดูดบุหรี่ สี่-ห้าทุ่มค่อยกลับบ้าน
วันไหนเงินไม่พอ ก็จะขอแม่เพิ่ม ถึงแม้ว่าแม่จะพูดแล้วพูดอีกว่าช่วยๆกัน ประหยัดหน่อย ผมก็ไม่เคยฟัง
แม่ผมเป็นผู้หญิงแกร่ง อดทน นั่งรถจากหน้ารามไปทำงานที่นนทบุรี
ไป-กลับแบบนี้ทุกวัน เพราะแม่ต้องดูแลผม
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เพื่อนโทรมาชวนไปปาร์ตี้... สมัยมัธยม เรื่องเที่ยวกลางคืน เรื่องเหล้าสำหรับผม มันสำคัญที่สุดในชีวิตครับ
เพื่อนก็สำคัญเหมือนกัน สำคัญกว่าพ่อแม่ตัวเองเสียอีก
พอรู้ว่าเพื่อนโทรมาชวนไปเที่ยว ใจผมเต้นรัวเลยครับ... ตอบเพื่อนไปแบบไม่คิดเลยว่า "เออ ไปๆ เดี๋ยวเจอกัน ไม่ถึง 20 นาที"
วางสายปุ๊ปผมรีบเอ่ยปากขอเงินแม่เลยทันที แม่ทำหน้าเหมือนละเหี่ยใจ ไม่รู้จะพูดยังไง ผมเลยหาเหตุผลมาอ้างสารพัดเพื่อให้ได้เงิน
เถียงกันไปเถียงกันมา จนแม่เข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำ แทนที่ผมจะคิดได้ ผมกลับเลือกเปิดกระเป๋าเงินแม่ที่มีเงินอยู่แค่ 200.- ออกไปหาเพื่อน...
ม.4-ม.6 ผมมีเรื่องตีกันตลอดครับ คุณครูเชิญผู้ปกครองบ่อยๆ ผลการเรียน 3 ปีรวมกันได้เกรด 0.79 ตก 0 ร มส มผ อีกทั้งหมด 24 ตัว
แม่ทนไม่ไหวกับผลการเรียนช่วงสุดท้าย แม่ผมเลยพูดกับว่า...
"ซ่อมเสร็จ จบ ม.6 แล้ว ไปต่อมหา'ลัยที่เชียงรายเลยนะ ไปอยู่กับพ่อ แม่คุยกับพ่อแล้ว แม่ไม่ไหวแล้วจริงๆ"
จบคำพูดนี้ ผมเดือดครับ ไม่พอใจ หงุดหงิด ชักสีหน้า พูดประชดประชันแม่ทุกอย่าง แต่ถึงจะทำยังไงแม่ก็ไม่เปลี่ยนการตัดสินใจ
หลังจากที่ผมได้รับใบประกาศแล้ว ผมก็เดินทางกลับเชียงราย กลับรถทัวร์กับน้องผู้หญิงที่รู้จักกันที่โรงเรียน
น้องคนนี้ค่อนข้างแรงหน่อย (เหมือนเด็กที่ใส่เกาะอก ผมติ่ง เต้นแร้งเต้นกาลง socialcam สมัยนี้)
สมัยก่อนผมชอบผู้หญิงแรงครับ เพราะมันท้าทายดีอีกนั่นแหละ
เรากลับเชียงรายด้วยกัน ด้านพ่อเธอเป็นเจ้าของรีสอร์ต ผมจึงไปแวะนอนที่นั่นก่อน แล้วเราเกิดมีเพศสัมพันธ์กัน หลังจากนั้นเราก็ตกลงเป็นแฟนกัน
เราคบกันครับ ทั้งๆที่ผมมีแฟนอยู่แล้ว แล้วแฟนผมรู้เรื่อง เลยเลิกกัน...
แฟนผมไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ยิ่งโมโหไปหนักกว่าเดิม (แฟนคนนี้นิสัยดีครับ น่ารัก แม่ชอบมาก)
ช่วงนั้นกำลังได้ศึกษาต่อมหาวิทยาลัยที่เชียงรายครับ ชีวิตอยู่ในช่วงราบรื่น อินเลิฟ งานหนักงานเบาเราก็ไม่เครียด
หลังจากที่ผมจ่ายเงินค่าเทอมให้กับทางมหาวิทยาลัยแล้ว วันนั้นเป็นวันที่เธอเขาต้องกลับกรุงเทพพอดี ผมเลยไปส่งขึ้นรถที่ขนส่ง
ก่อนกลับผมถามน้องเขาว่า....
ผม : "อยู่กับใครหรอที่กรุงเทพน่ะ?"
เธอ : "อยู่หอคนเดียวน่ะ แม่อยู่ต่างจังหวัด"
ผม : "กลับไปก็ดูแลตัวเองดีๆนะ"
หลังจากเธอกลับไป... ผมก็อยู่บ้านกับพ่อมากขึ้น และนี่คือจุดเริ่มต้นของการหนีออกจากบ้าน
พ่อผมติดเหล้ามากครับ ตื่นมาก็กินยันตอนนอน... เช้ามาเขามักจะอ้วกเสียงดังเหมือนราชสีห์คำรามไม่มีผิด
ทุกๆวันตอนเช้า เราต้องตื่นก่อนเขา ต้องมีกาแฟ ปาท่องโก๋ หนังสือพิมพ์ เตรียมไว้ให้เขา (ถ้าไม่มีจะโดนครับ) ทุกมื้อเราต้องเตรียมให้พร้อมเขาเสมอ
เหล้าต้องไม่ขาด... พ่อผมไม่ได้ทำงานครับ ฐานะตอนนั้นถือว่าค่อนข้างยากจน
ช่วงไหนที่เหล้าขาด เงินที่หามาซื้อเหล้าก็คือเงินเก็บของผม เงินที่แม่ผมโอนมาให้ซื้อขนม ซื้อข้าว
ผมรู้สึกอึดอัดใจ คิดในแง่ของอนาคตว่า "ถ้าวันข้างหน้าเรามีโปรเจ็คแล้วต้องใช้เงินล่ะ เราต้องจ่ายค่าเทอมล่ะ พ่อจะดูแลเราได้หรือ?"
ค่าเทอมปีแรก แม่ก็แบกหน้าไปยืมคนอื่นมาให้ เพราะพ่อบอกว่าพ่อยังไม่มีเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้น
กลับมาคิดแทนแม่ ผมเห็นแม่ทำงานเดือนๆนึง ได้เงินมาก็แบ่งให้เราใช้ สบายจะตาย
และผมนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจหนีออกมา...
เก็บกระเป๋า แล้ววิ่งออกจากบ้าน ดักโบกสองแถวอยู่หลังพุ่มไม้เพื่อไปสถานีขนส่งในตัวจังหวัด พอถึงขนส่งก็รีบซื้อตั๋วนั่งรถดิ่งไปกรุงเทพฯ เพื่อที่จะไปอยู่กับน้องเขา คิดว่าจะสร้างครอบครัวอะไรด้วยกันเสร็จศัพท์เลย
ระหว่างอยู่บนรถทัวร์แม่โทรมาร้องไห้เลยครับ แม่บอกแม่รับไมได้กับการกระทำของผมเป็นอย่างมาก
แม่ : "ถ้า...หนีออกจากบ้านไป ก็ถือว่าหนีออกจากชีวิตแม่ไปด้วย"
ความสัมพันธ์ของแม่และลูกตัดขาด!!! แต่ผมไม่ช็อคครับ เพราะทรนงในตัวเอง
แม่เข้าใจว่าผมหนีตามผู้หญิง (ในชีวิตจริงเขามีแต่ผู้หญิงหนีตามผู้ชาย 555)
ผมคิดว่าเดี๋ยวเค้าก็มาง้อเราเอง... แต่บอกเลยว่าถ้ามาง้อจะไม่กลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีกแน่นอน
ผมทนพ่อของผมไม่ไหวจริงๆ นับวันยิ่งหนักขึ้นๆ เหมือนเราเป็นทาสมากกว่าลูกในไส้
ถึงกรุงเทพฯ ก็รีบดิ่งมาหาน้องเขาที่ห้องเลยครับ จัดของเข้าตู้ และเราตั้งใจไว้ว่าจะสร้างอนาคตร่วมกัน (คนนึงอายุ 18 อีกคนนึงอายุ 15 จะสร้างครอบครัว... เจริญพร)
เราอยู่กินด้วยกันมาซักพักใหญ่ๆ โดยที่แม่ของเธอจะส่งเงินมาให้ทุกเดือนครับ แม่เข้าไม่รู้ว่าผมมาอยู่กินกับเธอด้วย... นานวันเข้า ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้น อยู่ด้วยกันนานขึ้น คนที่หอก็เกิดความสงสัย (คนดูแลหอสนิทกับแม่น้องเขาครับ) ก็เลยโทรไปฟ้องแม่เธอว่าผมมาอยู่กินด้วย เรื่องก็เลยบานปลาย... แม่เธอโทรมาโมโหใส่เธอประมาณว่าส่งเงินเลี้ยงดูหวังจะได้เห็นใบประกาศ กลับได้เห็นผัวแทน ผมก็เลยขอคุย อธิบายเหตุผลว่าผมเป็นใคร มาอยู่ด้วยกันได้ยังไง ผมเล่าทุกอย่างให้ฟัง แม่เขาก็นึกสงสาร แล้วอนุญาติให้อยู่กินด้วยกันครับ...
หลังจากวางสาย ผมเริ่มมีกำลังใจ เช้าวันรุ่งขึ้นผมใช้เงินอันน้อยนิดที้หลือ ออกไปหางานทำ ในหัวคิดเสมอว่า "เราจะสร้างครอบครัว เราจะสร้างครอบครัว" ก่อนออกจากบ้าน ก็หาดูตำแหน่งงานตามเว็ป ที่ๆรับสมัครก็ใกล้กันซะเหลือเกิน สีลมที่นึง บางเขนที่นึง จตุจักรอีกที่นึง แล้วเงินทั้งเนื้อทั้งตัวผมมีแค่ 81 บาท!!!
เดินทางรถเมล์ฟรีครับ ประหยัด... แต่บางบริษัทที่จะไปสมัคร ต้องนั่งวิน ก็ต้องจำใจควักตังค์จ่าย... เดินสมัครงานจนท้อ ไม่มีที่ไหนรับ...
บ่าย 2 ยังไม่ได้ทานข้าว เงินเหลือประมาณ 40 กว่าบาท ต้องไปสมัครงานที่สีลมอีก
ฮึ่บสู้ครับ... แบกตัวอันผอมแห้งไปถึงสีลมเวลาประมาณ 4 โมงเย็น เหลือเงินติดตัว 11 บาท พอดีค่ารถเมล์ขากลับ คิดไว้เลยว่าถ้าที่นี่ไม่ได้ เราแย่แน่ๆ... ปรากฏว่าสัมภาษณ์ผ่านครับ ผมได้รับเข้าทำงาน ดีใจกระโดดโลดเต้นอยู่พักใหญ่ ท้องเจ้ากรรมก็เกิดบิดเกิดปวดเพราะโรคกระเพาะขึ้นมาเสียดื้อๆ ทำยังไงดีล่ะ เงินก็มีแค่พอนั่งรถกลับ แต่ถ้าไม่หาอะไรกินก่อน คงไม่พ้นเป็นลมแน่นอน...
จากนั้น... ผมก็เริ่มทำสิ่งที่ผมไม่เคยทำในชีวิต นั่นคือการ "ขอข้าวกิน"
จากเด็กที่เคยเอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็ต้องได้ หยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเอง กลับต้องมาเดินขอข้าวกินจากคนอื่น ถามว่าอายมั้ย อายมากครับ...
แต่ถ้าไม่ทำ ก็ไม่มีอะไรกิน เดินขอข้าวกินไปซักพัก น้องเขาก็โทรมา (เราจะใช้คำนามเป็นแก-เค้า)
เธอ : "แกเป็นไงบ้าง? หางานได้รึยัง?"
ผม : "อ๋อ ได้แล้วแก เริ่มอาทิตย์หน้าเลย ดีใจอะ"
เธอ : "ดีใจด้วยนะ เหนื่อยไหม? กินข้าวรึยัง?"
ผม : " อ๋อกินแล้วแก กินข้าวไข่เจียว อิ่มมาก "
ใช่ครับ... ผมกำลังโกหก
ผมไม่กล้าบอกความจริงแฟนว่าผมกำลังเดินขอข้าวกิน เงินที่แม่ของเธอโอนมาให้ เราก็ไปจ่ายค่าห้องซื้อของใช้ ซื้ออาหารมาตุนไว้ที่ห้อง จนแทบไม่มีเงินสดเหลือเลย ถ้าผมบอกว่าผมเดินขอข้าวกิน เธอจะมองเรายังไง เขาจะคิดยังไง ถ้าเราเป็นเธอ เราก็คงคิด... 'นี่เรามีแฟนเป็นขอทานหรอ?' 'ทำตัวอย่างกับคนจรจัด' 'ทำอะไรน่าเกลียด'
หลังจากวางสาย ก็เดินหน้าไปขอข้าวกินตามร้านอาหารไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ผล บางร้านก็ตอกกลับมาว่า... "แต่งตัวก็ดี หน้าตาก็ดูสะอาด มาขอข้าวกินอย่างกับขอทาน" แหม่... ก็มาสมัครงานนี่ครับ ต้องแต่งตัวเป็นทางการหน่อย ภายนอกดูหรูหรา แต่เงินในกระเป๋าแฟ่บไม่สมกับชุดเอาซะเลย
เดินๆไปได้ซักพัก ก็เจอร้านอาหารร้านหนึ่ง ที่มีถังไว้ใส่เศษอาหารหรือของเหลือที่ลูกค้าทานไม่หมด (ประมาณว่าเลิกงานปิดร้าน เอาเศษอาหารพวกนี้ให้สุนัขจรจัดกิน) ถังใบนี้วางอยู่เยื้องๆร้าน ใกล้กับตัวฟุตบาต ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจเท่าไหร่ ขณะนั้นผมก็ผุดความคิดอันรันทดขึ้นมา
ผมคุยขยะหากล่องโฟม แล้วเคาะๆเศษปฏิกูลออกให้หมด หลังจากนั้นก็เดินเนียน ไปริมฟุตบาต ใช้โฟมตักเศษอาหารพูนโตๆ แล้วก็เดินเนียนไปในซอกเล็กๆ โชคดีครับที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น ช่วงนั้นเป็นเวลาโพล้เพล้ เวลาเลิกงานของมนุษย์เงินเดือนที่สีลม คนที่ร้านอาหารเลยเยอะจนเด็กเสิร์ฟหรือพ่อครัวก็ไม่มีเวลามายืนสังเกตในสิ่งที่ผมทำ....
ผมเดินเข้ามาในซอกเล็กๆ แล้วบรรจงใช้มือหยิบข้าวเละๆเข้าปากกินอย่างเอร็ดอร่อย รสชาติแย่มาก แต่เพราะหิว ก็ต้องจำใจกิน กินไปน้ำตาก็ไหลไป... คิดในใจ "นี่ชีวิจเราตกต่ำถึงขนาดนี้เลยหรอเนี่ย"
แว๊บนึง... เกิดอาการ Homesick คิดถึงแม่ขึ้นมา เลยโทรไปหาแม่ ปรากฏว่าแม่ไม่รับสายผมแม้แต่สายเดียว ถึงขึ้นที้ตัดสายทิ้งกันเลยก็มี ทำให้ผมร้องไห้หนักกว่าเดิม
หลังจากทานอาหารเสร็จก็หิวน้ำ เดินไปหาตู้กดน้ำของ กทม. ดื่มไปหลายอึก (ที่โฆษณาว่าน้ำประปาดื่มได้ ตามฟุตบาตในกรุงเทพฯ)
อิ่มท้องไปหนึ่งมื้อ นั่งรถเมล์กลับมาถึงบ้าน เห็นน้องเขาทำอาหารไว้ รอทานพร้อมเราอยู่ ผมยิ้มปริเลยครับ เวลานี้ช่างมีความสุขจริงๆ เธอคนนี้ทำหน้าที่เป็นภรรยาได้ดีมาก ทำอาหารเก่ง งานบ้านไม่เคยขาด เพอร์เฟ็คมากครับ แต่อากัปกริยา ท่าทาง และการแต่งตัวแรงไปหน่อย....
หนึ่งอาทิตย์ผ่านมา ได้เวลาเริ่มงานวันแรก
ผมโทรไปขอเงินแม่ของเธออีก (ตอนนั้นผมไม่มีญาติเหลือเลยครับ ไม่มีใครเอาผมเลย ทุกคนแอนตี้หมด)
ทำงาน 09.00-18.00น. กลายเป็นมนุษย์เงินเดือนแล้ว เริ่มเห็นความฝันในบั้นปลายอนาคตของผมกับเธอลางๆ
ทำงานเสร็จกลับมาถึงห้องก็มีอาหารเตรียมไว้พร้อมกับรอยยิ้มของการรอคอยมาทั้งวัน มีความสุขดีครับ งานก็ดี แฟนก็ดี... แต่ช่วงดีๆมักจะผ่านไปเร็ว การเป็นมนุษย์เงินเดือนของผมจบสิ้นครับ เพราะผมติดยา ช่วงนั้นพี่เสก ไฮโซกำลังดังเรื่องเสียๆหายๆ ผมจึงตามกระแสกับเขาไปด้วย ผมกับเธอต่างคนก็ต่างมีนิสัยแบบสุดขั้วเหมือนๆกัน เราเลยเล่นยาด้วยกัน
ผมออกจากงาน โดยที่ทำไม่ถึงเดือนนึงด้วยซ้ำไป ถูกเขาไล่ออก สาเหตุคือตื่นสาย มาทำงานสาย สั่งงานไป ไม่ค่อยทำตามที่กำหนด ทำงานพลาด เพราะฤทธิ์ของยาเสพติดนั่นเอง...
ข้อคิดที่ได้ ของวัยรุ่นที่(เคย)หนีออกจากบ้าน
หัวข้อนี้เป็นกระทู้เตือนใจสำหรับวัยรุ่นทุกคน ที่เป็นช่วงหัวเรี่ยวหัวต่อของชีวิต อยากให้อ่านประสบการณ์ของผมไว้เป็นอุทาหรณ์ครับ
พ่อกับแม่ผมแยกทางกันสมัยประถมตอนปลาย เนื่องจากทั้งคู่ทะเลาะกันบ่อย พ่อผมกินเหล้าหนักมาก
แม่จึงเป็นฝ่ายที่มีหน้าที่ดูแลผม เนื่องจากแม่รู้ว่าถ้าฝากผมไว้ที่พ่อคงไปกันไม่รอด
ผมจึงเริ่มกลายเป็นเด็กมีปัญหา ทุกครั้งๆที่ผมกระทำบางสิ่งบางอย่างเรื่องที่ผู้ชายเขาทำกัน (เตะต่อยอะไรแบบนี้)
แม่มักจะโกรธ ไม่ว่าเราจะถูกหรือผิด เหมือนกับว่าแม่ไม่เข้าใจในคำว่า "ลูกผู้ชาย"
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครับ เวลาพ่ออยู่ พ่อจะเข้าใจเรามากที่สุด เขาจะไม่ค่อยว่าอะไรผม
ช่วงที่ผมเริ่มเข้ามัธยม ผมอยู่กับแม่แค่สองคนครับ โรงเรียนนี้ผมเป็นคนเลือกเข้าด้วยตัวเอง
โรงเรียนมีชื่อเสียงด้านลบ ตีกันแทบทุกวัน... ผมคิดว่ามันน่าท้าทายสำหรับผม
ผมสอบเข้าได้ห้องคิง (หัวดีแต่ขี้เกียจ) ตั้งใจเรียนมาตลอด จนกระทั่งติดเพื่อน
ผมเริ่มสูบบุหรี่ กินเหล้า เที่ยว กลับบ้านดึกๆ ตั้งแต่ ม.3 เกรดถูๆไถๆ พอประมาณ
แต่ไม่พอต่อโควต้า ม.4 เลยต้องมาสอบเข้าใหม่ได้ห้องควีน (บอกแล้วว่าหัวดีแต่ขี้เกียจ)
ช่วง ม.4-ม.6 เป็นช่วงที่ผมเลวที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ครับ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แม่ผมมีปัญหาเรื่องการเงิน
แต่ผมก็ไม่ค่อยสนใจอะไร เลิกเรียนผมก็เข้าตู้ม้า เล่นสนุ๊กเกอร์กินตังค์ กินเหล้า ดูดบุหรี่ สี่-ห้าทุ่มค่อยกลับบ้าน
วันไหนเงินไม่พอ ก็จะขอแม่เพิ่ม ถึงแม้ว่าแม่จะพูดแล้วพูดอีกว่าช่วยๆกัน ประหยัดหน่อย ผมก็ไม่เคยฟัง
แม่ผมเป็นผู้หญิงแกร่ง อดทน นั่งรถจากหน้ารามไปทำงานที่นนทบุรี
ไป-กลับแบบนี้ทุกวัน เพราะแม่ต้องดูแลผม
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เพื่อนโทรมาชวนไปปาร์ตี้... สมัยมัธยม เรื่องเที่ยวกลางคืน เรื่องเหล้าสำหรับผม มันสำคัญที่สุดในชีวิตครับ
เพื่อนก็สำคัญเหมือนกัน สำคัญกว่าพ่อแม่ตัวเองเสียอีก
พอรู้ว่าเพื่อนโทรมาชวนไปเที่ยว ใจผมเต้นรัวเลยครับ... ตอบเพื่อนไปแบบไม่คิดเลยว่า "เออ ไปๆ เดี๋ยวเจอกัน ไม่ถึง 20 นาที"
วางสายปุ๊ปผมรีบเอ่ยปากขอเงินแม่เลยทันที แม่ทำหน้าเหมือนละเหี่ยใจ ไม่รู้จะพูดยังไง ผมเลยหาเหตุผลมาอ้างสารพัดเพื่อให้ได้เงิน
เถียงกันไปเถียงกันมา จนแม่เข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำ แทนที่ผมจะคิดได้ ผมกลับเลือกเปิดกระเป๋าเงินแม่ที่มีเงินอยู่แค่ 200.- ออกไปหาเพื่อน...
ม.4-ม.6 ผมมีเรื่องตีกันตลอดครับ คุณครูเชิญผู้ปกครองบ่อยๆ ผลการเรียน 3 ปีรวมกันได้เกรด 0.79 ตก 0 ร มส มผ อีกทั้งหมด 24 ตัว
แม่ทนไม่ไหวกับผลการเรียนช่วงสุดท้าย แม่ผมเลยพูดกับว่า...
"ซ่อมเสร็จ จบ ม.6 แล้ว ไปต่อมหา'ลัยที่เชียงรายเลยนะ ไปอยู่กับพ่อ แม่คุยกับพ่อแล้ว แม่ไม่ไหวแล้วจริงๆ"
จบคำพูดนี้ ผมเดือดครับ ไม่พอใจ หงุดหงิด ชักสีหน้า พูดประชดประชันแม่ทุกอย่าง แต่ถึงจะทำยังไงแม่ก็ไม่เปลี่ยนการตัดสินใจ
หลังจากที่ผมได้รับใบประกาศแล้ว ผมก็เดินทางกลับเชียงราย กลับรถทัวร์กับน้องผู้หญิงที่รู้จักกันที่โรงเรียน
น้องคนนี้ค่อนข้างแรงหน่อย (เหมือนเด็กที่ใส่เกาะอก ผมติ่ง เต้นแร้งเต้นกาลง socialcam สมัยนี้)
สมัยก่อนผมชอบผู้หญิงแรงครับ เพราะมันท้าทายดีอีกนั่นแหละ
เรากลับเชียงรายด้วยกัน ด้านพ่อเธอเป็นเจ้าของรีสอร์ต ผมจึงไปแวะนอนที่นั่นก่อน แล้วเราเกิดมีเพศสัมพันธ์กัน หลังจากนั้นเราก็ตกลงเป็นแฟนกัน
เราคบกันครับ ทั้งๆที่ผมมีแฟนอยู่แล้ว แล้วแฟนผมรู้เรื่อง เลยเลิกกัน...
แฟนผมไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ยิ่งโมโหไปหนักกว่าเดิม (แฟนคนนี้นิสัยดีครับ น่ารัก แม่ชอบมาก)
ช่วงนั้นกำลังได้ศึกษาต่อมหาวิทยาลัยที่เชียงรายครับ ชีวิตอยู่ในช่วงราบรื่น อินเลิฟ งานหนักงานเบาเราก็ไม่เครียด
หลังจากที่ผมจ่ายเงินค่าเทอมให้กับทางมหาวิทยาลัยแล้ว วันนั้นเป็นวันที่เธอเขาต้องกลับกรุงเทพพอดี ผมเลยไปส่งขึ้นรถที่ขนส่ง
ก่อนกลับผมถามน้องเขาว่า....
ผม : "อยู่กับใครหรอที่กรุงเทพน่ะ?"
เธอ : "อยู่หอคนเดียวน่ะ แม่อยู่ต่างจังหวัด"
ผม : "กลับไปก็ดูแลตัวเองดีๆนะ"
หลังจากเธอกลับไป... ผมก็อยู่บ้านกับพ่อมากขึ้น และนี่คือจุดเริ่มต้นของการหนีออกจากบ้าน
พ่อผมติดเหล้ามากครับ ตื่นมาก็กินยันตอนนอน... เช้ามาเขามักจะอ้วกเสียงดังเหมือนราชสีห์คำรามไม่มีผิด
ทุกๆวันตอนเช้า เราต้องตื่นก่อนเขา ต้องมีกาแฟ ปาท่องโก๋ หนังสือพิมพ์ เตรียมไว้ให้เขา (ถ้าไม่มีจะโดนครับ) ทุกมื้อเราต้องเตรียมให้พร้อมเขาเสมอ
เหล้าต้องไม่ขาด... พ่อผมไม่ได้ทำงานครับ ฐานะตอนนั้นถือว่าค่อนข้างยากจน
ช่วงไหนที่เหล้าขาด เงินที่หามาซื้อเหล้าก็คือเงินเก็บของผม เงินที่แม่ผมโอนมาให้ซื้อขนม ซื้อข้าว
ผมรู้สึกอึดอัดใจ คิดในแง่ของอนาคตว่า "ถ้าวันข้างหน้าเรามีโปรเจ็คแล้วต้องใช้เงินล่ะ เราต้องจ่ายค่าเทอมล่ะ พ่อจะดูแลเราได้หรือ?"
ค่าเทอมปีแรก แม่ก็แบกหน้าไปยืมคนอื่นมาให้ เพราะพ่อบอกว่าพ่อยังไม่มีเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้น
กลับมาคิดแทนแม่ ผมเห็นแม่ทำงานเดือนๆนึง ได้เงินมาก็แบ่งให้เราใช้ สบายจะตาย
และผมนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจหนีออกมา...
เก็บกระเป๋า แล้ววิ่งออกจากบ้าน ดักโบกสองแถวอยู่หลังพุ่มไม้เพื่อไปสถานีขนส่งในตัวจังหวัด พอถึงขนส่งก็รีบซื้อตั๋วนั่งรถดิ่งไปกรุงเทพฯ เพื่อที่จะไปอยู่กับน้องเขา คิดว่าจะสร้างครอบครัวอะไรด้วยกันเสร็จศัพท์เลย
ระหว่างอยู่บนรถทัวร์แม่โทรมาร้องไห้เลยครับ แม่บอกแม่รับไมได้กับการกระทำของผมเป็นอย่างมาก
แม่ : "ถ้า...หนีออกจากบ้านไป ก็ถือว่าหนีออกจากชีวิตแม่ไปด้วย"
ความสัมพันธ์ของแม่และลูกตัดขาด!!! แต่ผมไม่ช็อคครับ เพราะทรนงในตัวเอง
แม่เข้าใจว่าผมหนีตามผู้หญิง (ในชีวิตจริงเขามีแต่ผู้หญิงหนีตามผู้ชาย 555)
ผมคิดว่าเดี๋ยวเค้าก็มาง้อเราเอง... แต่บอกเลยว่าถ้ามาง้อจะไม่กลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีกแน่นอน
ผมทนพ่อของผมไม่ไหวจริงๆ นับวันยิ่งหนักขึ้นๆ เหมือนเราเป็นทาสมากกว่าลูกในไส้
ถึงกรุงเทพฯ ก็รีบดิ่งมาหาน้องเขาที่ห้องเลยครับ จัดของเข้าตู้ และเราตั้งใจไว้ว่าจะสร้างอนาคตร่วมกัน (คนนึงอายุ 18 อีกคนนึงอายุ 15 จะสร้างครอบครัว... เจริญพร)
เราอยู่กินด้วยกันมาซักพักใหญ่ๆ โดยที่แม่ของเธอจะส่งเงินมาให้ทุกเดือนครับ แม่เข้าไม่รู้ว่าผมมาอยู่กินกับเธอด้วย... นานวันเข้า ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้น อยู่ด้วยกันนานขึ้น คนที่หอก็เกิดความสงสัย (คนดูแลหอสนิทกับแม่น้องเขาครับ) ก็เลยโทรไปฟ้องแม่เธอว่าผมมาอยู่กินด้วย เรื่องก็เลยบานปลาย... แม่เธอโทรมาโมโหใส่เธอประมาณว่าส่งเงินเลี้ยงดูหวังจะได้เห็นใบประกาศ กลับได้เห็นผัวแทน ผมก็เลยขอคุย อธิบายเหตุผลว่าผมเป็นใคร มาอยู่ด้วยกันได้ยังไง ผมเล่าทุกอย่างให้ฟัง แม่เขาก็นึกสงสาร แล้วอนุญาติให้อยู่กินด้วยกันครับ...
หลังจากวางสาย ผมเริ่มมีกำลังใจ เช้าวันรุ่งขึ้นผมใช้เงินอันน้อยนิดที้หลือ ออกไปหางานทำ ในหัวคิดเสมอว่า "เราจะสร้างครอบครัว เราจะสร้างครอบครัว" ก่อนออกจากบ้าน ก็หาดูตำแหน่งงานตามเว็ป ที่ๆรับสมัครก็ใกล้กันซะเหลือเกิน สีลมที่นึง บางเขนที่นึง จตุจักรอีกที่นึง แล้วเงินทั้งเนื้อทั้งตัวผมมีแค่ 81 บาท!!!
เดินทางรถเมล์ฟรีครับ ประหยัด... แต่บางบริษัทที่จะไปสมัคร ต้องนั่งวิน ก็ต้องจำใจควักตังค์จ่าย... เดินสมัครงานจนท้อ ไม่มีที่ไหนรับ...
บ่าย 2 ยังไม่ได้ทานข้าว เงินเหลือประมาณ 40 กว่าบาท ต้องไปสมัครงานที่สีลมอีก
ฮึ่บสู้ครับ... แบกตัวอันผอมแห้งไปถึงสีลมเวลาประมาณ 4 โมงเย็น เหลือเงินติดตัว 11 บาท พอดีค่ารถเมล์ขากลับ คิดไว้เลยว่าถ้าที่นี่ไม่ได้ เราแย่แน่ๆ... ปรากฏว่าสัมภาษณ์ผ่านครับ ผมได้รับเข้าทำงาน ดีใจกระโดดโลดเต้นอยู่พักใหญ่ ท้องเจ้ากรรมก็เกิดบิดเกิดปวดเพราะโรคกระเพาะขึ้นมาเสียดื้อๆ ทำยังไงดีล่ะ เงินก็มีแค่พอนั่งรถกลับ แต่ถ้าไม่หาอะไรกินก่อน คงไม่พ้นเป็นลมแน่นอน...
จากนั้น... ผมก็เริ่มทำสิ่งที่ผมไม่เคยทำในชีวิต นั่นคือการ "ขอข้าวกิน"
จากเด็กที่เคยเอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็ต้องได้ หยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเอง กลับต้องมาเดินขอข้าวกินจากคนอื่น ถามว่าอายมั้ย อายมากครับ...
แต่ถ้าไม่ทำ ก็ไม่มีอะไรกิน เดินขอข้าวกินไปซักพัก น้องเขาก็โทรมา (เราจะใช้คำนามเป็นแก-เค้า)
เธอ : "แกเป็นไงบ้าง? หางานได้รึยัง?"
ผม : "อ๋อ ได้แล้วแก เริ่มอาทิตย์หน้าเลย ดีใจอะ"
เธอ : "ดีใจด้วยนะ เหนื่อยไหม? กินข้าวรึยัง?"
ผม : " อ๋อกินแล้วแก กินข้าวไข่เจียว อิ่มมาก "
ใช่ครับ... ผมกำลังโกหก
ผมไม่กล้าบอกความจริงแฟนว่าผมกำลังเดินขอข้าวกิน เงินที่แม่ของเธอโอนมาให้ เราก็ไปจ่ายค่าห้องซื้อของใช้ ซื้ออาหารมาตุนไว้ที่ห้อง จนแทบไม่มีเงินสดเหลือเลย ถ้าผมบอกว่าผมเดินขอข้าวกิน เธอจะมองเรายังไง เขาจะคิดยังไง ถ้าเราเป็นเธอ เราก็คงคิด... 'นี่เรามีแฟนเป็นขอทานหรอ?' 'ทำตัวอย่างกับคนจรจัด' 'ทำอะไรน่าเกลียด'
หลังจากวางสาย ก็เดินหน้าไปขอข้าวกินตามร้านอาหารไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ผล บางร้านก็ตอกกลับมาว่า... "แต่งตัวก็ดี หน้าตาก็ดูสะอาด มาขอข้าวกินอย่างกับขอทาน" แหม่... ก็มาสมัครงานนี่ครับ ต้องแต่งตัวเป็นทางการหน่อย ภายนอกดูหรูหรา แต่เงินในกระเป๋าแฟ่บไม่สมกับชุดเอาซะเลย
เดินๆไปได้ซักพัก ก็เจอร้านอาหารร้านหนึ่ง ที่มีถังไว้ใส่เศษอาหารหรือของเหลือที่ลูกค้าทานไม่หมด (ประมาณว่าเลิกงานปิดร้าน เอาเศษอาหารพวกนี้ให้สุนัขจรจัดกิน) ถังใบนี้วางอยู่เยื้องๆร้าน ใกล้กับตัวฟุตบาต ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจเท่าไหร่ ขณะนั้นผมก็ผุดความคิดอันรันทดขึ้นมา
ผมคุยขยะหากล่องโฟม แล้วเคาะๆเศษปฏิกูลออกให้หมด หลังจากนั้นก็เดินเนียน ไปริมฟุตบาต ใช้โฟมตักเศษอาหารพูนโตๆ แล้วก็เดินเนียนไปในซอกเล็กๆ โชคดีครับที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น ช่วงนั้นเป็นเวลาโพล้เพล้ เวลาเลิกงานของมนุษย์เงินเดือนที่สีลม คนที่ร้านอาหารเลยเยอะจนเด็กเสิร์ฟหรือพ่อครัวก็ไม่มีเวลามายืนสังเกตในสิ่งที่ผมทำ....
ผมเดินเข้ามาในซอกเล็กๆ แล้วบรรจงใช้มือหยิบข้าวเละๆเข้าปากกินอย่างเอร็ดอร่อย รสชาติแย่มาก แต่เพราะหิว ก็ต้องจำใจกิน กินไปน้ำตาก็ไหลไป... คิดในใจ "นี่ชีวิจเราตกต่ำถึงขนาดนี้เลยหรอเนี่ย"
แว๊บนึง... เกิดอาการ Homesick คิดถึงแม่ขึ้นมา เลยโทรไปหาแม่ ปรากฏว่าแม่ไม่รับสายผมแม้แต่สายเดียว ถึงขึ้นที้ตัดสายทิ้งกันเลยก็มี ทำให้ผมร้องไห้หนักกว่าเดิม
หลังจากทานอาหารเสร็จก็หิวน้ำ เดินไปหาตู้กดน้ำของ กทม. ดื่มไปหลายอึก (ที่โฆษณาว่าน้ำประปาดื่มได้ ตามฟุตบาตในกรุงเทพฯ)
อิ่มท้องไปหนึ่งมื้อ นั่งรถเมล์กลับมาถึงบ้าน เห็นน้องเขาทำอาหารไว้ รอทานพร้อมเราอยู่ ผมยิ้มปริเลยครับ เวลานี้ช่างมีความสุขจริงๆ เธอคนนี้ทำหน้าที่เป็นภรรยาได้ดีมาก ทำอาหารเก่ง งานบ้านไม่เคยขาด เพอร์เฟ็คมากครับ แต่อากัปกริยา ท่าทาง และการแต่งตัวแรงไปหน่อย....
หนึ่งอาทิตย์ผ่านมา ได้เวลาเริ่มงานวันแรก
ผมโทรไปขอเงินแม่ของเธออีก (ตอนนั้นผมไม่มีญาติเหลือเลยครับ ไม่มีใครเอาผมเลย ทุกคนแอนตี้หมด)
ทำงาน 09.00-18.00น. กลายเป็นมนุษย์เงินเดือนแล้ว เริ่มเห็นความฝันในบั้นปลายอนาคตของผมกับเธอลางๆ
ทำงานเสร็จกลับมาถึงห้องก็มีอาหารเตรียมไว้พร้อมกับรอยยิ้มของการรอคอยมาทั้งวัน มีความสุขดีครับ งานก็ดี แฟนก็ดี... แต่ช่วงดีๆมักจะผ่านไปเร็ว การเป็นมนุษย์เงินเดือนของผมจบสิ้นครับ เพราะผมติดยา ช่วงนั้นพี่เสก ไฮโซกำลังดังเรื่องเสียๆหายๆ ผมจึงตามกระแสกับเขาไปด้วย ผมกับเธอต่างคนก็ต่างมีนิสัยแบบสุดขั้วเหมือนๆกัน เราเลยเล่นยาด้วยกัน
ผมออกจากงาน โดยที่ทำไม่ถึงเดือนนึงด้วยซ้ำไป ถูกเขาไล่ออก สาเหตุคือตื่นสาย มาทำงานสาย สั่งงานไป ไม่ค่อยทำตามที่กำหนด ทำงานพลาด เพราะฤทธิ์ของยาเสพติดนั่นเอง...