กระทู้นี้เป็นการวิเคราะห์ในแนวทางการวางแผนการเล่นในเกมนี้ และการแก้เกมเพื่อพลิกสถานะการณ์เมื่อเกมเป็นรองหรือเสียเปรียบ
ก่อนเกมนี้จะเริ่มขึ้น เชลซีที่มาเยือนอยู่ในอันดับที่1มี12คะแนน ส่วนแมนซิ.ทีมเหย้าอยู่ในอันดับที่6มี7คะแนน ทีมเหย้ามีปัญหาเล็กน้อยที่นักเตะตัวจริงลงสนามไม่ได้เนื่องจากอาการบาดเจ็บ1คน แต่ส่วนใหญ่ฟูลทีม ส่วนทีมเยือนนั้นไม่มีตัวบาดเจ็บมาเยือนแบบฟูลทีม
แนวทางการวางแผนต่อสู้
เชลซี เนื่องจากมีคะแนนนำอยู่ถึง5คะแนน(เฉพาะแมนซิ) และนำเป็นอันดับ1โดยมีคะแนนนำอันดับที่2(ที่แข่งมากกว่า1นัด)อยู่2คะแนน ดังนั้นการวางแผนจึงเน้นไปที่ผลเสมอเอาไว้ก่อน เพื่อยังคงยืดระยะห่างของทีมคู่แข่งโดยตรงอย่างแมนซิ.เอาไว้ จึงวางตัวนักเตะเน้นไปในเรื่องความแน่นอนในเกมรับ แต่ใส่0หน้าและมิดฟิวล์ตัวรุกลงไปด้วย เพื่อเน้นในเกมเคาท์เตอร์แอ๊ตแท๊คโดยเฉพาะเมื่อมีโอกาส
แมนซิ. เนื่องจากคะแนนและอันดับเป็นรองเชลซีทีมเยือนอยู่มาก ประกอบกับทำผลงานได้ไม่ดีใน2เกมที่พึ่งผ่านมา ดังนั้นจึงจัดวางตัวนักเตะเพื่อเกมรุกเนื่องจากต้องการ3คะแนนจากทีมจ่าฝูงเพื่อลดระยะห่างของตารางอันดับและคะแนน แต่ไม่ประมาทในเกมรับ โดยใส่มิดฟิวล์ตัวรับลงไปด้วย
เริ่มต้นเกม
หลังจากกรรมการได้เป่านกหวีดเริ่มการแข่งขัน นักเตะของเชลซีทั้งหมดได้ถูกกดดันไม่ให้มีโอกาสที่จะสามารถตั้งเกมรุกได้เลย จากการที่นักเตะแมนซิ.ใช้วิธีบีบกดดันถึงตัวนักเตะเชลซีและตัดเส้นทางการส่งบอล ทำให้นักเตะเชลซีต้องเสียการครองบอลตลอดเวลา ซึ่งต้องยอมรับว่าเปเยกรีนี่วางแผนการเล่นมาดีมากในการควบคุมมิวฟิวล์ตัวรุกของเชลซี(อาซาร์),มิดฟิวล์ตัวทำเกม(เชส)และ0หน้า(คอสต้า) ไม่ให้มีโอกาสที่จะมีส่วนร่วมกับเกมรุกได้เลย จะมีการใช้การบีบกดดันแบบ man to man และก็จะมีตัวคอยซ้อนเพื่อดักทางในยามตัวประกบพลาดรวมถึงตัดเส้นทางลำเลียงการส่งหรือจ่ายบอลของคนเหล่านี้ โดยไม่ให้โอกาสและยังมีแผนเผื่อเอาไว้ในยามพลาดอีก คือการทำฟาวล์เพื่อหยุดการทำเกมทันทีเมื่อพวกนี้หลุดไปได้ถึงใกล้เส้นกลางสนาม คือนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับการเล่นทีมบุกกดดันในแดนของฝ่ายตรงข้ามแบบไม่ให้โงหัวขึ้นมาได้ แต่กลับได้รับใบเหลืองถึง4ใบรวมถึงทำฟาวล์มากกว่าฝ่ายที่ต้องตั้งรับจนโงหัวไม่ขึ้น ซึ่งตามหลักโดยทั่วๆไปแล้ว ปรกติฝ่ายตั้งรับนั้นมักจะมีโอกาสที่จะต้องทำฟาวล์บ่อยๆและมีโอกาสที่จะโดนใบเหลืองมากกว่า
สำหรับมูรินโญ่ที่วางแผนหลักๆมาสำหรับในเกมตั้งรับอย่างเหนียวแน่น แล้ววางหมากไว้ในเกมเคาท์เตอร์แอ๊ตแท๊คเมื่อมีโอกาส ก็ไม่ได้มีท่ากังวลต่อการที่ลูกน้องไม่มีโอกาสได้ตั้งเกมขึ้นมาได้เลย แต่กลับดูเฉยๆเหมือนกับว่าไม่มีปัญหาอะไรเป็นเรื่องปรกติของเกมอยู่แล้วนั้น เนื่องจากเป็นเพราะว่ามูรินโญ่เชื่อมั่นในแผนเกมตั้งรับอย่างเหนียวแน่นที่ได้เซ็ตขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับเกมนี้ ซึ่งนักเตะของแมนซิ.แทบไม่มีโอกาสที่จะได้หลุดเข้าไปยิงประตูได้ภายในกรอบเขตโทษเลย นักเตะของแมนซิ.จะถูกการมาร์คตัวเอาไว้ก่อนที่จะเข้ามาในระยะอันตรายโดยที่นักเตะเชลซีไม่ให้โอกาสให้เล่นได้ง่าย และจะถูกเคลียบอลออกจากเท้าหรือตัดการส่งบอลให้เมื่อเข้ากรอบเขตโทษหรือในระยะยิงทำประตู ซึ่งในลักษณะนี้มูรินโญ่ได้หวังว่าในช่วง5นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก นักเตะของแมนซิ.น่าที่จะอ่อนแรงลงและจะเปิดช่องว่างให้ตัวรุกของเชลซีได้มีโอกาสเล่นเกมเคาท์เตอร์แอ๊ตแท๊คขึ้นไปยิงประตู เหตุผลในเรื่องนี้ก็คือว่านักเตะที่เล่นในเกมรุกอยู่ตลอดเวลาและเล่นในเกมเพรสซิ่งไล่กดดันอยู่ตลอด จะต้องใช้พละกำลังของร่างกายเป็นอย่างมาก(โดยเฉพาะมากดดันนักเตะเชลซีที่มีความคล่องตัวไม่เป็นรองกัน) และส่วนฝ่ายที่ตั้งรับในแดนตัวเองโดยการตั้งโซนรับนั้นมักจะใช้พละกำลังของร่างกายที่น้อยกว่ามาก แต่เนื่องจากเปเยกรีนี่ก็วางแผนเอาไว้จัดการกับเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นคู่เซ็นเตอร์และมิดฟิวล์ตัวรับจึงคอยอยู่เฝ้าบ้าน เกมสวนกลับของเชลซีก็เลยยังไม่ประสพความสำเร็จหรือมีโอกาสกดดันมั่ง
สรุป การวางแผนของทั้งสองผจก.ทีมนั้น ทำได้ดีพอๆกันมีข้อด้อยคือแมนซิยังยิงประตูไม่ได้ตามแผนแต่เชลซีก็ไม่สามารถเล่นเกมเคาท์เตอร์แอ๊ตแท๊คตามคาดหวังไว้ได้
เริ่มเกมครึ่งหลัง
เริ่มครึ่งหลัง ทั้ง2กุนซือก็ยังไม่เปลี่ยนนักเตะ(ส่วนจะแก้เกมอย่างรัยในห้องแต่งตัวก็คงจะมีละ) รูปแบบการเล่นของทั้งสองทีมก็ยังเหมือนเดิมๆตามครึ่งแรก แต่เมื่อมูรินโญ่ได้สังเกตุจากข้างสนาม อ่านเกมแล้วดูว่านักเตะแมนซิเริ่มที่จะอ่อนแรงลงจากเดิมที่ฟิตเป็นม้าเลย ก็เลยแก้เกมเปลี่ยนเอารามิเรส(ตัวรับ)และวิลเลี่ยน(จริงๆแล้วถือว่าเป็นตัวรุกแต่เฉพาะในเกมนี้ถือว่าตัวรับในเกมนี้)ออกแล้วส่งมิเกล(ตัวรับ)กับเชอเร่ย์(มิดฟิวล์ตัวรุก)ลงมาแทนในเวลาประมาณนาทีที่60 การเปลี่ยนตัวของเชลซีตามรูปแบบนี้ดูเผินๆก็เป็นการเปลี่ยนตัวไปตามตำแหน่ง หากมองแบบไม่ลึกซึ้งอาจจะคิดได้ว่าเชลซีต้องการเน้นเกมป้องกันเพิ่มมากยิ่งขึ้นซะด้วย(เนื่องจากก่อนที่จะเปลี่ยนเอามิเกลลงมาแทน รามิเรสนอนเจ็บอยู่) ซึ่งมิเกลนั้นเป็นตัวรับแท้ๆเลย จากนั้นเชลซีก็เริ่มค่อยๆตั้งเกมขึ้นมาได้จากการเริ่มแผ่วของนักเตะแมนซิ จนกระทั่งมาเกิดจุดเปลี่ยนในนาทีที่66 ซึ่งคอสต้าที่ยังมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือกระชากบอลผ่านซาบาเลต้าที่เริ่มแผ่วลงแล้ว และซาบาเลต้าก็ต้องทำฟาวล์เพื่อหยุดคอสต้าที่เริ่มฉีกหนีไปเกือบช่วงตัว โดยเป็นการทำฟาวล์ที่เข้ามาเตะด้านหลัง ในลักษณะนี้มันเป็นใบเหลืองอย่างแน่นอนซึ่งก็ไม่รู้ว่าซาบาเลต้าลืมไปหรือเปล่าว่า ในครึ่งแรกก็ได้ใบเหลืองไปแล้ว ในลักษณะนี้มันก็ไม่ต้องไปเถียงหรือออกมาแก้ตัวใดๆเลยจากการโดน"เหลืองแดง" แต่คอสต้าก็จ่ายค่าโง่ไปเนื่องจากตัวเองลุกขึ้นมาค้ำคอซาบาเลต้าก็เลยโดนใบเหลืองไปด้วย ทั้งๆที่อยู่เฉยๆซะซาบาเลต้าก็โดนใบเหลืองแดงอยู่แล้วละ
พอจำนวนนักเตะได้เปรียบ มูรินโญ่ก็ลุกขึ้นมาปลุกเร้าเด็กๆในทีมอย่างเต็มที่ ตอนนี้ไม่มานึกแค่เอา1แต้มแล้วกะเอาถึง3แต้มชนะไปเลย ตอนนี้เชลซีเริ่มตั้งเกมสู้แล้วในขณะที่นักเตะแมนซิก็ยังงงๆอยู่ โดยที่ก็ไม่ได้ตั้งเกมรับกลับพยายามบุกแลกหมัดและในเวลานั้นเปเยกรีนี่ก็อาจจะช๊อคไปชั่วขณะ ลืมไปว่าควรที่จะส่งตัวรับลงไปทดแทนตำแหน่งแบ๊คที่ขาดหายไป พอถึงนาทีที่70ก็ถึงเวลาที่มูรินโญ่และนักเตะเชลซี(รวมถึงกองเชียร์เชลซีด้วย)รอคอยมาอย่างเยือกเย็นตั้งแต่เริ่มเกมมา จากการต่อบอลกันจากบริเวณกรอบเขตโทษของนักเตะเชลซีก็สามารถจบลงได้เมื่อเชอเร่ย์ ส่งลูกบอลเข้าไปซุกก้นตะข่ายประตูของแมนซิ. เชลซีนำ1-0 ก็ขอกล่าวถึงประตูนี้หน่อยละค่อนข้างที่จะสวยงามดีจากการต่อบอลกันหลายจังหวะ เริ่มแรก เชอเร่ย์ตัดบอลได้ในกรอบเขตโทษ เลี้ยงบอลออกมาจนพ้นกรอบเขตโทษ แล้วจ่ายบอลให้อาซาร์ที่ไต่ริมเส้นทางด้านฝั่งขวา เมื่ออาซาร์พาบอลไปได้ถึงเส้นกลางสนามก็โยนบอลครอสขวางสนามไปให้เชสที่อยู่ฝั่งริมเส้นซ้ายกลางสนาม จากนั้นเชสก็จ่ายบอลสั้นให้อีวานโนวิชที่อยู่ถัดเข้ามาเกือบกลางสนาม(งงเหมือนกันตรงนั้นมันค่อนไปทางซ้ายแต่อีวานมันเป็นแบ๊คขวาทำไมมันไปอยู่แถวนั้น็ไม่รู้) ต่อจากนั้นอีวานก็จ่ายบอลสั้นให้คอสต้าที่อยู่กลางสนามระยะห่างประมาณ40หลาจากประตูแมนซิ ในตอนนั้นคอสต้าเจอ2เซ็นเตอร์ขอแมนซิปิดเส้นทางในรูปแบบ"แซนด์วิท" คอสต้าก็จ่ายบอลออกข้างไปให้อาซาร์ที่อยู่ริมเส้นด้านขวา โดยที่ยังดึงเอาคู่เซ็นเตอร์แมนซิตามคอสต้าไปด้วย เนื่องจากทั้งคู่ต้องตามประกบคอสต้ากันการมาเข้าฮอสในกรอบเขตโทษ จากนั้นอาซาร์ก็ควบพาบอลบุกเข้าทางด้านขวาสุดโดยมีตัวประกบแค่คนเดียว ซึ่งการที่คิดจะมาตามประกบอาซาร์เพียงแค่คนเดียวนั้น มักจะจบลงด้วยความเศร้าของฝ่ายตรงข้าม อาซาร์ได้จ่ายครอสในแบบลูกเลียดผ่านหน้าประตูไปทางซ้าย ซึ่งเชอเร่ย์ที่มาจากกรอบเขตโทษฝั่งเชลซี(ระยะยทาง92หลา)มาเจอตรงจุดนัดพบและยิงเข้าประตูไปอย่างสวยงาม โดยตัวประกบแค่คนเดียวที่ตามมาช้ากว่าช่วงตัว เรียกว่าจุดแรกเริ่มต้นที่เชอเร่ย์และจบด้วยเชอเร่ย์ยิงประตู รูปแบบการเข้าทำนี้ น่าจะเป็นแผนที่ได้ซ้อมกันมาอย่างเข้าขากัน แผนนี้ถูกวางให้คอสต้าพาหรือดึงตัวประกบไปให้พ้นทาง เพราะว่าจากการที่คอสต้ายิงได้หลายประตูนั้น คนคุมทีมฝ่ายตรงข้ามต้องสั่งให้มีการประกบตัวคอสต้าเอาไว้ให้ไม่มีโอกาส โดยเฉพาะในโซนอันตราย ซึ่งคอสต้าสามารถดึงเอาคู่เซ็นเตอร์ของแมนซิไว้ได้ โดยที่คอสต้าดึงช้าเอาไว้เล็กน้อยก่อนที่จะเข้ากรอบเขตโทษ(ถ้าสังเกตุจากภาพรีเพลย์จะเห็นได้ว่าคอสต้ากับคู่เซ็นเตอร์เข้ามาในกรอบเขตโทษเมื่อเชอเร่ย์ยิงประตูไปแล้ว)
หลังจากนั้นแนวรุกของเชลซีก็พยายามบุกขึ้นมาอย่างหนักเพื่อทีจะเอาประตูที่2 เพื่อที่จะได้ปิดเกมให้ได้โดยที่ฝ่ายแมนซิต้องลงไปตั้งรับมั่ง ในช่วงเวลานี้นักเตะเชลซีในแนวรุกได้ใช้พละกำลังโหมเข้าบุกมากเกินไป จึงเริ่มแผ่วลงมั่ง ในช่วงประมาณนาทีที่80ต้นๆนั้น เปรเยเกนี่ได้โชว์"กิ๋น"ของยอดโค๊ชออกมาให้เห็น โดยส่งไพ่ใบสุดท้ายที่มูรินโญ่คาดไม่ถึงลงมาซึ่งเป็นโควต้าเปลี่ยนตัวคนสุดท้ายคือส่งแลมพาร์ตลงมา(ทั้งๆที่ใครๆคาดกันว่าจะเป็นนาสรี่มากกว่า) และจากความผิดพลาดในการประกบตัวของเชอเร่ย์ ทำให้แบ็คซ้ายของแมนซิหลุดเข้าไปจ่ายบอลแบบง่ายๆในกรอบเขตโทษ ซึ่งคนที่เป็นเป้าหมายในการรับบอลก็คือ แลมพาร์ต ที่รู้ตำแหน่งการยืนประกบตัวของเกมรับของเชลซีได้ดี จึงว่างโล่งไม่มีตัวประกบในบริเวณนั้น ทำให้แลมพาร์ตยิงประตูตีเสมอได้ในประมาณนาทีที่86
จากนั้นนักเตะทั้งทีมเชลซีก็เกิดอาการ"ช๊อต"ขึ้นมาดื้อๆซะ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าหมดแรงรวมถึงตกใจและเสียกำลังใจ ก็เลยทำอะไรแมนซิไม่ได้ทั้งๆที่ได้เปรียบตัวผู้เล่นอยู่1คน แต่กลับโดนแมนซิ.ที่มีตัวน้อยกว่าบุกเอาและเกือบจะเสียประตูด้วยถึง2-3ครั้ง จากนั้นก็เล่นจนครบเวลาและเสมอกันไป1-1แบ่งแต้มกันไปทีละ1แต้ม
บทสรุปของเกมนี้
ทั้งเปรเยกรีนี่และมูรินโญ่ มีการวางแผนในการเล่นที่ดียอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ต่างฝ่ายต่างวางแผนที่เหมาะสมในการเจอกันได้เยี่ยม โดยใช้จุดเด่นของในทีมมาต่อสู้กัน และวางแผนจัดการการตอบโต้โดยไม่ให้มีการเปิดโอกาส แต่ทั้งสองคนนั้นก็ยังมีข้อผิดพลาดบ้างเล็กน้อย
เปรเยกรีนี่ผิดพลาดตรงที่ว่า ไม่ยอมผ่อนเกมให้นักเตะของตัวเองได้เก็บเรี่ยวแรงไว้บ้างรวมถึงการสั่งหรือถอดนักเตะในเกมรับที่มีใบเหลืองติดตัวในครึ่งแรก ให้ออกมาเก็บเอาไว้หรือให้ระมัดระวัง จึงส่งผลให้เสียเปรียบตัวผู้เล่นในช่วงเวลาอันตราย แต่ข้อที่ยอดเยี่ยมคือการที่กล้าส่งแลมพาร์ตลงสนามเป็นหมัดเด็ดหรือไพ่ใบสุดท้าย เนื่องจากแลมพ์เป็นคนเดียวที่รู้ในแนวทางและตำแหน่งการเล่นของเชลซีรวมถึงเกมรับด้วย และสุดท้ายหมัดเด็ดหรือไพ่ใบสุดท้ายนี้ก็ได้ผลจริงๆ
สำหรับมูรินโญ่นั้น จัดได้ว่าวางแผนทุกอย่างมาสมบูรณ์แบบแล้ว แต่มาพลาดไปตรงที่ให้ลูกน้องบุกโหมกระหน่ำมากเกินไปหลังจากที่ยิงนำได้แล้ว จึงส่งผลให้แผ่วเรี่ยวแรงลงไปในช่วงท้ายเกม และรวมถึงประมาทเกินไปที่ไม่ได้มีคำสั่งให้คอยดูแลเจ้าแลมพ์ไว้มั่ง เนื่องจากน่าที่จะเฉลียวใจได้มั่งว่า แลมพ์จะสามารถสลัดตัวประกบในกรอบเขตโทษได้ไม่ยาก เนื่องจากรู้แนวทางการยืนโซนตั้งรับของเชลซีได้เป็นอย่างดี
ก็ออกจะยาวไปหน่อย แต่ก็หวังว่าคงจะอ่านกันครบละครับ อันนี้ส่วนนึงก็มาจากความเห็นส่วนตัวที่ดูตลอดทั้งเกม บางส่วนก็ฉกเอามาจากคำวิเคราะห์วิจารณ์จากสื่อต่างๆมั่งละครับ
คุยกันหลังเกม แมนซิ. VS. เชลซี "เกมคมเฉือนคม"
ก่อนเกมนี้จะเริ่มขึ้น เชลซีที่มาเยือนอยู่ในอันดับที่1มี12คะแนน ส่วนแมนซิ.ทีมเหย้าอยู่ในอันดับที่6มี7คะแนน ทีมเหย้ามีปัญหาเล็กน้อยที่นักเตะตัวจริงลงสนามไม่ได้เนื่องจากอาการบาดเจ็บ1คน แต่ส่วนใหญ่ฟูลทีม ส่วนทีมเยือนนั้นไม่มีตัวบาดเจ็บมาเยือนแบบฟูลทีม
แนวทางการวางแผนต่อสู้
เชลซี เนื่องจากมีคะแนนนำอยู่ถึง5คะแนน(เฉพาะแมนซิ) และนำเป็นอันดับ1โดยมีคะแนนนำอันดับที่2(ที่แข่งมากกว่า1นัด)อยู่2คะแนน ดังนั้นการวางแผนจึงเน้นไปที่ผลเสมอเอาไว้ก่อน เพื่อยังคงยืดระยะห่างของทีมคู่แข่งโดยตรงอย่างแมนซิ.เอาไว้ จึงวางตัวนักเตะเน้นไปในเรื่องความแน่นอนในเกมรับ แต่ใส่0หน้าและมิดฟิวล์ตัวรุกลงไปด้วย เพื่อเน้นในเกมเคาท์เตอร์แอ๊ตแท๊คโดยเฉพาะเมื่อมีโอกาส
แมนซิ. เนื่องจากคะแนนและอันดับเป็นรองเชลซีทีมเยือนอยู่มาก ประกอบกับทำผลงานได้ไม่ดีใน2เกมที่พึ่งผ่านมา ดังนั้นจึงจัดวางตัวนักเตะเพื่อเกมรุกเนื่องจากต้องการ3คะแนนจากทีมจ่าฝูงเพื่อลดระยะห่างของตารางอันดับและคะแนน แต่ไม่ประมาทในเกมรับ โดยใส่มิดฟิวล์ตัวรับลงไปด้วย
เริ่มต้นเกม
หลังจากกรรมการได้เป่านกหวีดเริ่มการแข่งขัน นักเตะของเชลซีทั้งหมดได้ถูกกดดันไม่ให้มีโอกาสที่จะสามารถตั้งเกมรุกได้เลย จากการที่นักเตะแมนซิ.ใช้วิธีบีบกดดันถึงตัวนักเตะเชลซีและตัดเส้นทางการส่งบอล ทำให้นักเตะเชลซีต้องเสียการครองบอลตลอดเวลา ซึ่งต้องยอมรับว่าเปเยกรีนี่วางแผนการเล่นมาดีมากในการควบคุมมิวฟิวล์ตัวรุกของเชลซี(อาซาร์),มิดฟิวล์ตัวทำเกม(เชส)และ0หน้า(คอสต้า) ไม่ให้มีโอกาสที่จะมีส่วนร่วมกับเกมรุกได้เลย จะมีการใช้การบีบกดดันแบบ man to man และก็จะมีตัวคอยซ้อนเพื่อดักทางในยามตัวประกบพลาดรวมถึงตัดเส้นทางลำเลียงการส่งหรือจ่ายบอลของคนเหล่านี้ โดยไม่ให้โอกาสและยังมีแผนเผื่อเอาไว้ในยามพลาดอีก คือการทำฟาวล์เพื่อหยุดการทำเกมทันทีเมื่อพวกนี้หลุดไปได้ถึงใกล้เส้นกลางสนาม คือนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับการเล่นทีมบุกกดดันในแดนของฝ่ายตรงข้ามแบบไม่ให้โงหัวขึ้นมาได้ แต่กลับได้รับใบเหลืองถึง4ใบรวมถึงทำฟาวล์มากกว่าฝ่ายที่ต้องตั้งรับจนโงหัวไม่ขึ้น ซึ่งตามหลักโดยทั่วๆไปแล้ว ปรกติฝ่ายตั้งรับนั้นมักจะมีโอกาสที่จะต้องทำฟาวล์บ่อยๆและมีโอกาสที่จะโดนใบเหลืองมากกว่า
สำหรับมูรินโญ่ที่วางแผนหลักๆมาสำหรับในเกมตั้งรับอย่างเหนียวแน่น แล้ววางหมากไว้ในเกมเคาท์เตอร์แอ๊ตแท๊คเมื่อมีโอกาส ก็ไม่ได้มีท่ากังวลต่อการที่ลูกน้องไม่มีโอกาสได้ตั้งเกมขึ้นมาได้เลย แต่กลับดูเฉยๆเหมือนกับว่าไม่มีปัญหาอะไรเป็นเรื่องปรกติของเกมอยู่แล้วนั้น เนื่องจากเป็นเพราะว่ามูรินโญ่เชื่อมั่นในแผนเกมตั้งรับอย่างเหนียวแน่นที่ได้เซ็ตขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับเกมนี้ ซึ่งนักเตะของแมนซิ.แทบไม่มีโอกาสที่จะได้หลุดเข้าไปยิงประตูได้ภายในกรอบเขตโทษเลย นักเตะของแมนซิ.จะถูกการมาร์คตัวเอาไว้ก่อนที่จะเข้ามาในระยะอันตรายโดยที่นักเตะเชลซีไม่ให้โอกาสให้เล่นได้ง่าย และจะถูกเคลียบอลออกจากเท้าหรือตัดการส่งบอลให้เมื่อเข้ากรอบเขตโทษหรือในระยะยิงทำประตู ซึ่งในลักษณะนี้มูรินโญ่ได้หวังว่าในช่วง5นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก นักเตะของแมนซิ.น่าที่จะอ่อนแรงลงและจะเปิดช่องว่างให้ตัวรุกของเชลซีได้มีโอกาสเล่นเกมเคาท์เตอร์แอ๊ตแท๊คขึ้นไปยิงประตู เหตุผลในเรื่องนี้ก็คือว่านักเตะที่เล่นในเกมรุกอยู่ตลอดเวลาและเล่นในเกมเพรสซิ่งไล่กดดันอยู่ตลอด จะต้องใช้พละกำลังของร่างกายเป็นอย่างมาก(โดยเฉพาะมากดดันนักเตะเชลซีที่มีความคล่องตัวไม่เป็นรองกัน) และส่วนฝ่ายที่ตั้งรับในแดนตัวเองโดยการตั้งโซนรับนั้นมักจะใช้พละกำลังของร่างกายที่น้อยกว่ามาก แต่เนื่องจากเปเยกรีนี่ก็วางแผนเอาไว้จัดการกับเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นคู่เซ็นเตอร์และมิดฟิวล์ตัวรับจึงคอยอยู่เฝ้าบ้าน เกมสวนกลับของเชลซีก็เลยยังไม่ประสพความสำเร็จหรือมีโอกาสกดดันมั่ง
สรุป การวางแผนของทั้งสองผจก.ทีมนั้น ทำได้ดีพอๆกันมีข้อด้อยคือแมนซิยังยิงประตูไม่ได้ตามแผนแต่เชลซีก็ไม่สามารถเล่นเกมเคาท์เตอร์แอ๊ตแท๊คตามคาดหวังไว้ได้
เริ่มเกมครึ่งหลัง
เริ่มครึ่งหลัง ทั้ง2กุนซือก็ยังไม่เปลี่ยนนักเตะ(ส่วนจะแก้เกมอย่างรัยในห้องแต่งตัวก็คงจะมีละ) รูปแบบการเล่นของทั้งสองทีมก็ยังเหมือนเดิมๆตามครึ่งแรก แต่เมื่อมูรินโญ่ได้สังเกตุจากข้างสนาม อ่านเกมแล้วดูว่านักเตะแมนซิเริ่มที่จะอ่อนแรงลงจากเดิมที่ฟิตเป็นม้าเลย ก็เลยแก้เกมเปลี่ยนเอารามิเรส(ตัวรับ)และวิลเลี่ยน(จริงๆแล้วถือว่าเป็นตัวรุกแต่เฉพาะในเกมนี้ถือว่าตัวรับในเกมนี้)ออกแล้วส่งมิเกล(ตัวรับ)กับเชอเร่ย์(มิดฟิวล์ตัวรุก)ลงมาแทนในเวลาประมาณนาทีที่60 การเปลี่ยนตัวของเชลซีตามรูปแบบนี้ดูเผินๆก็เป็นการเปลี่ยนตัวไปตามตำแหน่ง หากมองแบบไม่ลึกซึ้งอาจจะคิดได้ว่าเชลซีต้องการเน้นเกมป้องกันเพิ่มมากยิ่งขึ้นซะด้วย(เนื่องจากก่อนที่จะเปลี่ยนเอามิเกลลงมาแทน รามิเรสนอนเจ็บอยู่) ซึ่งมิเกลนั้นเป็นตัวรับแท้ๆเลย จากนั้นเชลซีก็เริ่มค่อยๆตั้งเกมขึ้นมาได้จากการเริ่มแผ่วของนักเตะแมนซิ จนกระทั่งมาเกิดจุดเปลี่ยนในนาทีที่66 ซึ่งคอสต้าที่ยังมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือกระชากบอลผ่านซาบาเลต้าที่เริ่มแผ่วลงแล้ว และซาบาเลต้าก็ต้องทำฟาวล์เพื่อหยุดคอสต้าที่เริ่มฉีกหนีไปเกือบช่วงตัว โดยเป็นการทำฟาวล์ที่เข้ามาเตะด้านหลัง ในลักษณะนี้มันเป็นใบเหลืองอย่างแน่นอนซึ่งก็ไม่รู้ว่าซาบาเลต้าลืมไปหรือเปล่าว่า ในครึ่งแรกก็ได้ใบเหลืองไปแล้ว ในลักษณะนี้มันก็ไม่ต้องไปเถียงหรือออกมาแก้ตัวใดๆเลยจากการโดน"เหลืองแดง" แต่คอสต้าก็จ่ายค่าโง่ไปเนื่องจากตัวเองลุกขึ้นมาค้ำคอซาบาเลต้าก็เลยโดนใบเหลืองไปด้วย ทั้งๆที่อยู่เฉยๆซะซาบาเลต้าก็โดนใบเหลืองแดงอยู่แล้วละ
พอจำนวนนักเตะได้เปรียบ มูรินโญ่ก็ลุกขึ้นมาปลุกเร้าเด็กๆในทีมอย่างเต็มที่ ตอนนี้ไม่มานึกแค่เอา1แต้มแล้วกะเอาถึง3แต้มชนะไปเลย ตอนนี้เชลซีเริ่มตั้งเกมสู้แล้วในขณะที่นักเตะแมนซิก็ยังงงๆอยู่ โดยที่ก็ไม่ได้ตั้งเกมรับกลับพยายามบุกแลกหมัดและในเวลานั้นเปเยกรีนี่ก็อาจจะช๊อคไปชั่วขณะ ลืมไปว่าควรที่จะส่งตัวรับลงไปทดแทนตำแหน่งแบ๊คที่ขาดหายไป พอถึงนาทีที่70ก็ถึงเวลาที่มูรินโญ่และนักเตะเชลซี(รวมถึงกองเชียร์เชลซีด้วย)รอคอยมาอย่างเยือกเย็นตั้งแต่เริ่มเกมมา จากการต่อบอลกันจากบริเวณกรอบเขตโทษของนักเตะเชลซีก็สามารถจบลงได้เมื่อเชอเร่ย์ ส่งลูกบอลเข้าไปซุกก้นตะข่ายประตูของแมนซิ. เชลซีนำ1-0 ก็ขอกล่าวถึงประตูนี้หน่อยละค่อนข้างที่จะสวยงามดีจากการต่อบอลกันหลายจังหวะ เริ่มแรก เชอเร่ย์ตัดบอลได้ในกรอบเขตโทษ เลี้ยงบอลออกมาจนพ้นกรอบเขตโทษ แล้วจ่ายบอลให้อาซาร์ที่ไต่ริมเส้นทางด้านฝั่งขวา เมื่ออาซาร์พาบอลไปได้ถึงเส้นกลางสนามก็โยนบอลครอสขวางสนามไปให้เชสที่อยู่ฝั่งริมเส้นซ้ายกลางสนาม จากนั้นเชสก็จ่ายบอลสั้นให้อีวานโนวิชที่อยู่ถัดเข้ามาเกือบกลางสนาม(งงเหมือนกันตรงนั้นมันค่อนไปทางซ้ายแต่อีวานมันเป็นแบ๊คขวาทำไมมันไปอยู่แถวนั้น็ไม่รู้) ต่อจากนั้นอีวานก็จ่ายบอลสั้นให้คอสต้าที่อยู่กลางสนามระยะห่างประมาณ40หลาจากประตูแมนซิ ในตอนนั้นคอสต้าเจอ2เซ็นเตอร์ขอแมนซิปิดเส้นทางในรูปแบบ"แซนด์วิท" คอสต้าก็จ่ายบอลออกข้างไปให้อาซาร์ที่อยู่ริมเส้นด้านขวา โดยที่ยังดึงเอาคู่เซ็นเตอร์แมนซิตามคอสต้าไปด้วย เนื่องจากทั้งคู่ต้องตามประกบคอสต้ากันการมาเข้าฮอสในกรอบเขตโทษ จากนั้นอาซาร์ก็ควบพาบอลบุกเข้าทางด้านขวาสุดโดยมีตัวประกบแค่คนเดียว ซึ่งการที่คิดจะมาตามประกบอาซาร์เพียงแค่คนเดียวนั้น มักจะจบลงด้วยความเศร้าของฝ่ายตรงข้าม อาซาร์ได้จ่ายครอสในแบบลูกเลียดผ่านหน้าประตูไปทางซ้าย ซึ่งเชอเร่ย์ที่มาจากกรอบเขตโทษฝั่งเชลซี(ระยะยทาง92หลา)มาเจอตรงจุดนัดพบและยิงเข้าประตูไปอย่างสวยงาม โดยตัวประกบแค่คนเดียวที่ตามมาช้ากว่าช่วงตัว เรียกว่าจุดแรกเริ่มต้นที่เชอเร่ย์และจบด้วยเชอเร่ย์ยิงประตู รูปแบบการเข้าทำนี้ น่าจะเป็นแผนที่ได้ซ้อมกันมาอย่างเข้าขากัน แผนนี้ถูกวางให้คอสต้าพาหรือดึงตัวประกบไปให้พ้นทาง เพราะว่าจากการที่คอสต้ายิงได้หลายประตูนั้น คนคุมทีมฝ่ายตรงข้ามต้องสั่งให้มีการประกบตัวคอสต้าเอาไว้ให้ไม่มีโอกาส โดยเฉพาะในโซนอันตราย ซึ่งคอสต้าสามารถดึงเอาคู่เซ็นเตอร์ของแมนซิไว้ได้ โดยที่คอสต้าดึงช้าเอาไว้เล็กน้อยก่อนที่จะเข้ากรอบเขตโทษ(ถ้าสังเกตุจากภาพรีเพลย์จะเห็นได้ว่าคอสต้ากับคู่เซ็นเตอร์เข้ามาในกรอบเขตโทษเมื่อเชอเร่ย์ยิงประตูไปแล้ว)
หลังจากนั้นแนวรุกของเชลซีก็พยายามบุกขึ้นมาอย่างหนักเพื่อทีจะเอาประตูที่2 เพื่อที่จะได้ปิดเกมให้ได้โดยที่ฝ่ายแมนซิต้องลงไปตั้งรับมั่ง ในช่วงเวลานี้นักเตะเชลซีในแนวรุกได้ใช้พละกำลังโหมเข้าบุกมากเกินไป จึงเริ่มแผ่วลงมั่ง ในช่วงประมาณนาทีที่80ต้นๆนั้น เปรเยเกนี่ได้โชว์"กิ๋น"ของยอดโค๊ชออกมาให้เห็น โดยส่งไพ่ใบสุดท้ายที่มูรินโญ่คาดไม่ถึงลงมาซึ่งเป็นโควต้าเปลี่ยนตัวคนสุดท้ายคือส่งแลมพาร์ตลงมา(ทั้งๆที่ใครๆคาดกันว่าจะเป็นนาสรี่มากกว่า) และจากความผิดพลาดในการประกบตัวของเชอเร่ย์ ทำให้แบ็คซ้ายของแมนซิหลุดเข้าไปจ่ายบอลแบบง่ายๆในกรอบเขตโทษ ซึ่งคนที่เป็นเป้าหมายในการรับบอลก็คือ แลมพาร์ต ที่รู้ตำแหน่งการยืนประกบตัวของเกมรับของเชลซีได้ดี จึงว่างโล่งไม่มีตัวประกบในบริเวณนั้น ทำให้แลมพาร์ตยิงประตูตีเสมอได้ในประมาณนาทีที่86
จากนั้นนักเตะทั้งทีมเชลซีก็เกิดอาการ"ช๊อต"ขึ้นมาดื้อๆซะ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าหมดแรงรวมถึงตกใจและเสียกำลังใจ ก็เลยทำอะไรแมนซิไม่ได้ทั้งๆที่ได้เปรียบตัวผู้เล่นอยู่1คน แต่กลับโดนแมนซิ.ที่มีตัวน้อยกว่าบุกเอาและเกือบจะเสียประตูด้วยถึง2-3ครั้ง จากนั้นก็เล่นจนครบเวลาและเสมอกันไป1-1แบ่งแต้มกันไปทีละ1แต้ม
บทสรุปของเกมนี้
ทั้งเปรเยกรีนี่และมูรินโญ่ มีการวางแผนในการเล่นที่ดียอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ต่างฝ่ายต่างวางแผนที่เหมาะสมในการเจอกันได้เยี่ยม โดยใช้จุดเด่นของในทีมมาต่อสู้กัน และวางแผนจัดการการตอบโต้โดยไม่ให้มีการเปิดโอกาส แต่ทั้งสองคนนั้นก็ยังมีข้อผิดพลาดบ้างเล็กน้อย
เปรเยกรีนี่ผิดพลาดตรงที่ว่า ไม่ยอมผ่อนเกมให้นักเตะของตัวเองได้เก็บเรี่ยวแรงไว้บ้างรวมถึงการสั่งหรือถอดนักเตะในเกมรับที่มีใบเหลืองติดตัวในครึ่งแรก ให้ออกมาเก็บเอาไว้หรือให้ระมัดระวัง จึงส่งผลให้เสียเปรียบตัวผู้เล่นในช่วงเวลาอันตราย แต่ข้อที่ยอดเยี่ยมคือการที่กล้าส่งแลมพาร์ตลงสนามเป็นหมัดเด็ดหรือไพ่ใบสุดท้าย เนื่องจากแลมพ์เป็นคนเดียวที่รู้ในแนวทางและตำแหน่งการเล่นของเชลซีรวมถึงเกมรับด้วย และสุดท้ายหมัดเด็ดหรือไพ่ใบสุดท้ายนี้ก็ได้ผลจริงๆ
สำหรับมูรินโญ่นั้น จัดได้ว่าวางแผนทุกอย่างมาสมบูรณ์แบบแล้ว แต่มาพลาดไปตรงที่ให้ลูกน้องบุกโหมกระหน่ำมากเกินไปหลังจากที่ยิงนำได้แล้ว จึงส่งผลให้แผ่วเรี่ยวแรงลงไปในช่วงท้ายเกม และรวมถึงประมาทเกินไปที่ไม่ได้มีคำสั่งให้คอยดูแลเจ้าแลมพ์ไว้มั่ง เนื่องจากน่าที่จะเฉลียวใจได้มั่งว่า แลมพ์จะสามารถสลัดตัวประกบในกรอบเขตโทษได้ไม่ยาก เนื่องจากรู้แนวทางการยืนโซนตั้งรับของเชลซีได้เป็นอย่างดี
ก็ออกจะยาวไปหน่อย แต่ก็หวังว่าคงจะอ่านกันครบละครับ อันนี้ส่วนนึงก็มาจากความเห็นส่วนตัวที่ดูตลอดทั้งเกม บางส่วนก็ฉกเอามาจากคำวิเคราะห์วิจารณ์จากสื่อต่างๆมั่งละครับ