ศิษย์มีครู

หลวงพ่อเคยบอกว่า ถ้าท่านไม่มาทางนี้ คือไม่มาทางธรรม หรือรู้ธรรม ก็คงตายไปนานแล้ว
เพราะตอนเป็นฆราวาสท่านป่วยบ่อยเนื่องจากเป็นคนเอาจริงเอาจังมาก อยากมั่งอยากมีกว่าใคร ๆ
คนอื่นทำได้เท่าไร ท่านก็ตั้งใจทำให้ได้มากกว่านั้น ชาวบ้านเกี่ยวข้าวได้วันละห้าสิบกอง ท่านบอกว่าท่านจะต้องทำให้ได้ร้อยกอง
เรียกว่าจิตใจจริงจังมุ่งมั่นที่จะเอาชนะให้ได้ ก็เลยทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย แต่เมื่อได้มารู้ธรรมะ ก็ทำให้ท่านเลิกพฤติกรรมแบบนั้น
ไม่เพียงแต่มีสุขภาพดีขึ้น แต่ยังไม่มีทุกข์ด้วย


หลวงพ่อไม่เพียงใช้ธรรมะที่เรียนจากหลวงพ่อเทียนในการดำรงชีวิตเท่านั้น
แม้กระทั่งในยามเจ็บยามป่วย ท่านก็ได้อาศัยธรรมะจากหลวงพ่อเทียน
ตอนที่ท่านอาพาธท่านเขียนบันทึกว่า

“เวลานี้เหลือแต่ธรรมที่หลวงพ่อเทียนได้สั่งสอน อาการดับไม่เหลือของนามรูป สี่สิบกว่าปี มันก็คือวันนี้ไม่เปลี่ยนแปลง”

แล้วท่านก็บอกว่า “เพื่อนไม่ต้องเป็นห่วง ขอให้ฝึกตามหลวงพ่อเทียนสั่งสอนไว้”
ช่วงที่อาการหนักๆ ท่านก็บอกว่า “เวลานี้อยู่กับความไม่เป็นอะไรกับอะไร ลูกศิษย์หลวงพ่อเทียนมีธรรมนำพา ไม่มีวันตาย”
ไม่มีวันตายคือ ไม่มีการเกิดเป็นภพชาติ หรือเป็นอะไรกับอะไร เกิดความสำคัญมั่นหมายว่าฉันเป็นนั่นเป็นนี่ อย่างนี้เรียกว่าเกิดแล้ว
เมื่อมีความรู้สึกว่าตัวฉันเกิดเมื่อไรก็ต้องมีตาย กล่าวอีกนัยหนึ่งเมื่อมีภพชาติเกิดขึ้นก็มีชรามรณะตามมา แต่ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีตาย


หลวงพ่อพูดถึงหลวงพ่อเทียนอยู่หลายครั้งหลายโอกาสมาก ในช่วงที่ท่านอาพาธ
ท่านเป็นผู้ที่มีความสำนึกในบุญคุณครูบาอาจารย์มาก ท่านเรียกตัวเองว่า “ลูกศิษย์หลวงพ่อเทียน”
จะเรียกว่าท่านเป็นศิษย์มีครูก็ได้นะ ท่านสำนึกอยู่เสมอว่าท่านเป็นศิษย์มีครู ครูสูงสุดคือพระพุทธเจ้า
แต่ครูที่เปลี่ยนชีวิตของท่านอย่างมากคือหลวงพ่อเทียน แล้วก็มีคนเดียว


พวกเราหลายคนถึงแม้ไม่มีโอกาสพบหรือฟังธรรมะจากปากของหลวงพ่อเทียน แต่พวกเราก็โชคดีที่ได้มาพบ ได้มาศึกษาได้เห็นแบบอย่าง
และได้รับคำชี้แนะจากหลวงพ่อคำเขียน ถ้าหากว่าเราสำนึกในคำสอนของหลวงพ่อก็ถือว่าเราเป็นศิษย์มีครูแล้ว


คำว่าศิษย์มีครูเป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้ง แค่สามคำเท่านั้น แต่มีความหมายที่ลึกซึ้งมาก
ในแง่หนึ่งก็หมายถึงความกตัญญูรู้คุณครู เมื่อใครพูดว่าฉันเป็นศิษย์มีครู นั่นหมายความว่าเขามีความกตัญญูรู้คุณในครูบาอาจารย์
สำนึกในบุญคุณที่ครูบาอาจารย์ได้สั่งสอน เวลาพูดคำนี้ก็จะรู้สึกภาคภูมิใจ ว่าฉันไม่ใช่คนตัวเปล่าเปลือย ฉันเป็นคนมีครู เป็นคนมีราก
และขณะเดียวกันก็เป็นการย้ำเตือนให้ตระหนักถึงหน้าที่ที่มีต่อครูบาอาจารย์ ไม่ใช่เพียงแค่ปฏิบัติวัตรฐาก หรือดูแลท่านแค่ร่างกายเท่านั้น
แต่ยังหมายถึงการสืบทอดและปฏิบัติตามคำสอนของท่าน


เมื่อใดก็ตามที่เรากล่าวว่าฉันเป็นศิษย์มีครู ก็หมายถึงว่า เราตั้งใจที่จะทำตามคำสอนของท่าน
ปฏิบัติตามแนวทางที่ท่านได้สอนเอาไว้ หรือทำเป็นแบบอย่าง
เมื่อใดก็ตามที่ปล่อยปละละเลย หรือทำตรงข้ามกับที่ครูได้สอนเอาไว้ ก็จะรู้สึกละอายใจ
แต่เมื่อใดก็ตามที่ได้ทำตามที่ท่านสอนก็จะเกิดความอบอุ่นใจ และมีความรู้สึกลึกๆ เหมือนกับว่ามีครูบาอาจารย์มาช่วยปกปักรักษาให้ปลอดภัย


ขอให้พวกเราตระหนักว่า พวกเราโชคดีที่เป็นศิษย์มีครู ครูสูงสุดคือพระบรมศาสดา
แต่ว่าพระพุทธองค์นั้นอยู่ไกลเกินกว่าที่เราจะรู้เห็นได้ด้วยตา สัมผัสได้ด้วยใจ โดยเฉพาะถ้ายังไม่ถึงธรรม ก็ยังไม่เห็นพระพุทธเจ้า
ต่อเมื่อเห็นธรรมนั่นแหละถึงจะได้เห็นพระองค์ ดังที่พระองค์ตรัสไว้ ส่วนใครที่ยังไม่เห็นธรรมขนาดนั้นก็ไม่ได้เห็นพระองค์
แต่ว่ากับหลวงพ่อคำเขียน พวกเราโชคดีที่ได้มีโอกาสเห็นท่านด้วยตาเนื้อ ได้ยินด้วยหู ว่าท่านสอนอะไร อยู่อย่างไร
ถ้าเราปฏิบัติตามก็ย่อมต้องมีตาในที่จะได้เห็นจิตเห็นใจของตัวเอง และได้รับอานิสงส์ของการปฏิบัติตามที่ท่านได้สอนได้ชี้แนะหรือได้ทำเป็นแบบอย่าง


เมื่อนั้นเราก็ย่อมเกิดความซาบซึ้งในบุญคุณของท่าน เกิดความภาคภูมิใจ เกิดความมั่นใจว่า
แท้จริงแล้วท่านไม่ได้อยู่ไหนเลย หากสถิตอยู่ในใจของเรา
รูปร่างสรีระเป็นส่วนภายนอกที่ย่อมมีวันเน่าเปื่อยไป
ก่อนที่จะเน่าเปื่อยก็แก่ชรา ไม่สามารถบังคับให้เป็นไปตามใจได้ แต่นั่นเป็นส่วนเปลือกนอก
ส่วนที่เป็นแก่นแท้ หรือแก่นธรรมจะอยู่กับเราไปจนตายหากเราพากเพียรปฏิบัติจนเกิดผล

พระไพศาล วิสาโล


http://www.visalo.org/article/person15lpKumkien9.html
https://th-th.facebook.com/visalo

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่