สัตว์พันปี : บทที่ ๒ ผีเสื้อโลหิต
จะเกิดอะไรขึ้นหากปล่อยนางโลมโฉมงามเอาไว้กับองค์ชายเจ้าเสน่ห์ตามลำพังในห้องหับมิดชิด หนำซ้ำยังมีฝ่ายหนึ่งไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ติดกายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
คำตอบแรกที่แวบเข้ามาในใจหลายคนคงเป็นฉากเรตสิบแปดบวก ซึ่งในความเป็นจริงก็เกือบจะมีฉากอย่างว่าอยู่เหมือนกัน แต่เป็นฉากฆาตกรรม หาใช่ฉากโรมานซ์หวานชื่น คณิกาคนงามถึงกับมือไม้สั่นอยากจับหัวองค์ชายกดน้ำเพราะความกวนประสาทของอีกฝ่าย
องค์ชายลี่หมิงกลับมาเป็นตัวของตัวเองเมื่อได้ลงไปแช่ในอ่างน้ำอุ่น เมื่อบรรยากาศอึมครึมในจิตใจสลายหายไป คนขี้แกล้งก็หันมาหยอกล้อสาวงามที่กำลังทำความสะอาดร่างกายให้
“ข้าไว้ใจเจ้านะฟางเซียน ห้ามอดใจไม่ไหวแล้วล่วงเกินข้าเชียวนะ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาปิดแผงอกขาวเนียนของตัวเองเอาไว้ด้วยท่าทางเอียงอายผสมหวาดระแวง
“ไม่ต้องห่วงเพคะ ระดับองค์ชายไม่ทำให้หม่อมฉันหวั่นไหวหรอก” ว่าแล้วก็ตวัดสายตามองตั้งแต่หัวจนถึงส่วนที่แช่อยู่ใต้น้ำ
องค์ชายลี่หมิงกระตุกยิ้มที่มุมปาก คำตอบที่ไม่ต่างจากการปรามาสนี้เข้าทางคนเจ้าเล่ห์พอดี
“ดี...ถูตัวให้ข้าหน่อย” ว่าแล้วก็เอาขายกขึ้นมาพาดที่ขอบอ่าง แบบไม่แคร์เลยว่าหนอนน้อยจะโผล่พ้นผิวน้ำหรือเปล่า
ดีที่ว่าพวกมหาดเล็กเติมน้ำมาให้เต็มอ่าง แถมยังโรยกลีบดอกไม้มาให้เสียหนา ก็เลยไม่มีภาพอุจาดตาให้เห็น
เจ้หยิบผ้าขึ้นมาขัดตัวให้อย่างขอไปที คนที่นอนแช่น้ำสบายเลยยั่วต่อ
“ลงมาลึกหน่อยสิ ถูแบบนั้นแล้วจะสะอาดได้ยังไง”
องค์ชายสามมองคนข้างกายด้วยสายตาท้าทายว่ากล้าหรือเปล่า
“ได้เพคะ” เจ้รับคำแบบไม่กลัว
ก่อนจะมาโลกนี้เธอมีหนอนน้อยเป็นของตัวเองมาค่อนชีวิต ตอนเกณฑ์ทหารก็เห็นมาแล้วทั้งกองร้อย จะกลัวอะไรกับของคนบ้ากวนประสาทคนเดียว
มือเรียวนุ่มนิ่มลากผ้าไล้จากเหนือเข่าแหวกกลีบดอกไม้เหนือผิวน้ำตรงดิ่งไปที่โคนขาแน่นๆ แบบไม่ลังเล ยังไม่ทำได้ถึงเป้าหมาย องค์ชายจอมกวนก็ทำปากจิ๊จ๊ะ
“อ๊ะๆ จะทำอะไร”
“ขัดขาให้ไงเพคะ”
“ถูดีๆ สิ ไม่เห็นจะต้องล้วงลงลึกปานนั้น หวังอะไรอยู่ฮึฟางเซียน”
“ไม่ได้หวังเพคะ หม่อมฉันแค่ทำตามคำสั่ง” เจ้แยกเขี้ยวใส่
“นี่มันอ้างคำสั่งแล้วหาเรื่องลวนลามข้าชัดๆ ผู้หญิงหื่นกามอย่างเจ้านี่ไว้ใจไม่ได้เลย” พูดแล้วก็ดีดน้ำใส่หน้าทำอีกฝ่ายฉุนขาด
“อาบเองเลยไป”
เจ้โยนผ้าขัดตัวใส่หน้าคนกวนประสาทเต็มแรง ผลคืออีกฝ่ายหัวเราะร่วนด้วยความพอใจ
“เจ้ารู้ไหมว่าน่ารักเหลือเกินเวลาโกรธ”
รอยยิ้มกรุ้มกริ่มขององค์ชายรูปงามทั้งยั่วเย้าและเชิญชวน ทว่ากลับไม่มีผลใดๆ ต่อหัวใจที่มีป้อมปราการหนารายล้อม เจ้เดินหนีไปในทันที คนที่แช่น้ำอยู่เลยรีบลุกพรวดออกจากอ่างไปคว้าตัวเอาไว้
“ข้าล้อเล่นนิดเดียว อย่างอนสิ”
“ปล่อยหม่อมฉันเพคะ” เจ้ทำเสียงกระด้างใส่
“ถ้าข้ายอมปล่อย เจ้าจะอยู่เป็นเพื่อนข้าจนเช้าไหม”
“ไม่มีทางเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องต้องทำ แต่ถ้าองค์ชายพอใจจะแก้ผ้ายืนอยู่อย่างนี้จนสว่าง หม่อมฉันก็คงทำอะไรไม่ได้”
องค์ชายลี่หมิงหัวเราะกับความดื้อรั้นของฟางเซียน ก่อนจะคลายมือออกจากตัวหญิงสาวแต่โดยดี
“ข้ายอมแพ้แล้ว เชิญแม่นางหลง ฟางเซียนออกไปจากห้องนี้ได้”
เจ้สาวเท้าไปที่ประตูแบบไม่รอช้า แต่แล้วก็ต้องชะงักยอมเหลียวหลังกลับมาเมื่อน้ำเสียงขององค์ชายสามเปลี่ยนเป็นจริงจังผิดหู
“ฟางเซียนไปได้ แต่ผีเสื้อโลหิตต้องอยู่ต่อ”
“นายใหญ่ปรารถนาสิ่งใด” เจ้หันมาเผชิญหน้าด้วยแววตาคมกล้า สรรพนามที่เปลี่ยนไปบ่งบอกว่าพร้อมที่จะรับงาน
กิริยาทุกอย่างของเจ้เป็นไปโดยอัตโนมัติ นาม ‘ผีเสื้อโลหิต’ ส่งผลกระทบกับเธออย่างรุนแรง เพราะมันคือฉายาที่ฟางเซียนใช้ในองค์กรพรานราตรี นามนี้คือมรดกที่นายใหญ่คนเก่าทิ้งเอาไว้ให้ เพื่อเป็นเกียรติแก่สายลับและมือสังหารอันดับหนึ่ง เวลาถูกเรียกด้วยนามนี้ทีไร ใจเจ้จะฮึกเหิมเป็นอย่างมาก พร้อมกับเกิดอาการกระหายในกลิ่นคาวเลือด ราวกับเป็นนักดื่มที่เฝ้าฝันถึงสุราชั้นเลิศ
เธออยากปักคมมีดลงในร่างเหยื่อ อยากจะได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาของพวกมัน ทรมานเสร็จแล้วค่อยตัดหัวมารับรางวัลจากนายท่านที่รักยิ่ง
ความคิดอันโหดเหี้ยมที่ปราศจากความรู้สึกผิดนี้คือสิ่งที่ได้มาพร้อมกับร่างกายอันแสนงดงามของฟางเซียน แม้ว่าเจ้จะควบคุมตัวเองได้ แต่บ่อยครั้งก็พ่ายต่อความต้องการในส่วนลึก ไม่ทันรู้ตัวเธอก็เผลอรับงานมาจากนายใหญ่เสียแล้ว
สายสืบของพรานราตรีที่ถูกส่งออกไปหาข่าว กลับมาแจ้งเบาะแสต่อองค์ชายสามในยามสายว่าพวกนักฆ่ามีความเกี่ยวข้องกับสนมเหอ ทว่าก็ยังขาดหลักฐาน เป็นคนอื่นคงจะขวนขวายหาทางเอาผิด แต่สำหรับองค์ชายสาม แค่มั่นใจว่าตัวการคือใครก็มากเกินพอแล้ว ชายหนุ่มแอบเคลื่อนไหวอยู่เงียบๆ รอเวลาและโอกาสที่จะแก้แค้นอีกฝ่ายอย่างสาสม
นอกจากองค์ชายสามแล้ว คนที่รู้ความเป็นไปทุกสิ่งเป็นอย่างดีก็คือฮ่องเต้ ความผิดของสนมเหอไม่อาจรอดพ้นพระเนตรพระกรรณของพระองค์ไปได้ แม้จะไม่แสดงออกแต่ก็กริ้วเป็นอย่างมาก ทรงมีบัญชาให้ส่งสารเตือนไปยังเสนาบดีเหอ หนนี้พระองค์จะทำเป็นมองไม่เห็น แต่ถ้ายังมีเรื่องต่ำช้าอย่างนี้เกิดขึ้นอีก พระองค์จะสั่งประหารล้างโคตรสกุลเหอแบบไม่ลังเล
ในขณะที่สารกำลังเดินทางไปยังสกุลเหอ ผู้สมรู้ร่วมคิดโดยอ้อมอย่างองค์ชายรองกลับเพิ่งรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับกุ้ยฮวาและองค์หญิงลี่จู
“เจ้ามั่นใจแค่ไหน” องค์ชายรองถามคนสนิทเสียงขรึม หากมันเป็นความจริงย่อมเป็นเรื่องใหญ่
“ข้าพระองค์สืบได้ว่ามีการว่าจ้างมาจากขุนนางที่มีความใกล้ชิดกับสกุลเหอ คนของเราที่ถูกเปลี่ยนตัวยังบอกอีกว่าเป็นคำสั่งลับจากองค์ชาย”
ได้ฟังเท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องซักเพิ่มเติมอีก ก่อนออกมาจากเมืองหลวง สนมเหอได้เสนอความคิดว่าองค์ชายรองน่าจะหาวิธีมัดใจกุ้ยฮวา จะได้ดองกับสกุลเฉินเพื่อสร้างฐานอำนาจให้กับตัวเอง สนมเหอแนะว่าผู้หญิงย่อมประทับใจในบุรุษที่ห้าวหาญสามารถช่วยปกป้องตัวเองได้ จึงเสนอแผนการสร้างสถานการณ์ว่ารถม้าของนางพลัดหลงจากขบวนเสด็จ แล้วให้องค์ชายรองมาช่วยเหลือเอาไว้จากโจร เท่านี้ก็จะได้ใจนางและได้รับการยอมรับจากเสนาบดีเฉิน
องค์ชายรองมองว่ามันเป็นแผนการที่แยบยลพอใช้ จึงตัดสินใจส่งคนเข้าไปทำหน้าที่เป็นพลขับ เป็นเหตุให้สนมเหอใช้โอกาสนี้สลับคนของเขากับนักฆ่า
“ไปเก็บพวกนักฆ่าให้หมด อย่าให้เหลือหลักฐานสาวตัวไปที่ใครได้”
องค์ชายรองออกคำสั่งเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกซัดทอดมาถึงตัวเอง
“ทูลองค์ชาย ข้าพระองค์ส่งคนไปแล้วพะยะค่ะแต่ว่าไม่ทันการณ์ พวกมันถูกคนไม่ทราบกลุ่มสังหารไปแล้ว”
“ไปสืบมาว่าใครเป็นคนเก็บเจ้าพวกนั้น”
“พะยะค่ะ” ชายหนุ่มรับคำแข็งขัน ก่อนจะถามต่อ “แล้ว...เรื่องสนมเหอ”
“ไปตามไท่ตงมา เสร็จเรื่องก็เงียบไว้ จีบดูความเคลื่อนไหวของทุกคนให้ดี โดยเฉพาะฮ่องเต้กับองค์รัชทายาท ถ้ามีเรื่องผิดปกติไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหนก็ต้องรีบมารายงานข้า”
“รับด้วยเกล้า”
สายสืบในคราบของทหารองครักษ์ทำความเคารพแล้วหลบฉากออกไปทำงาน ปล่อยให้องค์ชายรองได้อยู่ตามลำพัง สถานการณ์ในตอนนี้จัดว่าเลวร้ายทีเดียว หากความถึงฮ่องเต้หรือมีหลักฐานมัดตัวย่อมหมายถึงความหายนะ
“นังผู้หญิงโง่เง่า” องค์ชายรองกำหมัดแล้วต่อยกำแพงด้วยความโมโห
เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่สนมเหอจะรู้อยู่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาทราบความจริงในตอนหลัง ทว่านางก็ยังทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจกันได้ลง คงคิดกระมังว่าหากช่วยให้เขาได้แต่งงานกับบุตรสาวเจ้าเมืองหรืออ๋องคนใดคนหนึ่ง องค์ชายผู้ทะเยอทะยานคงย่อมยอมยกโทษให้และไม่เลิกล้มการเป็นพันธมิตรต่อกัน
ความคิดของสนมเหอถือว่าถูกต้องในแง่ของคนที่มองเฉพาะผลประโยชน์ ทว่ากลับใช้ไม่ได้กับองค์ชายรอง มีเพียงชายหนุ่มเท่านั้นที่รู้ว่าสายสัมพันธ์ที่มีต่อกุ้ยฮวา คืออารมณ์อ่อนไหวเดียวที่เขามี ชายหนุ่มไม่อาจปล่อยให้คนที่ทำร้ายคนสำคัญของตัวเองลอยนวลอยู่ได้ แต่ก็ไม่อาจทำลายฐานอำนาจของตัวเองทิ้งได้เช่นกัน สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มสามารถทำเพื่อระบายความโกรธเกรี้ยวของตนเองได้ มีเพียงการโต้ตอบทางจิตใจเท่านั้น
องค์ชายรองส่งคนควบม้าเร็วไปส่งข่าวให้องค์ชายแปดที่ตำหนักมังกรน้ำ เพื่อบอกเล่าความจริงถึงพฤติกรรมอันโหดเหี้ยมของสนมเหอ คนขององค์ชายรองฉลาดพอที่จะโน้มน้าวให้องค์ชายน้อยเชื่อโดยไม่กังขาว่าความริษยาของสนมเหอจะนำภัยมาสู่ตน ถ้าอยากรอดก็ตัดแม่ตัดลูกกับนางเสีย องค์ชายรองจะช่วยพูดให้ว่าองค์ชายแปดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการกระทำในครั้งนี้ ไม่ว่าองค์ชายแปดจะตัดสินใจอย่างไร องค์ชายรองก็เชื่อมั่นว่าสนมเหอจะต้องได้รับการลงทัณฑ์จากเพชฌฆาตที่มีนามว่า ‘โอรส’
ความจริงเรื่องกุ้ยฮวากับองค์หญิงลี่จูถูกมือสังหารลอบทำร้ายรู้กันในวงแคบ ไม่เพียงแต่ผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นที่ห้ามเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้ประสบเหตุทั้งสองยังถูกกำชับไม่ให้พูดด้วย คำสั่งนี้มาจากฮ่องเต้โดยตรง พระองค์ตรัสกับพระธิดาและหลานสาวอย่างมีเหตุผล ว่าไม่ต้องการให้สนมเฉินและบิดาของกุ้ยฮวาเป็นห่วง รวมถึงเป็นการรักษาเกียรติของทั้งสองด้วย เรื่องจึงจบลงโดยมีบทสรุปว่าหลงทางเพราะความสะเพร่าของพลขับ
สำหรับเรื่องของชุนหลัน ทุกคนต่างเห็นว่านางควบม้าออกไปตามหาองค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวา เพื่อไม่ให้ผู้คนสงสัยจึงปล่อยข่าวออกไปว่านางเกิดอุบัติเหตุตกจากหลังม้า หน่อมค่อนข้างเสียใจกับเรื่องนี้พอสมควร เขาเห็นว่าชุนหลันยอมเสี่ยงตายเพื่อช่วยเจ้านาย แต่กลับต้องปิดวีรกรรมอันแสนกล้าหาญนี้เอาไว้เป็นความลับ หน่อมเลยทูลขอร้องให้พระบิดาพระราชทานรางวัลให้ชุนหลันอย่างลับๆ ฮ่องเต้ทรงรับปาก ทั้งยังประทานรางวัลให้คนที่ช่วยเหลือพระธิดาเอาไว้มากมาย
ไป๋หลินกับหยางเจี้ยนได้รับทองคำถาดใหญ่กับเครื่องประดับเพื่อตอบแทนน้ำใจ ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วไม่มีใครสามารถปฏิเสธของพระราชทานได้ ต่อให้เป็นยาพิษก็ต้องดื่ม หยางเจี้ยนจึงรับมาแบ่งกันกับไป๋หลิน เขายกเครื่องประดับมีค่าให้หญิงสาวทั้งหมด ทองคำส่วนของตัวเองก็เอาไปแจกจ่ายให้ผู้ยากไร้ ด้วยถือคติช่วยเหลือผู้คนโดยไม่หวังไม่ต้องการสิ่งตอบแทน
หลายคนมองว่าชายหนุ่มโง่ แต่หยางเจี้ยนกลับยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วบอกไปว่าชาวยุทธ์อย่างเขา มีเงินมากไปก็รังแต่จะทุกข์ใจเพราะหวาดระแวง องค์ชายหกได้ยินก็รู้สึกถูกใจจึงทาบทามให้มาทำงานด้วย องค์รัชทายาทเองก็ยื่นข้อเสนอมาให้เช่นกัน เสียดายว่าชายหนุ่มปฏิเสธ หยางเจี้ยนทูลตามตรงว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์ไม่เหมาะกับกฏระเบียบที่เคร่งครัด เกรงว่าจะสร้างปัญหาให้
เมื่อเจ้าตัวไม่สมัครใจก็ไม่มีใครรั้งเอาไว้อีก หยางเจี้ยนเก็บข้าวของแล้วเตรียมตัวออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น ทว่ากลับติดปัญหาเพราะไป๋หลินไม่ยอมเดินทางไปด้วยกัน นางอยากอยู่กับองค์หญิงลี่จูและบรรดาเพื่อนใหม่อีกสักระยะ
“เราไปถึงช้าหลายวันแล้ว ถ้าไม่รีบกลับไปส่งข่าวให้พ่อเจ้า ท่านจะเป็นห่วงเอาได้นะ เจ้าอยากให้ท่านส่งคนมาตามตัวกลับไปหรือไง” หยางเจี้ยนยกชื่อท่านประมุขมู่มาขู่
“ไม่เอานะพี่หยาง ข้าไม่อยากกลับไปหุบเขาหิมะตอนนี้” โบ้ร้องลั่น
แต่ไหนแต่ไรมาไป๋หลินไม่เคยกลัวใครนอกจากบิดา ก่อนมาอยู่โลกนี้โบ้เองก็กลัวพ่อชนิดขึ้นสมอง พ่อสั่งซ้ายก็ต้องหันซ้าย สั่งหันขวาก็ต้องหันขวา พอรวมร่างกันนิสัยนี้จึงไม่เคยหายไปจากตัว
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบเก็บของแล้วเดินทางไปด้วยกันเถอะ”
“พี่หยางไปก่อนแล้วรายงานท่านพ่อว่าถึงแล้วไม่ได้หรือ” โบ้ต่อรอง
“ไม่ได้ พี่รับปากท่านลุงแล้วว่าจะดูแลเจ้า จะปล่อยเอาไว้ที่นี่ตามลำพังได้อย่างไร”
หยางเจี้ยนมักจะตามใจไป๋หลินเสมอ ทว่าหนนี้เขากลับเร่งให้นางออกจากที่นี่ ด้วยเกรงว่าความงามของนางจะเป็นที่ต้องใจขององค์ชาย ต่อให้สมัครใจฐานะอย่างไป๋หลินเป็นได้อย่างมากแค่นางบำเรอ จึงอยากตัดไฟตั้งแต่ต้นลม โบ้ไม่เข้าใจความปรารถนาดีของหยางเจี้ยน จึงเป็นเหตุทำให้ทะเลาะกัน พอเถียงกันหนักเข้าดวงตาคู่สวยของไป๋หลินก็มีหยาดน้ำคลอ
พิภพจอมนาง (ตุ๊ดทะลุมิติ) ตอนที่ ๒ สัตว์พันปี : บทที่ ๒ ผีเสื้อโลหิต
จะเกิดอะไรขึ้นหากปล่อยนางโลมโฉมงามเอาไว้กับองค์ชายเจ้าเสน่ห์ตามลำพังในห้องหับมิดชิด หนำซ้ำยังมีฝ่ายหนึ่งไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ติดกายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
คำตอบแรกที่แวบเข้ามาในใจหลายคนคงเป็นฉากเรตสิบแปดบวก ซึ่งในความเป็นจริงก็เกือบจะมีฉากอย่างว่าอยู่เหมือนกัน แต่เป็นฉากฆาตกรรม หาใช่ฉากโรมานซ์หวานชื่น คณิกาคนงามถึงกับมือไม้สั่นอยากจับหัวองค์ชายกดน้ำเพราะความกวนประสาทของอีกฝ่าย
องค์ชายลี่หมิงกลับมาเป็นตัวของตัวเองเมื่อได้ลงไปแช่ในอ่างน้ำอุ่น เมื่อบรรยากาศอึมครึมในจิตใจสลายหายไป คนขี้แกล้งก็หันมาหยอกล้อสาวงามที่กำลังทำความสะอาดร่างกายให้
“ข้าไว้ใจเจ้านะฟางเซียน ห้ามอดใจไม่ไหวแล้วล่วงเกินข้าเชียวนะ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาปิดแผงอกขาวเนียนของตัวเองเอาไว้ด้วยท่าทางเอียงอายผสมหวาดระแวง
“ไม่ต้องห่วงเพคะ ระดับองค์ชายไม่ทำให้หม่อมฉันหวั่นไหวหรอก” ว่าแล้วก็ตวัดสายตามองตั้งแต่หัวจนถึงส่วนที่แช่อยู่ใต้น้ำ
องค์ชายลี่หมิงกระตุกยิ้มที่มุมปาก คำตอบที่ไม่ต่างจากการปรามาสนี้เข้าทางคนเจ้าเล่ห์พอดี
“ดี...ถูตัวให้ข้าหน่อย” ว่าแล้วก็เอาขายกขึ้นมาพาดที่ขอบอ่าง แบบไม่แคร์เลยว่าหนอนน้อยจะโผล่พ้นผิวน้ำหรือเปล่า
ดีที่ว่าพวกมหาดเล็กเติมน้ำมาให้เต็มอ่าง แถมยังโรยกลีบดอกไม้มาให้เสียหนา ก็เลยไม่มีภาพอุจาดตาให้เห็น
เจ้หยิบผ้าขึ้นมาขัดตัวให้อย่างขอไปที คนที่นอนแช่น้ำสบายเลยยั่วต่อ
“ลงมาลึกหน่อยสิ ถูแบบนั้นแล้วจะสะอาดได้ยังไง”
องค์ชายสามมองคนข้างกายด้วยสายตาท้าทายว่ากล้าหรือเปล่า
“ได้เพคะ” เจ้รับคำแบบไม่กลัว
ก่อนจะมาโลกนี้เธอมีหนอนน้อยเป็นของตัวเองมาค่อนชีวิต ตอนเกณฑ์ทหารก็เห็นมาแล้วทั้งกองร้อย จะกลัวอะไรกับของคนบ้ากวนประสาทคนเดียว
มือเรียวนุ่มนิ่มลากผ้าไล้จากเหนือเข่าแหวกกลีบดอกไม้เหนือผิวน้ำตรงดิ่งไปที่โคนขาแน่นๆ แบบไม่ลังเล ยังไม่ทำได้ถึงเป้าหมาย องค์ชายจอมกวนก็ทำปากจิ๊จ๊ะ
“อ๊ะๆ จะทำอะไร”
“ขัดขาให้ไงเพคะ”
“ถูดีๆ สิ ไม่เห็นจะต้องล้วงลงลึกปานนั้น หวังอะไรอยู่ฮึฟางเซียน”
“ไม่ได้หวังเพคะ หม่อมฉันแค่ทำตามคำสั่ง” เจ้แยกเขี้ยวใส่
“นี่มันอ้างคำสั่งแล้วหาเรื่องลวนลามข้าชัดๆ ผู้หญิงหื่นกามอย่างเจ้านี่ไว้ใจไม่ได้เลย” พูดแล้วก็ดีดน้ำใส่หน้าทำอีกฝ่ายฉุนขาด
“อาบเองเลยไป”
เจ้โยนผ้าขัดตัวใส่หน้าคนกวนประสาทเต็มแรง ผลคืออีกฝ่ายหัวเราะร่วนด้วยความพอใจ
“เจ้ารู้ไหมว่าน่ารักเหลือเกินเวลาโกรธ”
รอยยิ้มกรุ้มกริ่มขององค์ชายรูปงามทั้งยั่วเย้าและเชิญชวน ทว่ากลับไม่มีผลใดๆ ต่อหัวใจที่มีป้อมปราการหนารายล้อม เจ้เดินหนีไปในทันที คนที่แช่น้ำอยู่เลยรีบลุกพรวดออกจากอ่างไปคว้าตัวเอาไว้
“ข้าล้อเล่นนิดเดียว อย่างอนสิ”
“ปล่อยหม่อมฉันเพคะ” เจ้ทำเสียงกระด้างใส่
“ถ้าข้ายอมปล่อย เจ้าจะอยู่เป็นเพื่อนข้าจนเช้าไหม”
“ไม่มีทางเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องต้องทำ แต่ถ้าองค์ชายพอใจจะแก้ผ้ายืนอยู่อย่างนี้จนสว่าง หม่อมฉันก็คงทำอะไรไม่ได้”
องค์ชายลี่หมิงหัวเราะกับความดื้อรั้นของฟางเซียน ก่อนจะคลายมือออกจากตัวหญิงสาวแต่โดยดี
“ข้ายอมแพ้แล้ว เชิญแม่นางหลง ฟางเซียนออกไปจากห้องนี้ได้”
เจ้สาวเท้าไปที่ประตูแบบไม่รอช้า แต่แล้วก็ต้องชะงักยอมเหลียวหลังกลับมาเมื่อน้ำเสียงขององค์ชายสามเปลี่ยนเป็นจริงจังผิดหู
“ฟางเซียนไปได้ แต่ผีเสื้อโลหิตต้องอยู่ต่อ”
“นายใหญ่ปรารถนาสิ่งใด” เจ้หันมาเผชิญหน้าด้วยแววตาคมกล้า สรรพนามที่เปลี่ยนไปบ่งบอกว่าพร้อมที่จะรับงาน
กิริยาทุกอย่างของเจ้เป็นไปโดยอัตโนมัติ นาม ‘ผีเสื้อโลหิต’ ส่งผลกระทบกับเธออย่างรุนแรง เพราะมันคือฉายาที่ฟางเซียนใช้ในองค์กรพรานราตรี นามนี้คือมรดกที่นายใหญ่คนเก่าทิ้งเอาไว้ให้ เพื่อเป็นเกียรติแก่สายลับและมือสังหารอันดับหนึ่ง เวลาถูกเรียกด้วยนามนี้ทีไร ใจเจ้จะฮึกเหิมเป็นอย่างมาก พร้อมกับเกิดอาการกระหายในกลิ่นคาวเลือด ราวกับเป็นนักดื่มที่เฝ้าฝันถึงสุราชั้นเลิศ
เธออยากปักคมมีดลงในร่างเหยื่อ อยากจะได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาของพวกมัน ทรมานเสร็จแล้วค่อยตัดหัวมารับรางวัลจากนายท่านที่รักยิ่ง
ความคิดอันโหดเหี้ยมที่ปราศจากความรู้สึกผิดนี้คือสิ่งที่ได้มาพร้อมกับร่างกายอันแสนงดงามของฟางเซียน แม้ว่าเจ้จะควบคุมตัวเองได้ แต่บ่อยครั้งก็พ่ายต่อความต้องการในส่วนลึก ไม่ทันรู้ตัวเธอก็เผลอรับงานมาจากนายใหญ่เสียแล้ว
สายสืบของพรานราตรีที่ถูกส่งออกไปหาข่าว กลับมาแจ้งเบาะแสต่อองค์ชายสามในยามสายว่าพวกนักฆ่ามีความเกี่ยวข้องกับสนมเหอ ทว่าก็ยังขาดหลักฐาน เป็นคนอื่นคงจะขวนขวายหาทางเอาผิด แต่สำหรับองค์ชายสาม แค่มั่นใจว่าตัวการคือใครก็มากเกินพอแล้ว ชายหนุ่มแอบเคลื่อนไหวอยู่เงียบๆ รอเวลาและโอกาสที่จะแก้แค้นอีกฝ่ายอย่างสาสม
นอกจากองค์ชายสามแล้ว คนที่รู้ความเป็นไปทุกสิ่งเป็นอย่างดีก็คือฮ่องเต้ ความผิดของสนมเหอไม่อาจรอดพ้นพระเนตรพระกรรณของพระองค์ไปได้ แม้จะไม่แสดงออกแต่ก็กริ้วเป็นอย่างมาก ทรงมีบัญชาให้ส่งสารเตือนไปยังเสนาบดีเหอ หนนี้พระองค์จะทำเป็นมองไม่เห็น แต่ถ้ายังมีเรื่องต่ำช้าอย่างนี้เกิดขึ้นอีก พระองค์จะสั่งประหารล้างโคตรสกุลเหอแบบไม่ลังเล
ในขณะที่สารกำลังเดินทางไปยังสกุลเหอ ผู้สมรู้ร่วมคิดโดยอ้อมอย่างองค์ชายรองกลับเพิ่งรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับกุ้ยฮวาและองค์หญิงลี่จู
“เจ้ามั่นใจแค่ไหน” องค์ชายรองถามคนสนิทเสียงขรึม หากมันเป็นความจริงย่อมเป็นเรื่องใหญ่
“ข้าพระองค์สืบได้ว่ามีการว่าจ้างมาจากขุนนางที่มีความใกล้ชิดกับสกุลเหอ คนของเราที่ถูกเปลี่ยนตัวยังบอกอีกว่าเป็นคำสั่งลับจากองค์ชาย”
ได้ฟังเท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องซักเพิ่มเติมอีก ก่อนออกมาจากเมืองหลวง สนมเหอได้เสนอความคิดว่าองค์ชายรองน่าจะหาวิธีมัดใจกุ้ยฮวา จะได้ดองกับสกุลเฉินเพื่อสร้างฐานอำนาจให้กับตัวเอง สนมเหอแนะว่าผู้หญิงย่อมประทับใจในบุรุษที่ห้าวหาญสามารถช่วยปกป้องตัวเองได้ จึงเสนอแผนการสร้างสถานการณ์ว่ารถม้าของนางพลัดหลงจากขบวนเสด็จ แล้วให้องค์ชายรองมาช่วยเหลือเอาไว้จากโจร เท่านี้ก็จะได้ใจนางและได้รับการยอมรับจากเสนาบดีเฉิน
องค์ชายรองมองว่ามันเป็นแผนการที่แยบยลพอใช้ จึงตัดสินใจส่งคนเข้าไปทำหน้าที่เป็นพลขับ เป็นเหตุให้สนมเหอใช้โอกาสนี้สลับคนของเขากับนักฆ่า
“ไปเก็บพวกนักฆ่าให้หมด อย่าให้เหลือหลักฐานสาวตัวไปที่ใครได้”
องค์ชายรองออกคำสั่งเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกซัดทอดมาถึงตัวเอง
“ทูลองค์ชาย ข้าพระองค์ส่งคนไปแล้วพะยะค่ะแต่ว่าไม่ทันการณ์ พวกมันถูกคนไม่ทราบกลุ่มสังหารไปแล้ว”
“ไปสืบมาว่าใครเป็นคนเก็บเจ้าพวกนั้น”
“พะยะค่ะ” ชายหนุ่มรับคำแข็งขัน ก่อนจะถามต่อ “แล้ว...เรื่องสนมเหอ”
“ไปตามไท่ตงมา เสร็จเรื่องก็เงียบไว้ จีบดูความเคลื่อนไหวของทุกคนให้ดี โดยเฉพาะฮ่องเต้กับองค์รัชทายาท ถ้ามีเรื่องผิดปกติไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหนก็ต้องรีบมารายงานข้า”
“รับด้วยเกล้า”
สายสืบในคราบของทหารองครักษ์ทำความเคารพแล้วหลบฉากออกไปทำงาน ปล่อยให้องค์ชายรองได้อยู่ตามลำพัง สถานการณ์ในตอนนี้จัดว่าเลวร้ายทีเดียว หากความถึงฮ่องเต้หรือมีหลักฐานมัดตัวย่อมหมายถึงความหายนะ
“นังผู้หญิงโง่เง่า” องค์ชายรองกำหมัดแล้วต่อยกำแพงด้วยความโมโห
เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่สนมเหอจะรู้อยู่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาทราบความจริงในตอนหลัง ทว่านางก็ยังทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจกันได้ลง คงคิดกระมังว่าหากช่วยให้เขาได้แต่งงานกับบุตรสาวเจ้าเมืองหรืออ๋องคนใดคนหนึ่ง องค์ชายผู้ทะเยอทะยานคงย่อมยอมยกโทษให้และไม่เลิกล้มการเป็นพันธมิตรต่อกัน
ความคิดของสนมเหอถือว่าถูกต้องในแง่ของคนที่มองเฉพาะผลประโยชน์ ทว่ากลับใช้ไม่ได้กับองค์ชายรอง มีเพียงชายหนุ่มเท่านั้นที่รู้ว่าสายสัมพันธ์ที่มีต่อกุ้ยฮวา คืออารมณ์อ่อนไหวเดียวที่เขามี ชายหนุ่มไม่อาจปล่อยให้คนที่ทำร้ายคนสำคัญของตัวเองลอยนวลอยู่ได้ แต่ก็ไม่อาจทำลายฐานอำนาจของตัวเองทิ้งได้เช่นกัน สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มสามารถทำเพื่อระบายความโกรธเกรี้ยวของตนเองได้ มีเพียงการโต้ตอบทางจิตใจเท่านั้น
องค์ชายรองส่งคนควบม้าเร็วไปส่งข่าวให้องค์ชายแปดที่ตำหนักมังกรน้ำ เพื่อบอกเล่าความจริงถึงพฤติกรรมอันโหดเหี้ยมของสนมเหอ คนขององค์ชายรองฉลาดพอที่จะโน้มน้าวให้องค์ชายน้อยเชื่อโดยไม่กังขาว่าความริษยาของสนมเหอจะนำภัยมาสู่ตน ถ้าอยากรอดก็ตัดแม่ตัดลูกกับนางเสีย องค์ชายรองจะช่วยพูดให้ว่าองค์ชายแปดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการกระทำในครั้งนี้ ไม่ว่าองค์ชายแปดจะตัดสินใจอย่างไร องค์ชายรองก็เชื่อมั่นว่าสนมเหอจะต้องได้รับการลงทัณฑ์จากเพชฌฆาตที่มีนามว่า ‘โอรส’
ความจริงเรื่องกุ้ยฮวากับองค์หญิงลี่จูถูกมือสังหารลอบทำร้ายรู้กันในวงแคบ ไม่เพียงแต่ผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นที่ห้ามเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้ประสบเหตุทั้งสองยังถูกกำชับไม่ให้พูดด้วย คำสั่งนี้มาจากฮ่องเต้โดยตรง พระองค์ตรัสกับพระธิดาและหลานสาวอย่างมีเหตุผล ว่าไม่ต้องการให้สนมเฉินและบิดาของกุ้ยฮวาเป็นห่วง รวมถึงเป็นการรักษาเกียรติของทั้งสองด้วย เรื่องจึงจบลงโดยมีบทสรุปว่าหลงทางเพราะความสะเพร่าของพลขับ
สำหรับเรื่องของชุนหลัน ทุกคนต่างเห็นว่านางควบม้าออกไปตามหาองค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวา เพื่อไม่ให้ผู้คนสงสัยจึงปล่อยข่าวออกไปว่านางเกิดอุบัติเหตุตกจากหลังม้า หน่อมค่อนข้างเสียใจกับเรื่องนี้พอสมควร เขาเห็นว่าชุนหลันยอมเสี่ยงตายเพื่อช่วยเจ้านาย แต่กลับต้องปิดวีรกรรมอันแสนกล้าหาญนี้เอาไว้เป็นความลับ หน่อมเลยทูลขอร้องให้พระบิดาพระราชทานรางวัลให้ชุนหลันอย่างลับๆ ฮ่องเต้ทรงรับปาก ทั้งยังประทานรางวัลให้คนที่ช่วยเหลือพระธิดาเอาไว้มากมาย
ไป๋หลินกับหยางเจี้ยนได้รับทองคำถาดใหญ่กับเครื่องประดับเพื่อตอบแทนน้ำใจ ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วไม่มีใครสามารถปฏิเสธของพระราชทานได้ ต่อให้เป็นยาพิษก็ต้องดื่ม หยางเจี้ยนจึงรับมาแบ่งกันกับไป๋หลิน เขายกเครื่องประดับมีค่าให้หญิงสาวทั้งหมด ทองคำส่วนของตัวเองก็เอาไปแจกจ่ายให้ผู้ยากไร้ ด้วยถือคติช่วยเหลือผู้คนโดยไม่หวังไม่ต้องการสิ่งตอบแทน
หลายคนมองว่าชายหนุ่มโง่ แต่หยางเจี้ยนกลับยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วบอกไปว่าชาวยุทธ์อย่างเขา มีเงินมากไปก็รังแต่จะทุกข์ใจเพราะหวาดระแวง องค์ชายหกได้ยินก็รู้สึกถูกใจจึงทาบทามให้มาทำงานด้วย องค์รัชทายาทเองก็ยื่นข้อเสนอมาให้เช่นกัน เสียดายว่าชายหนุ่มปฏิเสธ หยางเจี้ยนทูลตามตรงว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์ไม่เหมาะกับกฏระเบียบที่เคร่งครัด เกรงว่าจะสร้างปัญหาให้
เมื่อเจ้าตัวไม่สมัครใจก็ไม่มีใครรั้งเอาไว้อีก หยางเจี้ยนเก็บข้าวของแล้วเตรียมตัวออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น ทว่ากลับติดปัญหาเพราะไป๋หลินไม่ยอมเดินทางไปด้วยกัน นางอยากอยู่กับองค์หญิงลี่จูและบรรดาเพื่อนใหม่อีกสักระยะ
“เราไปถึงช้าหลายวันแล้ว ถ้าไม่รีบกลับไปส่งข่าวให้พ่อเจ้า ท่านจะเป็นห่วงเอาได้นะ เจ้าอยากให้ท่านส่งคนมาตามตัวกลับไปหรือไง” หยางเจี้ยนยกชื่อท่านประมุขมู่มาขู่
“ไม่เอานะพี่หยาง ข้าไม่อยากกลับไปหุบเขาหิมะตอนนี้” โบ้ร้องลั่น
แต่ไหนแต่ไรมาไป๋หลินไม่เคยกลัวใครนอกจากบิดา ก่อนมาอยู่โลกนี้โบ้เองก็กลัวพ่อชนิดขึ้นสมอง พ่อสั่งซ้ายก็ต้องหันซ้าย สั่งหันขวาก็ต้องหันขวา พอรวมร่างกันนิสัยนี้จึงไม่เคยหายไปจากตัว
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบเก็บของแล้วเดินทางไปด้วยกันเถอะ”
“พี่หยางไปก่อนแล้วรายงานท่านพ่อว่าถึงแล้วไม่ได้หรือ” โบ้ต่อรอง
“ไม่ได้ พี่รับปากท่านลุงแล้วว่าจะดูแลเจ้า จะปล่อยเอาไว้ที่นี่ตามลำพังได้อย่างไร”
หยางเจี้ยนมักจะตามใจไป๋หลินเสมอ ทว่าหนนี้เขากลับเร่งให้นางออกจากที่นี่ ด้วยเกรงว่าความงามของนางจะเป็นที่ต้องใจขององค์ชาย ต่อให้สมัครใจฐานะอย่างไป๋หลินเป็นได้อย่างมากแค่นางบำเรอ จึงอยากตัดไฟตั้งแต่ต้นลม โบ้ไม่เข้าใจความปรารถนาดีของหยางเจี้ยน จึงเป็นเหตุทำให้ทะเลาะกัน พอเถียงกันหนักเข้าดวงตาคู่สวยของไป๋หลินก็มีหยาดน้ำคลอ