อาการแบบนี้โดนคุณไสยไหม... ??

กระทู้คำถาม
.... เรื่องมีอยู่ว่า ... เมื่อก่อนมีแฟนคนนึง มีตอนอายุ 17-18 อยู่กันมาเกือบ 5 ปี ซึ่งทางฝ่ายพ่อแม่ ฝ่ายชาย เค้าก็ไม่เห็นด้วย เพราะทางบ้านเราค่อนข้างยากจน .. บ้านก็ไม่ไกลกันนะ ห่างกัน ไม่ถึงกิโล .. ก็อยู่มาเรื่อยๆ บ้านเค้าก็ทำธุรกิจขายของชำ และธุรกิจส่วนตัวอีกอย่างด้วย  อยู่บ้านเค้าเราก็ทำทุกอย่างนะ ไม่ได้ขี้เกียจ .. ทำตั้งแต่เค้าเกลียดจนเค้าเริ่มยอมรับ ..  (ทำจนไม่ได้โงหัวไปไหนเลย) แต่...แฟนเราเค้าขี้เกียจมาก ไม่หยิบจับอะไรช่วยเลย .. จะทำอะไรก็ต้องรอเราตลอด .. แล้วรายได้ก็ไม่เข้ามือ คือทำกับครอบครัวเค้า เค้าก็ไม่แบ่งให้  เค้าบอกว่าเรา อยู่กินกับเค้าก็เปลืองพอละ ... ???  .. เรามันก็ไม่ไหว ถึงบ้านจะขายของชำ แต่ก็ไม่ได้หยิบจับอะไรมาใช้ฟรีๆ เพราะของซื้อของขาย เข้าใจ ..ก็ต้องจ่ายเงิน ..แต่รายได้เราไม่มี  .. เลยพูดกับแฟนว่า เราจะไปทำงานนะ เพราะเราไม่มีเงินเลย  อยากได้อะไรก็ไม่มีตังค์ซื้อ .. ทางแฟนเราเค้าก็เอาเรื่องนี้ไปคุยกะแม่กะน้าเค้า ..แล้วคำตอบที่ได้คือเค้า ไม่อยากให้เราไป เค้าบอกว่าไปเป็นลูกจ้างคนอื่นมันหน้าต่ำ .. (แล้วที่อยุ่ทุกวันนี้หละ .. เงินก็ไม่ได้) ที่จริงแล้วเค้ากลัวไม่มีใคร ช่วยกิจการเค้า ...แรกๆเราก็ยอม หลังๆมามันไม่ไหว ทำไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี เราก็ชวนแฟนว่า เราอออกไปทำบ้านอยู่ต่างหากเถอะ เอาไม่ใหญ่มาก กระต๊อบไม้ไผ่ก็ยังดี ..อยู่สองคนสบายใจ .. คือว่าบ้านแฟนเค้าอยู่กันสองครัวใหญ่ๆมีน้องแฟนมีหลานๆ 8-9 ชีวิต แล้วเราต้องรับผิดชอบทุกอย่าง  ทำกับข้าว ทำเสร็จเค้ากินอิ่มเราก็เก็บ แล้วไม่มีใครช่วย เราคนเดียว เออ..ไม่เป็นไรทำได้ ... แต่ก็น้อยใจนะขนาดแฟนเรามันยังไม่ช่วย ...!!! T_T  พอเราชวนแยกไปอยู่ข้างนอก เค้าก็ว่าไปทำไม ไปอยู่แบบนั้น พริกก็ซื้อเกลือก็ซื้อ เปลือง .. (ฟังเค้าพูด) เราก็ได้แต่เก็บไว้ในใจตลอด ... จนวันนึงตัดสินใจไปทำงาน ร้านอาหารในโรงพยาบาล เสริฟ เนี่ยแหละ ส่งข้าวตามตึกบ้าง พวกพญาบาลพวกหมองี้ เค้าสั่งก่อนเที่ยง เราต้องเคลียร์ก่อนเที่ยงเพราะร้านค่อนข้างขายดี ได้วันละ 300 วันไหนมีเหมาข้าวกล่องเจ้าของร้านก็ให้เพิ่ม อีก 100 นึงบ้างแล้วแต่  แต่เจ้าของร้านเนี่ย .. ปากก็จัดนะ ..ร้านข้างๆแกไม่ถูกกะเค้าสักเจ้า อะไม่ว่ากันปากร้ายใจดี แค่จ่ายเงินก็พอ..อยู่มาเกือบสองปี  ... ทางน้าของแฟน (คนที่เปิดร้านของชำ) แกไปประมูลร้านอาหารที่โรงงานเปิดใหม่ได้ ก็แถวบ้านแหละไม่ไกล ห่างไป 3-4 กิโล เค้าก็มาพูดกะแฟนเรา ว่า ให้เราเนี่ยออกจากงานมาขายของช่วยเค้าหน่อย ไม่เชิงว่าขายช่วย แต่ให้มาเปิดร้านขายเลย เพราะเราทำกับข้าวเป็นและ รสชาติดีอยู่บ้าง เราก็ว่าน่าจะดีนะ ให้แฟนไปเป็นลูกมือ ทำช่วยกันก็พอได้  แต่ก็นึกเสียดายงานทางนี้อยู่ ..ทำไงได้คนอยากก้าวหน้า  ไปก็ไป..ก็บอกงานทางนี้ว่าจะออกนะ เจ้าของร้านก็ให้หาคนมาแทนแล้วฝึกเค้าให้ด้วยค่อยไป อ่ะ..ได้ หามาฝึกให้ด้วย อาทิตย์นึง ก็ลาขาด ...
              จุดพลิกมันอยู่ตรงนี้ ... ลาออกมาแล้วไม่เป็นเหมือนว่า .. แทนที่ว่าจะได้มาเปิดร้าน กลับต้องมาช่วยเค้าขายเหมือนเดิม ... !!! ค่าแรงก็ไม่ให้ เปิดร้านข้าวราดแกง และของชำ ขนม นม บลาๆๆ เจ้าใหญ่ในโรงงาน เพราะเป็นเจ้าแรกๆ ก็เลยขายได้หลายอย่าง ตอนเช้าต้องตื่นตีสาม ไปตลาด ไปคนเดียว ขับมอไซค์ไป ฝนตกก็ไป หนาวก็ไป ทั้งๆที่น้าแกก็มีรถกระบะนะ แต่เค้าก็ให้เราไป เค้าบอกเราซื้อของเป็น .. ก็ไป ขัดไม่ได้ .. กลับมาเกือบหกโมงเช้ามาที่โรงงาน หุงข้าวทำอาหารเตรียม 7โมงเช้า พนักงานเค้าจะมากินข้าวเช้า ช้าเดี๋ยวไม่ทันขาย  ขายเสร็จล้างถ้วย รอบเช้า ล้างถ้วยเสร็จ เตรียมอาหารรอบเที่ยง เสร็จล้าง ล้างเสร็จเตรียมรอบค่ำ กะดึก  วนอยู่อย่างงี้   อยากบอกว่า ตามวงจรนี้ ค่าแรงไม่ได้ แฟนไม่มาช่วย ... ลืมบอกไปว่า เสาร์อาทิตย์ เราก็ต้องไปเรียนด้วย ปตรี .  ...  เหนื่อยไม่มีเวลาพักผ่อนกว่าจะกลับบ้าน ก็เกือบหกโมงเย็น เพราะต้องเคลียร์ร้านคนเดียว ฝ่ายน้าเค้าขายเสร็จเค้าก็นับตังค์กลับบ้าน เราก็เก็บกวาดล้างคนเดียว  กลับมาบ้านก็ต้องมาทำงานที่บ้านอีก ทำกับข้าวให้พวกที่บ้านกินอีก กว่าจะได้นอน เหนื่อย แอบไปร้องไห้ในสวน เนี่ยถ้าทำที่บ้านเรานะ แม่รักตายเลย อยากบอกว่า ขนาดบ้านไกลกันไม่ถึงกิโล ยังไม่มีเวลากลับบ้านหาแม่เลย  ถ้าเค้ารู้ว่าเราซื้อของปให้แม่นะ เค้าก็บ่นอยู่นั่นหละเป็นเดือน รำคาญ... ก็ไม่รู้ทนอยู่ได้ยังไง .. พออยู่วงจรนี้มาได้ซักสามสี่เดือน  มันก็ไม่ไหว รายได้ไม่มี เราก็ต้องใช้เงิน แฟ๊บ สบู่ ยาสีฟัน บลาๆๆ เราใช้ประจำหนะ  เริ่มไม่ไหว ไปหางานทำอีกที ได้งานเซเว่น ก็บอกเค้าว่าจะมาทำงานละนะ ไม่ไหว ดูจากสีหน้าท่าทาง เค้าก็ไม่พอใจกันละ ทำไงได้ ดักดานอยู่ก็ไม่ได้อะไรอีก ...   พอมาทำงานเซเว่น ก็ควบมันหลายๆกะ ไม่อยากกลับบ้าน กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนผ้าก็ออกมาเลย แบบว่าเบื่อมาก  พอเปลี่ยนกะ ก็นอนบนห้องเก็บของเลย  นึกว่าจะดี .. ที่ไหนได้ กลับบ้านไป งานที่เคยทำก็ไม่มีใครทำอยู่ดี ก็ต้องทำเองอีก กระทั่งเสื้อผ้าของแฟน เค้าอยู่บ้านเฉยๆเค้าก็ยังไม่ยอมซัก  จำไม่ได้เลยว่าไปแอบร้องไห้ในสวนกี่ครั้ง ... เหลืออดจริงๆ เหนื่อย ท้อ ไม่ไหว .... พอกันที
                  ครั้งสุดท้ายตัดสินใจ  ไม่กลับบ้านเลย จนเค้ามาตามที่เซเว่น ก็ไม่อยู่ที่น่นหรอก ไปบ้านเพื่อน ขออาศัยเพื่อน เพราะเพื่อนคนนี้เค้ารู้เรื่องเราตลอด  พอเราไม่กลับบ้าน ก็มีปัญหาเป็นเรื่อง เค้าก็ตาม ตามที่ทำงาน ตามจนรำคาญ ก็เลยกลับ บ้าน กลับไปเราก็ไม่พูดอะไร เค้าก็พยายามจะคุยกะเรา ทั้งพ่อแม่ น้าๆ ของเค้า ถามว่าเราเป็นอะไร เราก็ไม่ตอบ ... แล้วเราก็จะแต่งตัวไปทำงาน แล้วแฟนเรามันไม่ให้ไป มันบอกให้เราลาออก เลิกทำ เราก็ไม่ยอม เค้าก็ขับรถของเราหนี เพื่อที่เราจะได้ไม่มีรถไปทำงาน .. ( ชั่วไหมละ มีชั่วกว่านี้อีก )   ผ่านไปซักชั่วโมง เค้าก็ขับกลับมา เราก็จะลงไปเอารถ จะไปทำงาน  เค้าก็จัดการถอดล้อออกเลย  เอาล้อไปซ่อนด้วย ถ้าเอาวางไว้แถวนั้นเราก็คงประกอบได้ เพราะเราซ่อมรถเป็น ... (แกมโกงจริงๆ) ... วันนั้นเป็นวันที่ สติขาดสุดๆ  โทรบอก ผจก.ว่าวันนี้ลางาน  แล้ว... เดิน.. เดินกลับบ้านไปหาแม่ ก็ประมาณกิโลนึงหนะ ... เอามาแต่เสื้อผ้าติดตัว แค่นั้นจริงๆ เสื้อตัวนึง กางเกงตัวนึง โทรศัพท์ เค้าก็ไม่ให้มา ไม่ได้อะไรมาเลย เดินมาถึงบ้าน แม่ก็ตกใจ ไปไงมาไง เพราะไม่ได้กลับบ้านนาน มากกกก ... แต่แม่ก็พอรู้แล้วหละ .... ว่าอะไรเป็นอะไร  .. ก็ไม่มีที่นอน เพราะไม่ได้อยู่บ้านนาน  ไปแย่งที่น้องนอน  พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากัน ....

เดะมาต่อนะ .... แปะไว้ก่อน  ยังอีกยาว... ^_^!



      ต่อๆๆๆ ...
                 มาถึงแล้วตอนแตกหักจริงๆ...  พอมานอนอยู่บ้าน รู้สึกสบายใจ โล่งอย่างบอกไม่ถูก ... ตื่นเช้ามางานก็ไม่ได้ไปทำ ไม่มีรถ .. สายๆ แฟนมาตามที่บ้าน บอกขอโทษ มานั่งเฝ้าเลยนะ ขอให้กลับ เราก็ยืนยันคำเดียว ว่าไม่กลับยังไงก็ไม่กลับ พอเค้าเห็นท่าว่าไม่ดี เค้าก็เลยกลับบ้านของเค้า ไปตั้งหลัก พรุ่งนี้เช้าๆ เค้าก็มาใหม่ มาขอให้กลับ  แล้วยื่นข้อเสนอว่า จะให้แยกบ้านก็จะแยก  หรือจะให้มาอยู่บ้านแม่ของเราด้วยกันเค้าก็ยอม  ยอมทุกอย่าง ขอให้เราคืนดีกับเค้า ... เราก็ไม่ท่าเดียว หัวเด็ด ตีนขาดก็ไม่กลับ ... เป็นอย่างนี้อยู่ สัปดาห์นึง รถก็ไม่มีไปทำงาน ทอสับก็ไม่มีใช้ เสื้อผ้าก็แอบไปเอา ตอนเค้าไม่อยู่ ทุลักทุเลมาก ทำงานก็ไปขึ้นรถ ปากซอยเข้าบ้าน มีรถสาย ... พออาทิตย์ที่สองมา มันไม่ไหว เค้ามาทุกวัน เราก็เลยหนีเข้าไปอยู่ กับเพื่อน ในตัวเมือง ไม่ไหวจริงๆ ก็ไม่วายโดนตามอีก  เค้าเอาโทรศัพท์เรา โทรหาเพื่อน เรา คนที่เราโทรหาบ่อยๆ โทรหาหัวหน้างานเราบ้าง  ประสาทจนจะกิน ... มีขู่ด้วยว่า ไม่กลับจะให้พวกมาตามดักยิง...!!!  กลัวนะ .แต่ เหมือนมันสบายใจ ไม่อยากกลับไปอีก  เหมือนหมาหลุดโซ่ยังไงยังงั้น .... ซักเดือนนึง มันวุ่นวายมาก  ก็เลยกลับมาเคลียยร์กับผู้ใหญ่กันว่าจะเอายัง .. ก็ได้บทสรุปว่า  ..... เราต้องจ่ายเงินเค้า  25000  เพื่อ ที่จะเอาของของเรา คืน ซึ่งมี โทรศัพท์ รถมอไซค์ คอมชุดนึง  ซึ่ง 25000 นี้ เรากู้ไปซื้อมอไซค์เงินสด ซึ่งใช้ไปบ้างแล้ว เหลือยอดเท่านี้ ซึ่งเรากู้กับสหกรณ์ หมู่บ้าน แต่ใช้ชื่อเค้า (กลัวเราไม่ใช้หนี้) ซึ่ง ทุกอย่างที่ว่ามาเราหาเงินซื้อเอาใช้หนี้เอง คนเดียว แต่เราก็ต้อง ไถ่ของซึ่งเป็นของ ของเรา ..?? ไม่เป็นไรยอม ... อยากหลุดพ้น ..  ก็ไปหากู้เค้ามา เอาไปจ่ายเค้าให้มันจบ ตอนไปเอาก็กลัวเค้าตุกติก  เลยให้ผู้ใหญ่ไปกันหลายๆคน  เอาเงินไปวางแล้วเอาของเรามา ... เหมือนเค้าจะอึ้งๆ ไม่คิดว่าเราจะหาเงินมาให้เค้าได้ ... ทุกวันนี้ 25000 ยังใช้หนี้เค้าไม่หมดนะบอกตรงๆ 4-5 ปีละ เพราะมาแต่ตัว บ้านก็เป็นบ้านจริงๆ ก็ต้องมานับ 1 ใหม่ ไม่เป็นไรอยู่กับแม่สบายใจ  ยังนึกเสียดายวันเวลา ไปอยู่ที่นั่น เป็นกระโถนรองบ่อนเค้า  แม่เรายังไม่ใช้เราขนาดนี้เลย ...
                ก็เหมือนเรื่องจะดำเนินไปได้ ด้วยดี ..  เค้าก็ตามไม่ยอมลดละ อยากให้เรากลับไป  เราก็ปฏิเสธท่าเดียว  โทรมาเค้าก็ร้องไห้ตลอดนะ มีครั้งนึงจำได้ นอนๆอยู่ เค้าขึ้นบ้านมากราบเท้าถึงที่นอนเลย ว่าให้กลับไปกะเค้า ยกโทษให้เค้า  ..เราเนี่ยกลัวจะบาปมากเลย แต่สิ่งที่เราโดนมา มันเกินทำใจให้กลับไป  แล้วตอนนี้ สบายมาก นอนตื่นกี่โมงก็ได้ แม่ไม่บ่น ทำกับข้าวให้แม่กิน ไม่รู้สิมีความสุขมาก บอกเลยว่าเสียดายเวลา รู้สึกผิดกับแม่มาก ... แต่แม่ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย..    ตอนนี้ก็เปลี่ยนงานใหม่ค่อนข้างดีมาก และมีแฟนใหม่ด้วย ทำงานคนละที่เค้าเป็นคนต่างจังหวัด ... เจอกันเดือนละครั้ง  ก็ทะเลาะบ้าง แต่ก็มีความสุขดี ....  
              


มีต่อข้างล่างจะ .... ^_^
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่