"อย่าแคร์ว่าคนอื่นคิดอะไรกับเรา"
อ่านเจอเมื่อวันก่อน มีผลสำรวจออกมาว่าครัวเรือนประเทศไทยมีหนี้สินอยู่กว่า 15 ล้านครัวเรือน เฉลี่ยเปนหนี้ครัวเรือนละเกือบสองแสนบาท และ 70% เปนหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค มี 42% ที่มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
แสดงว่าคนส่วนใหญ่เปนหนี้ ถ้าทำตามคนส่วนใหญ่เราก้อจะเปนหนี้ ถ้าไม่อยากจะมีหนี้ต้องทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำกัน
ต่อจากตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/32593296 จุดที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงของผมจริงจังและเข้มข้นมากขึ้นคือเรื่องของคอนโด
ตอนนั้นคอนโดที่อยู่เปนคอนโดเก่าซื้อมือสองต่อมาจากเจ้าของเก่าอีกที อายุสิบกว่าปี เปนคอนโดเล็กๆแปดชั้น มีปัญหาเรื่องที่จอดรถที่มีน้อยมาก ต้องจอดซ้อนกันไปซ้อนกันมา จะออกไปทำงานตอนเช้าต้องให้ยามไปตามเจ้าของรถที่จอดปิดอยู่มาขยับ บางวันเลยไปสาย และปัญหาอีกอย่างคือนิติบุคคลไม่ดูแล จ่ายค่าส่วนกลางไปก้อไม่เอาไปทำอะไร โกงเงินกันไปจนมีเรื่องขึ้นศาล คอนโดเลยเก่าและโทรมมากๆ ประกอบกับตอนนั้นมีคอนโดใหม่มาเปิดโครงการใกล้ๆ ที่ทำงาน ตรงนั้นโลเคชั่นดี เข้าไปดูแล้วอยากได้มากๆ
จะซื้อคอนโดก้อต้องมีเงินไปจองและผ่อนดาวน์ ยอดรวมแล้วเยอะซะด้วย ถ้าไม่รีบซื้อตอนช่วงพรีเซลราคากับยอดที่ต้องจองก้อจะเพิ่มขึ้นไปอีก แต่เงินเก็บก้อไม่มี บวกกับมีหนี้บัตรเครดิตอยู่อีกเปนแสน ตอนนั้นเลยเกิดความคิดว่าจะขายคอนโดเก่าที่อยู่ในตอนนั้น แล้วเอาเงินที่ได้ไปจองคอนโดใหม่ แต่เนื่องจากสภาพคอนโดในตอนนั้น ลองขายดูแล้วก้อไม่มีแนวโน้มจะขายได้ราคาดีเลย (บทเรียนคืออสังหาที่มีคนอยู่โดยไม่ได้เปนคนเช่าและเราได้ค่าเช่านั้นจะขายยากมากๆ และอสังหานั้นมีสภาพคล่องต่ำมากๆ ถ้าอยากซื้อขายให้ได้กำไรต้องใช้เงินเย็นและสามารถถือไปจนหาคนที่อยากซื้อในราคาที่ดีได้)
ตอนนั้นอยากได้คอนโดมากและกลัวว่าราคาหลังพรีเซลจะขึ้นไปมาก ลองนั่งทำตาราง excel คิดรายรับ รายจ่ายดูแล้วเจอว่ามันเปนไปได้ครับ ที่จะปลดหนี้ทุกอย่างและเก็บเงินมาจองและผ่อนดาวน์คอนโด แต่ต้อง creative หน่อย ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าเดิมและขยันหารายได้มากกว่าเดิม ต้องทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่อาจไม่เห็นด้วย
ตรงนี้เลยเปนจุดเปลี่ยนสำคัญในการปลดหนี้และเก็บเงินของผม ตอนนั้นผมตัดสินใจขายรถไปครับ ลงประกาศในเวปต่างๆเอา ปลดหนี้รถไป ได้เงินส่วนต่างมาส่วนหนึ่ง และเอาเงินค่างวดรถที่ปกติจ่ายอยู่ไปโปะหนี้บัตรและเปนเงินเก็บ (บทเรียนจากครั้งนี้คือรถมีแต่รายจ่าย ซื้อมาถึงไม่ใช้ราคามันก้อเสื่อมไปตามเวลา จะซื้อจะขายก้อต้องเสียค่าโอนอีก และการแต่งรถคือการทิ้งเงินไป เงินที่เราลงไปในของแต่งทุกอย่างไม่ได้ทำให้ราคาขายต่อเพิ่มขึ้นเลย ซ้ำร้ายบางทีทำให้ราคารถตกหรือทำให้ขายยากขึ้นด้วยซ้ำ เพราะรสนิยมคนเราต่างกัน ชอบซื้อรถบ้านแบบเดิมๆ ไม่เคยดัดแปลงมากกว่า)
เอาสมบัติบ้ามาขายทางอินเตอร์เนท (สมบัติบ้าคือของที่เราซื้อมาด้วยความบ้าชั่ววูบ ส่วนมากจะแพงซะด้วย ของผมตอนนั้นคือ อะไหล่และของแต่งรถ โน้ตบุ้ก ipod ไม้กอล์ฟ palm) ตอนนั้นใช้เวป pantipmarket กะ racingweb.net
ส่วนค่าใช้จ่ายก้อประหยัดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หยุดซื้อของทุกอย่าง ค่าใช้จ่ายเหลือแต่ค่ากิน ค่าเดินทาง และค่าผ่อนคอนโดเก่า ของกินตามร้านอาหารหรูๆ หรือตามห้างก้อตัดเหลือแค่เดือนละครั้ง นอกนั้นกินแต่ข้างทางหรือตามแคนทีน เลิกกินกาแฟตามร้านแต่กินกาแฟออฟฟิศเอา (ฟรี) อาสาไปทำงานภาคสนามเวลาที่มีคนลาเพื่อจะได้เงินเพิ่ม (เวลาไปทำจะได้เงินเพิ่มวันละพันกว่า และมีที่อยู่บวกอาหารให้ฟรี) ค่าน้ำค่าไฟอันไหนประหยัดได้ประหยัดหมด ช่วงนี้ใครชวนไปไหนผมปฎิเสธตลอด บอกไปว่าติดงานไม่ว่างปั๊มเงินอย่างเดียว
เงินพิเศษ เงินโบนัสที่ได้ทุกอย่างเอามาโปะหนี้หมด หยุดซื้อของที่ความจริงแล้วเราไม่ต้องการเพียงเพื่อความรู้สึกว่าเพื่อให้รางวัลแก่ตัวเอง เพราะความจริงแล้วมันคือการเอาอิสระภาพของเราไปแลกกับหนี้มาแค่นั้นเอง
ประสบการณ์ที่ผมเจอในช่วงนี้คือคนจะคิดว่าเราทำอะไรแปลกๆครับ เพื่อนๆผมก้องงว่าทำไมอยู่ๆหายไปไม่ออกมาเจอหน้าเจอตา เพื่อนที่ทำงานก้อมาบอกว่าทำไมไม่ทำอันโน้นทำอันนี้หละ ยิ่งที่บ้านผมยิ่งงงใหญ่โดยเฉพาะตอนที่ขายรถและไม่ค่อยเหนผมใช้เงิน แม่มาถามเลยว่าเปนไรตกงานรึเปล่า แต่บทเรียนสำคัญของผมคือเมื่อมีเป้าหมายชัดเจนแล้วจะทำให้เรามุ่งมั่งขึ้นครับ เวลาลำบากแล้วเรารู้สึกเหนื่อยหรือท้อ แต่ถ้าเรารู้ว่าเรากำลังเดินไปสู่เป้าหมายนั้น เราจะมีกำลังใจทำสิ่งนั้นต่อไปครับ คนอื่นว่าไงอย่าไปแคร์
สมการที่ได้ผลที่สุดคือ รายได้ - เงินออม = รายจ่ายครับ
คือหักเงินออมออกไปก่อนเลยแล้วใช้จ่ายตาม budget ที่เราตั้งไว้ ไม่ใช่ได้มาแล้วใช้เหลือเท่าไหร่ค่อยเก็บ เพราะมันจะไม่เคยเหลือครับ ง่ายๆ แค่นี้แหละแต่ถ้าทำได้จะได้ผลแน่ๆ
สมการข้างบนมันเปนเรื่องง่ายๆที่ใครๆก้อเข้าใจ แต่จะสามารถทำได้รึเปล่าก้ออีกเรื่อง ปัจจุบันสังคมเราเปนสังคมวัตถุนิยมครับ ผู้ประกอบการผลักดันด้านการตลาดจนเกิดสิ่งที่เรียกว่า "รูปลักษณ์ของความสำเร็จ" ขึ้นมา คือทำให้คิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จต้องใช้รถแบบนี้ ซื้อคอนโดแบบนี้ ใช้โทรศัพท์แบบนี้ ซึ่งถ้าคุณประสบความสำเร็จจริงและมีทรัพย์สินมากเพียงพอจริงก้อคงไม่ผิดที่จะซื้อของพวกนี้ใช้
แต่ปัญหาคือคนส่วนใหญ่เลือกที่จะทำให้ตนเองมี "รูปลักษณ์ของความสำเร็จ" ก่อนที่จะประสบความสำเร็จจริงๆ ผลที่ตามมาก้อคือหนี้บานเบอะ คงจะเคยได้ยินคนพูดกันใช่มั้ยครับว่า "คุณมีรายได้ตั้งเท่านี้ทำไมไม่ใช้ของแบบนี้ละ" "เงินเดือนเพิ่มทำไมไม่ซื้อรถใหม่ละ" "ได้โบนัสทำไมไม่เปลี่ยนมือถือละ"
ความหมายของคำพูดเหล่านี้คือรายจ่ายเราควรผันแปรกับรายได้ รายได้มากขึ้นรายจ่ายก้อควรมากขึ้น ซึ่งไม่เป็นความจริงเลยครับ เราสามารถเลือกที่จะออมมากขึ้น หรือเอาเงินไปใช้หนี้มากขึ้นได้ถ้ารายได้มากขึ้น ซึ่งความจริงแล้วมันเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและควรทำมากกว่า
"อย่าให้กลายเปนว่า เราทนทำงานที่เราเกลียด เพื่อซื้อของที่เราไม่จำเป็นต้องใช้ เพียงแค่เอามาอวดคนที่เราไม่รู้จักซะด้วยซ้ำ"
ถ้าเราทำตามคนส่วนใหญ่ เราก้อจะเปนหนี้เหมือนที่คนส่วนใหญ่เป็นครับ
มาที่เรื่องของผมต่อ เก็บเงินเพื่อปลดหนี้และเพื่อจองคอนโดใหม่ได้สี่ห้าเดือน ปรากฎว่าสามารถทำได้ครับ ไปต่อราคากับเซล (ต่อแบบหน้าด้านๆเลยครับ เอาส่วนลดมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ของแถมเปนเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรเราไม่เอา เอาเปนส่วนลดที่ยอดรวมอย่างเดียว) จนเซลเกลียดหน้า (อันนี้เราคิดเอง) แต่ข้อดีคือได้ส่วนลดมากจนส่วนต่างสามารถเอาไปปลดหนี้ได้หมดพร้อมกัน
ตอนนั้นรู้สึกดีมากครับที่ปลดหนี้ได้หมดและเก็บเงินไปจองคอนโดได้ หลังจากนั้นก้อเลยเหลือแค่ยอดที่ต้องผ่อนคอนโดเก่ากับยอดที่ต้องผ่อนดาวน์คอนโดใหม่ แต่ผมได้ผ่านขั้นตอนที่ยากที่สุดมาแล้วครับ นั้นคือขั้นตอนการเริ่มต้น
จากนั้นก้อพยายามเก็บเงินครับ ความต้องการในตอนนั้นคือเก็บเงินไว้เปนค่าจดจำนอง ค่าโอน และค่าตกแต่งคอนโดเมื่อสร้างเสร็จ และหาช่องทางลงทุนไปด้วยเพื่อเพิ่มเงิน ไม่มีหนี้แล้วเหมือนทุกอย่างจะง่ายแต่ก้อไม่ใช่ง่ายเลยครับ เก็บเงินได้สักแป๊บก้อมีเรื่องให้ต้องใช้อีก บางทีไม่ใช่แค่เรื่องของเราอย่างเดียว ญาติหรือเพื่อนมีปัญหาก้อมาขอยืมเรา (หกปีและยังไม่ใช้กรูเลย) เคยทำหลายวิธีครับ ไปเปิดบัญชีฝากประจำเพื่อเก็บเงิน เก็บไปแค่สามเดือนก้อต้องไปปิดเอาเงินออกมา เคยไปซื้อกองทุนรวมหุ้น สี่เดือนก้อต้องขายคืน ตอนนั้นหุ้นตกอีกตะหาก เสียทั้งเงินต้นทั้งค่าธรรมเนียมขายคืน
สุดท้ายวิธีที่ได้ผลที่สุดก้อคือ กัดฟันรีบเก็บเงินก้อนนึงให้ได้ก่อนเป็นเงินใช้จ่ายฉุกเฉิน เงินก้อนนี้ควรเท่ากับค่าใช้จ่ายปกติของเรา 3-6 เดือน เงินที่เก็บก้อแยกไปอีกบัญชีเลยครับ บัญชีนั้นไม่ต้องทำบัตรเอทีเอ็มจะได้เอาออกมาไม่ได้ง่ายๆ แต่ว่าให้สามารถเบิกมาใช้ได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมหรือเสียผลประโยชน์ดอกเบี้ยอะไร ส่วนตัวผมใช้บัญชีกองทุนสะสมทรัพย์ตราสารหนี้สำหรับเก็บเงินส่วนนี้ครับ ดอกดีกว่าบัญชีออมทรัพย์ปกติ แต่เวลาขายคืนจะได้เงินออกมาในวันทำการต่อไป (T+1)
การใช้จ่ายทั่วไปก้อยังทำเหมือนเดิมทุกอย่างครับ จดบัญชีรายจ่ายและทำ budget สำหรับทุกเดือน เงินเดือนออกก้อโอนยอดที่จะเก็บออกไปก่อนเลย เหลือเท่าไหร่ใช้เท่านั้นและที่สำคัญคือไม่ใช้บัตรเครดิตเด็ดขาด
ทำไปเรื่อยๆ ยอดที่เคยเป็นเงินผ่อนรถและจ่ายยอดบัตรเครดิตก้อกลายเปนยอดเงินเก็บของเราแทน มันค่อยๆพอกพูนขึ้นครับ พอได้เงินเก็บฉุกเฉินตามยอดที่ต้องการ ผมก้อเริ่มคิดเรื่องการลงทุนและการลดหย่อนภาษีอย่างจริงจัง โดยตอนนั้นเริ่มที่การซื้อประกันแบบสะสมทรัพย์ครับ แบบจ่ายเบี้ยเจ็ดปีต่อเนื่องจากนั้นทยอยได้เงินคืนเรื่อยๆ (มาคิดย้อนดูแล้วอยากจะบอกว่าประกันแบบสะสมทรัพย์นั้นให้ผลตอบแทนน้อยมากๆครับเมื่อเทียบกับ RMF และ LTF เพื่อการลงทุนระยะยาวทั้งสองตัวนี้มีผลตอบแทนดีกว่ามากๆครับ แต่สำหรับคนที่ยังไม่เริ่มอะไรเลยซักอย่าง ประกันแบบสะสมทรัพย์มันจะดีตรงที่มีคนมาทวงเบี้ยประกันทุกครั้งที่ครบกำหนดชำระ เปนการบังคับเราไปในตัว) พอเริ่มอยู่ตัวผมก้อเริ่มไปซื้อทั้ง LTF และ RMF
การที่เรามีเงินเก็บฉุกเฉินอยู่ มันจะทำให้เราบริหารเงินในส่วนของการลงทุนได้ดีกว่าครับ เพราะว่าเวลาเราหรือคนอื่นมีอะไรขึ้นมา เราก้อสามารถโคเวอร์รายจ่ายในส่วนนั้นโดยใช้เงินเก็บฉุกเฉิน ไม่ต้องมายุ่งในยอดของส่วนที่เปนเงินลงทุน ทำให้เงินลงทุนเราเปนเงินเย็นอย่างแท้จริง สามารถรับความเสี่ยงได้มากกว่าเลยมีโอกาศในการได้กำไรมากกว่า
ณ จุดนั้นชีวิตผมมีความสุขมากขึ้นเยอะครับ การที่ต้องเครียดว่าจะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี มันดีกว่าการเครียดว่าจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายหนี้บัตรเครดิตตอนสิ้นเดือนเยอะครับ พอมีความสุขมันก้อเริ่มเห็นโอกาศมากขึ้นครับ มันมีผลกับชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงานทั้งหมดครับ
ต่ออีกตอนครับ อยากจะแชร์ว่าการที่เราไม่มีหนี้และมีเงินเก็บเนี่ย มันเปิดโอกาศในการลงทุนให้เราได้เยอะเลย
http://ppantip.com/topic/32601638
มาขอแชร์ประสบการณ์การเก็บเงินและการวางแผนการเงินครับ (ต่อจากตอนที่แล้ว)
อ่านเจอเมื่อวันก่อน มีผลสำรวจออกมาว่าครัวเรือนประเทศไทยมีหนี้สินอยู่กว่า 15 ล้านครัวเรือน เฉลี่ยเปนหนี้ครัวเรือนละเกือบสองแสนบาท และ 70% เปนหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค มี 42% ที่มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
แสดงว่าคนส่วนใหญ่เปนหนี้ ถ้าทำตามคนส่วนใหญ่เราก้อจะเปนหนี้ ถ้าไม่อยากจะมีหนี้ต้องทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำกัน
ต่อจากตอนที่แล้ว http://ppantip.com/topic/32593296 จุดที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงของผมจริงจังและเข้มข้นมากขึ้นคือเรื่องของคอนโด
ตอนนั้นคอนโดที่อยู่เปนคอนโดเก่าซื้อมือสองต่อมาจากเจ้าของเก่าอีกที อายุสิบกว่าปี เปนคอนโดเล็กๆแปดชั้น มีปัญหาเรื่องที่จอดรถที่มีน้อยมาก ต้องจอดซ้อนกันไปซ้อนกันมา จะออกไปทำงานตอนเช้าต้องให้ยามไปตามเจ้าของรถที่จอดปิดอยู่มาขยับ บางวันเลยไปสาย และปัญหาอีกอย่างคือนิติบุคคลไม่ดูแล จ่ายค่าส่วนกลางไปก้อไม่เอาไปทำอะไร โกงเงินกันไปจนมีเรื่องขึ้นศาล คอนโดเลยเก่าและโทรมมากๆ ประกอบกับตอนนั้นมีคอนโดใหม่มาเปิดโครงการใกล้ๆ ที่ทำงาน ตรงนั้นโลเคชั่นดี เข้าไปดูแล้วอยากได้มากๆ
จะซื้อคอนโดก้อต้องมีเงินไปจองและผ่อนดาวน์ ยอดรวมแล้วเยอะซะด้วย ถ้าไม่รีบซื้อตอนช่วงพรีเซลราคากับยอดที่ต้องจองก้อจะเพิ่มขึ้นไปอีก แต่เงินเก็บก้อไม่มี บวกกับมีหนี้บัตรเครดิตอยู่อีกเปนแสน ตอนนั้นเลยเกิดความคิดว่าจะขายคอนโดเก่าที่อยู่ในตอนนั้น แล้วเอาเงินที่ได้ไปจองคอนโดใหม่ แต่เนื่องจากสภาพคอนโดในตอนนั้น ลองขายดูแล้วก้อไม่มีแนวโน้มจะขายได้ราคาดีเลย (บทเรียนคืออสังหาที่มีคนอยู่โดยไม่ได้เปนคนเช่าและเราได้ค่าเช่านั้นจะขายยากมากๆ และอสังหานั้นมีสภาพคล่องต่ำมากๆ ถ้าอยากซื้อขายให้ได้กำไรต้องใช้เงินเย็นและสามารถถือไปจนหาคนที่อยากซื้อในราคาที่ดีได้)
ตอนนั้นอยากได้คอนโดมากและกลัวว่าราคาหลังพรีเซลจะขึ้นไปมาก ลองนั่งทำตาราง excel คิดรายรับ รายจ่ายดูแล้วเจอว่ามันเปนไปได้ครับ ที่จะปลดหนี้ทุกอย่างและเก็บเงินมาจองและผ่อนดาวน์คอนโด แต่ต้อง creative หน่อย ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าเดิมและขยันหารายได้มากกว่าเดิม ต้องทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่อาจไม่เห็นด้วย
ตรงนี้เลยเปนจุดเปลี่ยนสำคัญในการปลดหนี้และเก็บเงินของผม ตอนนั้นผมตัดสินใจขายรถไปครับ ลงประกาศในเวปต่างๆเอา ปลดหนี้รถไป ได้เงินส่วนต่างมาส่วนหนึ่ง และเอาเงินค่างวดรถที่ปกติจ่ายอยู่ไปโปะหนี้บัตรและเปนเงินเก็บ (บทเรียนจากครั้งนี้คือรถมีแต่รายจ่าย ซื้อมาถึงไม่ใช้ราคามันก้อเสื่อมไปตามเวลา จะซื้อจะขายก้อต้องเสียค่าโอนอีก และการแต่งรถคือการทิ้งเงินไป เงินที่เราลงไปในของแต่งทุกอย่างไม่ได้ทำให้ราคาขายต่อเพิ่มขึ้นเลย ซ้ำร้ายบางทีทำให้ราคารถตกหรือทำให้ขายยากขึ้นด้วยซ้ำ เพราะรสนิยมคนเราต่างกัน ชอบซื้อรถบ้านแบบเดิมๆ ไม่เคยดัดแปลงมากกว่า)
เอาสมบัติบ้ามาขายทางอินเตอร์เนท (สมบัติบ้าคือของที่เราซื้อมาด้วยความบ้าชั่ววูบ ส่วนมากจะแพงซะด้วย ของผมตอนนั้นคือ อะไหล่และของแต่งรถ โน้ตบุ้ก ipod ไม้กอล์ฟ palm) ตอนนั้นใช้เวป pantipmarket กะ racingweb.net
ส่วนค่าใช้จ่ายก้อประหยัดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หยุดซื้อของทุกอย่าง ค่าใช้จ่ายเหลือแต่ค่ากิน ค่าเดินทาง และค่าผ่อนคอนโดเก่า ของกินตามร้านอาหารหรูๆ หรือตามห้างก้อตัดเหลือแค่เดือนละครั้ง นอกนั้นกินแต่ข้างทางหรือตามแคนทีน เลิกกินกาแฟตามร้านแต่กินกาแฟออฟฟิศเอา (ฟรี) อาสาไปทำงานภาคสนามเวลาที่มีคนลาเพื่อจะได้เงินเพิ่ม (เวลาไปทำจะได้เงินเพิ่มวันละพันกว่า และมีที่อยู่บวกอาหารให้ฟรี) ค่าน้ำค่าไฟอันไหนประหยัดได้ประหยัดหมด ช่วงนี้ใครชวนไปไหนผมปฎิเสธตลอด บอกไปว่าติดงานไม่ว่างปั๊มเงินอย่างเดียว
เงินพิเศษ เงินโบนัสที่ได้ทุกอย่างเอามาโปะหนี้หมด หยุดซื้อของที่ความจริงแล้วเราไม่ต้องการเพียงเพื่อความรู้สึกว่าเพื่อให้รางวัลแก่ตัวเอง เพราะความจริงแล้วมันคือการเอาอิสระภาพของเราไปแลกกับหนี้มาแค่นั้นเอง
ประสบการณ์ที่ผมเจอในช่วงนี้คือคนจะคิดว่าเราทำอะไรแปลกๆครับ เพื่อนๆผมก้องงว่าทำไมอยู่ๆหายไปไม่ออกมาเจอหน้าเจอตา เพื่อนที่ทำงานก้อมาบอกว่าทำไมไม่ทำอันโน้นทำอันนี้หละ ยิ่งที่บ้านผมยิ่งงงใหญ่โดยเฉพาะตอนที่ขายรถและไม่ค่อยเหนผมใช้เงิน แม่มาถามเลยว่าเปนไรตกงานรึเปล่า แต่บทเรียนสำคัญของผมคือเมื่อมีเป้าหมายชัดเจนแล้วจะทำให้เรามุ่งมั่งขึ้นครับ เวลาลำบากแล้วเรารู้สึกเหนื่อยหรือท้อ แต่ถ้าเรารู้ว่าเรากำลังเดินไปสู่เป้าหมายนั้น เราจะมีกำลังใจทำสิ่งนั้นต่อไปครับ คนอื่นว่าไงอย่าไปแคร์
สมการที่ได้ผลที่สุดคือ รายได้ - เงินออม = รายจ่ายครับ
คือหักเงินออมออกไปก่อนเลยแล้วใช้จ่ายตาม budget ที่เราตั้งไว้ ไม่ใช่ได้มาแล้วใช้เหลือเท่าไหร่ค่อยเก็บ เพราะมันจะไม่เคยเหลือครับ ง่ายๆ แค่นี้แหละแต่ถ้าทำได้จะได้ผลแน่ๆ
สมการข้างบนมันเปนเรื่องง่ายๆที่ใครๆก้อเข้าใจ แต่จะสามารถทำได้รึเปล่าก้ออีกเรื่อง ปัจจุบันสังคมเราเปนสังคมวัตถุนิยมครับ ผู้ประกอบการผลักดันด้านการตลาดจนเกิดสิ่งที่เรียกว่า "รูปลักษณ์ของความสำเร็จ" ขึ้นมา คือทำให้คิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จต้องใช้รถแบบนี้ ซื้อคอนโดแบบนี้ ใช้โทรศัพท์แบบนี้ ซึ่งถ้าคุณประสบความสำเร็จจริงและมีทรัพย์สินมากเพียงพอจริงก้อคงไม่ผิดที่จะซื้อของพวกนี้ใช้
แต่ปัญหาคือคนส่วนใหญ่เลือกที่จะทำให้ตนเองมี "รูปลักษณ์ของความสำเร็จ" ก่อนที่จะประสบความสำเร็จจริงๆ ผลที่ตามมาก้อคือหนี้บานเบอะ คงจะเคยได้ยินคนพูดกันใช่มั้ยครับว่า "คุณมีรายได้ตั้งเท่านี้ทำไมไม่ใช้ของแบบนี้ละ" "เงินเดือนเพิ่มทำไมไม่ซื้อรถใหม่ละ" "ได้โบนัสทำไมไม่เปลี่ยนมือถือละ"
ความหมายของคำพูดเหล่านี้คือรายจ่ายเราควรผันแปรกับรายได้ รายได้มากขึ้นรายจ่ายก้อควรมากขึ้น ซึ่งไม่เป็นความจริงเลยครับ เราสามารถเลือกที่จะออมมากขึ้น หรือเอาเงินไปใช้หนี้มากขึ้นได้ถ้ารายได้มากขึ้น ซึ่งความจริงแล้วมันเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและควรทำมากกว่า
"อย่าให้กลายเปนว่า เราทนทำงานที่เราเกลียด เพื่อซื้อของที่เราไม่จำเป็นต้องใช้ เพียงแค่เอามาอวดคนที่เราไม่รู้จักซะด้วยซ้ำ"
ถ้าเราทำตามคนส่วนใหญ่ เราก้อจะเปนหนี้เหมือนที่คนส่วนใหญ่เป็นครับ
มาที่เรื่องของผมต่อ เก็บเงินเพื่อปลดหนี้และเพื่อจองคอนโดใหม่ได้สี่ห้าเดือน ปรากฎว่าสามารถทำได้ครับ ไปต่อราคากับเซล (ต่อแบบหน้าด้านๆเลยครับ เอาส่วนลดมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ของแถมเปนเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรเราไม่เอา เอาเปนส่วนลดที่ยอดรวมอย่างเดียว) จนเซลเกลียดหน้า (อันนี้เราคิดเอง) แต่ข้อดีคือได้ส่วนลดมากจนส่วนต่างสามารถเอาไปปลดหนี้ได้หมดพร้อมกัน
ตอนนั้นรู้สึกดีมากครับที่ปลดหนี้ได้หมดและเก็บเงินไปจองคอนโดได้ หลังจากนั้นก้อเลยเหลือแค่ยอดที่ต้องผ่อนคอนโดเก่ากับยอดที่ต้องผ่อนดาวน์คอนโดใหม่ แต่ผมได้ผ่านขั้นตอนที่ยากที่สุดมาแล้วครับ นั้นคือขั้นตอนการเริ่มต้น
จากนั้นก้อพยายามเก็บเงินครับ ความต้องการในตอนนั้นคือเก็บเงินไว้เปนค่าจดจำนอง ค่าโอน และค่าตกแต่งคอนโดเมื่อสร้างเสร็จ และหาช่องทางลงทุนไปด้วยเพื่อเพิ่มเงิน ไม่มีหนี้แล้วเหมือนทุกอย่างจะง่ายแต่ก้อไม่ใช่ง่ายเลยครับ เก็บเงินได้สักแป๊บก้อมีเรื่องให้ต้องใช้อีก บางทีไม่ใช่แค่เรื่องของเราอย่างเดียว ญาติหรือเพื่อนมีปัญหาก้อมาขอยืมเรา (หกปีและยังไม่ใช้กรูเลย) เคยทำหลายวิธีครับ ไปเปิดบัญชีฝากประจำเพื่อเก็บเงิน เก็บไปแค่สามเดือนก้อต้องไปปิดเอาเงินออกมา เคยไปซื้อกองทุนรวมหุ้น สี่เดือนก้อต้องขายคืน ตอนนั้นหุ้นตกอีกตะหาก เสียทั้งเงินต้นทั้งค่าธรรมเนียมขายคืน
สุดท้ายวิธีที่ได้ผลที่สุดก้อคือ กัดฟันรีบเก็บเงินก้อนนึงให้ได้ก่อนเป็นเงินใช้จ่ายฉุกเฉิน เงินก้อนนี้ควรเท่ากับค่าใช้จ่ายปกติของเรา 3-6 เดือน เงินที่เก็บก้อแยกไปอีกบัญชีเลยครับ บัญชีนั้นไม่ต้องทำบัตรเอทีเอ็มจะได้เอาออกมาไม่ได้ง่ายๆ แต่ว่าให้สามารถเบิกมาใช้ได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมหรือเสียผลประโยชน์ดอกเบี้ยอะไร ส่วนตัวผมใช้บัญชีกองทุนสะสมทรัพย์ตราสารหนี้สำหรับเก็บเงินส่วนนี้ครับ ดอกดีกว่าบัญชีออมทรัพย์ปกติ แต่เวลาขายคืนจะได้เงินออกมาในวันทำการต่อไป (T+1)
การใช้จ่ายทั่วไปก้อยังทำเหมือนเดิมทุกอย่างครับ จดบัญชีรายจ่ายและทำ budget สำหรับทุกเดือน เงินเดือนออกก้อโอนยอดที่จะเก็บออกไปก่อนเลย เหลือเท่าไหร่ใช้เท่านั้นและที่สำคัญคือไม่ใช้บัตรเครดิตเด็ดขาด
ทำไปเรื่อยๆ ยอดที่เคยเป็นเงินผ่อนรถและจ่ายยอดบัตรเครดิตก้อกลายเปนยอดเงินเก็บของเราแทน มันค่อยๆพอกพูนขึ้นครับ พอได้เงินเก็บฉุกเฉินตามยอดที่ต้องการ ผมก้อเริ่มคิดเรื่องการลงทุนและการลดหย่อนภาษีอย่างจริงจัง โดยตอนนั้นเริ่มที่การซื้อประกันแบบสะสมทรัพย์ครับ แบบจ่ายเบี้ยเจ็ดปีต่อเนื่องจากนั้นทยอยได้เงินคืนเรื่อยๆ (มาคิดย้อนดูแล้วอยากจะบอกว่าประกันแบบสะสมทรัพย์นั้นให้ผลตอบแทนน้อยมากๆครับเมื่อเทียบกับ RMF และ LTF เพื่อการลงทุนระยะยาวทั้งสองตัวนี้มีผลตอบแทนดีกว่ามากๆครับ แต่สำหรับคนที่ยังไม่เริ่มอะไรเลยซักอย่าง ประกันแบบสะสมทรัพย์มันจะดีตรงที่มีคนมาทวงเบี้ยประกันทุกครั้งที่ครบกำหนดชำระ เปนการบังคับเราไปในตัว) พอเริ่มอยู่ตัวผมก้อเริ่มไปซื้อทั้ง LTF และ RMF
การที่เรามีเงินเก็บฉุกเฉินอยู่ มันจะทำให้เราบริหารเงินในส่วนของการลงทุนได้ดีกว่าครับ เพราะว่าเวลาเราหรือคนอื่นมีอะไรขึ้นมา เราก้อสามารถโคเวอร์รายจ่ายในส่วนนั้นโดยใช้เงินเก็บฉุกเฉิน ไม่ต้องมายุ่งในยอดของส่วนที่เปนเงินลงทุน ทำให้เงินลงทุนเราเปนเงินเย็นอย่างแท้จริง สามารถรับความเสี่ยงได้มากกว่าเลยมีโอกาศในการได้กำไรมากกว่า
ณ จุดนั้นชีวิตผมมีความสุขมากขึ้นเยอะครับ การที่ต้องเครียดว่าจะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี มันดีกว่าการเครียดว่าจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายหนี้บัตรเครดิตตอนสิ้นเดือนเยอะครับ พอมีความสุขมันก้อเริ่มเห็นโอกาศมากขึ้นครับ มันมีผลกับชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงานทั้งหมดครับ
ต่ออีกตอนครับ อยากจะแชร์ว่าการที่เราไม่มีหนี้และมีเงินเก็บเนี่ย มันเปิดโอกาศในการลงทุนให้เราได้เยอะเลย http://ppantip.com/topic/32601638