คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
กรณีนี้ ก็อยากรู้เหมือนกันครับ
เท่าที่ผมทราบนะ ถ้ามีกรมธรรม์ตัวจริงอยู่กับตัว เขาไม่น่ายกเลิกกรมธรรม์ได้นะครับ เพราะ ปกติ สมมติว่า ถ้าคุณไปซื้อรถมือสองมา และมีกรมธรรม์ตัวจริงอยู่ด้วย เมื่อรถโอนเป็นชื่อคุณหรือ ชื่อไฟแนนซ์ในกรณีซื้อผ่อน คุณสามารถ นำกรมธรรม์ตัวจริง กับ สำเนาทะเบียน ไปติดต่อกับบริษัทประกันนั้น ๆ ได้เลย โดยแจ้งว่า มาขอเปลี่ยน ชื่อผู้เอาประกัน พร้อมแนบหลักฐาน ทางบริษัทประกันภัย เขาก็จะทำการเปลี่ยนกรมธรรม์ให้ครับ
แต่ถ้า กรมธรรม์ฉบับจริงไม่อยู่กับคุณ เจ้าของเดิม เขาก็มีสิทธิบอกเลิกประกันได้แน่นอนอยู่แล้วครับ เพราะ จำได้ว่า่ การบอกเลิกสัญญาประกันภัย ต้องส่งกรมธรรม์ฉบับจริงคืนให้กับทางบริษัทประกันด้วย แต่ถ้า กรมธรรม์ฉบับจริงไม่อยู่ อาจจะต้องไปแจ้งความ เพื่อเป็นหลักฐาน
และหากว่า กรมธรรม์ตัวจริงอยู่กับคุณ และเขาไปแจ้งยกเลิก ผมว่า เขาก็อาจจะแจ้งความเท็จว่า กรมธรรม์หายหรือล่าว แสดงว่า ก็เข้าข่าย แจ้งความเท็จ ส่วนเรื่องที่เขาขายรถ และบอกว่ามีประกันด้วย จะว่าไป มันก็ผิดทั้ง 2 ฝ่ายครับ
แน่นอน คนขายผิดชัวร์ ไม่รักษาคำพูด แต่ มันก็ไม่มีลายลักษณ์อักษร ซึ่งตรงนี้ ถือเป็นกรณีศึกษาที่ดี หากมีการซื้อขายรถกัน ควรจะระบุไปในสัญญาซื้อขายด้วยว่า รถมีประกันอะไรก็ว่าไป
คนซื้อก็ผิดคือ ไว้ใจคนขายมากเกินไป ซึ่งหากเป็นผมนะ ยังไง ผมก็ต้องขอกรมธรรม์ตัวจริงด้วย ไม่ใช่มีแต่สำเนาให้ดูต่างหน้า หรือ ถึงแม้กรมธรรม์ตัวจริงอยู่กับตัว ผมก็ต้องโทรไปที่บริษัทประกันอยู่ดี เพื่อสอบถามว่า รถคันนี้ กธ นี้ ยังมีความคุ้มครองอยู่หรือไม่ และก็ต้องรีบไปเปลี่ยนชื่อผู้เอาประกันเป็นเราเอง เพื่อความสบายใจ
อีกอย่างนะ สาเหตุที่เขาบอกเลิกประกัน ก็เพราะว่า เขาเพิ่งทำประกันไปไงครับ จริงอยู่ว่า การบอกเลิกกรมธรรม์จะได้เงินคืนน้อยมาก คือ โดนหักไปเยอะอะ อย่างสมมติ ทำประกันไป 1 เดือน แล้วขอบอกเลิก จะได้เงินคืนแค่ประมาณ 63 % เท่านั้นเอง
คุณบอกว่า ซื้อรถมา 4 เดือน (เดือนนี้เดือน 9) เท่ากับคุณซื้อรถมาประมาณเดือน 5 และกรมธรรม์หมดอายุเดือน 4 ปีหน้า แสดงให้เห็นเลยว่า รถคนที่เขาขาย เขาเพิ่งทำประกันไปแค่ 1 เดือนเท่านั้น ซึ่ง เขาก็จะได้เบี้ยคืนประมาณ 60 กว่า % อย่างที่ผมบอก
แต่ถ้าให้ผมเดานะ กรมธรรม์ตัวจริงไม่น่าอยู่กับคุณ
เท่าที่ผมทราบนะ ถ้ามีกรมธรรม์ตัวจริงอยู่กับตัว เขาไม่น่ายกเลิกกรมธรรม์ได้นะครับ เพราะ ปกติ สมมติว่า ถ้าคุณไปซื้อรถมือสองมา และมีกรมธรรม์ตัวจริงอยู่ด้วย เมื่อรถโอนเป็นชื่อคุณหรือ ชื่อไฟแนนซ์ในกรณีซื้อผ่อน คุณสามารถ นำกรมธรรม์ตัวจริง กับ สำเนาทะเบียน ไปติดต่อกับบริษัทประกันนั้น ๆ ได้เลย โดยแจ้งว่า มาขอเปลี่ยน ชื่อผู้เอาประกัน พร้อมแนบหลักฐาน ทางบริษัทประกันภัย เขาก็จะทำการเปลี่ยนกรมธรรม์ให้ครับ
แต่ถ้า กรมธรรม์ฉบับจริงไม่อยู่กับคุณ เจ้าของเดิม เขาก็มีสิทธิบอกเลิกประกันได้แน่นอนอยู่แล้วครับ เพราะ จำได้ว่า่ การบอกเลิกสัญญาประกันภัย ต้องส่งกรมธรรม์ฉบับจริงคืนให้กับทางบริษัทประกันด้วย แต่ถ้า กรมธรรม์ฉบับจริงไม่อยู่ อาจจะต้องไปแจ้งความ เพื่อเป็นหลักฐาน
และหากว่า กรมธรรม์ตัวจริงอยู่กับคุณ และเขาไปแจ้งยกเลิก ผมว่า เขาก็อาจจะแจ้งความเท็จว่า กรมธรรม์หายหรือล่าว แสดงว่า ก็เข้าข่าย แจ้งความเท็จ ส่วนเรื่องที่เขาขายรถ และบอกว่ามีประกันด้วย จะว่าไป มันก็ผิดทั้ง 2 ฝ่ายครับ
แน่นอน คนขายผิดชัวร์ ไม่รักษาคำพูด แต่ มันก็ไม่มีลายลักษณ์อักษร ซึ่งตรงนี้ ถือเป็นกรณีศึกษาที่ดี หากมีการซื้อขายรถกัน ควรจะระบุไปในสัญญาซื้อขายด้วยว่า รถมีประกันอะไรก็ว่าไป
คนซื้อก็ผิดคือ ไว้ใจคนขายมากเกินไป ซึ่งหากเป็นผมนะ ยังไง ผมก็ต้องขอกรมธรรม์ตัวจริงด้วย ไม่ใช่มีแต่สำเนาให้ดูต่างหน้า หรือ ถึงแม้กรมธรรม์ตัวจริงอยู่กับตัว ผมก็ต้องโทรไปที่บริษัทประกันอยู่ดี เพื่อสอบถามว่า รถคันนี้ กธ นี้ ยังมีความคุ้มครองอยู่หรือไม่ และก็ต้องรีบไปเปลี่ยนชื่อผู้เอาประกันเป็นเราเอง เพื่อความสบายใจ
อีกอย่างนะ สาเหตุที่เขาบอกเลิกประกัน ก็เพราะว่า เขาเพิ่งทำประกันไปไงครับ จริงอยู่ว่า การบอกเลิกกรมธรรม์จะได้เงินคืนน้อยมาก คือ โดนหักไปเยอะอะ อย่างสมมติ ทำประกันไป 1 เดือน แล้วขอบอกเลิก จะได้เงินคืนแค่ประมาณ 63 % เท่านั้นเอง
คุณบอกว่า ซื้อรถมา 4 เดือน (เดือนนี้เดือน 9) เท่ากับคุณซื้อรถมาประมาณเดือน 5 และกรมธรรม์หมดอายุเดือน 4 ปีหน้า แสดงให้เห็นเลยว่า รถคนที่เขาขาย เขาเพิ่งทำประกันไปแค่ 1 เดือนเท่านั้น ซึ่ง เขาก็จะได้เบี้ยคืนประมาณ 60 กว่า % อย่างที่ผมบอก
แต่ถ้าให้ผมเดานะ กรมธรรม์ตัวจริงไม่น่าอยู่กับคุณ
แสดงความคิดเห็น
ผมมีเรื่องถามเกี่ยวกับประกัน 3 + ในกรณียกเลิกประกัน
*** คือนาย ก อ้างว่า เค้าขายรถ แต่ไม่ได้ขายประกัน แต่ตอนที่ซื้อขาย นาย ก กับผมได้คุยกันว่า ประกันจะอยู่ถึงปีหน้า ซึ่งผมสามารถแจ้งเอาความนาย ก ได้มั้ยครับ***
ขอบคุณครับ