ผมมาทำงานที่ชลบุรีครับ พ่อกับแม่อยู่บ้านร่างกายแข็งแรงดี ผมกลับบ้านทุกเดือน เห็นสุขภาพของแม่ตลอด ไม่เคยป่วยหนักจนต้องเข้านอนพักในโรงพยาบาล มีเจ็บท้องบ้างนานๆ ครั้ง ไปโรงพยาบาลแถวบ้าน หมอก็ให้ยาโรคกระเพราะมากิน ก็หาย แต่เมื่อวันแม่ที่ผ่านมา ผมกลับบ้าน เห็นแม่ไม่สบาย ตัวเหลืองนิดหน่อย ทานข้าวไม่ได้ แต่ไม่มีไข้ ด้วยบริษัทมีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลครอบครัวพนักงาน ผมเลยพาแม่มาหาหมอที่โรงพยาบาลเอกชล ชลบุรี หลังเข้าห้องตรวจพบแพทย์ สอบถามอาการ หมอให้ตรวจเลือด หลังทราบผลเลือด หมอคุยกับผมว่า ผลเลือดแม่น่าจะเป็นมะเร็งตับ ท่อน้ำดี ในระยะลุกลาม หมอให้แอดมิด ให้น้ำเกลือ เพราะต้องเอ็กเซเรย์และอัลตร้าซาวด์ ให้แน่ใจอีกรอบ ผลออกมาว่า มีก้อนเนื้อในตับ 3 ก้อนใหญ่ ตับอ่อนและท่อน้ำดีอุดตัน หมอเจ้าของไข้ เลยเรียกผมไปคุยถึงแนวทางรักษา และหมออยากให้ผลออกมาชัวร์ว่าเป็นมะเร็ง จึงอยากจะฉีดสี เอ็กเซเรย์อีกรอบ และใส่ท่อเข้าไปตัดเนื้อออกมาตรวจ และคุยถึงค่ารักษาพยาบาล ซึ่งถ้าทำก็จะมีค่าใช้จ่ายที่แพงมาก และมันไม่ได้จบเพียงแค่นี้และไม่รู้ว่า รักษาแล้วจะหายหรือเปล่า หมอเลยถามว่า ปกติแล้วแม่มีสิทธิการรักษาพยาบาลที่ไหน ผมแจ้งหมอไปว่า ที่บุรีรัมย์ แต่หมอแนะนำว่า ที่บุรีรัมย์ ทำไม่ได้ ที่ ๆ จะทำได้ มีแค่ 2 ที่ คือ รพ.ชลบุรี และ รพ. ศรีนครินทร์ ขอนแก่น ซึ่งคงต้องให้ รพ.บุรีรัมย์ ทำเรื่องส่งตัวไปรักษาต่อที่ ศรีนครินทร์ ขอนแก่น หรือไม่ก็ให้ ทำเรื่องส่งตัวมารักษาตัวที่ รพ. ชลบุรี ในกรณีนี้ หมอโรงพยาบาลเอกชลว่า ให้ทำเรื่องส่งตัวมารักษาต่อที่ รพ. ชลบุรี ก็จะดีหน่อย เพราะมีลูก ๆ ก็ทำงานกันที่นี้จะได้มีคนมาดูแล หมอก็เก่งหน่อย ดังนั้นจึงได้ทำเรื่องเครียร์ค่าใช้จ่าย และขอฟิล์มขอผลแล็บ ทั้งหมดเลย เพื่อไปรักษาตัวต่อ ก่อนไปก็ทำใจไว้บ้างนิดหน่อย เพราะรู้กิตติศัพท์ โรงพยาบาลรัฐ ไม่ค่อยอยากจะรับคนไข้ ต่อจากโรงพยาบาลเอกชน ไปถึงก็ทำบัตร ซักประวัติ เอาใบส่งตัวต่อให้เจ้าหน้าที่ดู ก็ได้รับแนะนำให้ ศัลยกรรม รอพบหมอ เมื่อได้พบหมอแล้ว หมอเวรก็ขอดูฟิล์ม ดูผลเลือด แล้วก็ถามว่า ตัวเหลืองตาเหลืองเป็นมานานยัง ผมก็บอกหมอไปว่า 1 สัปดาห์ และไม่หิวด้วย หมอถามแค่นี้ ก็บอก เดี๋ยวนัดหมออีกคนหนึ่งให้ และให้กลับบ้าน 1 สัปดาห์เต็ม ที่ผมต้องพาแม่มานอนอยู่บ้าน รอหมอนัด อาการก็ทรุดลงเรื่อย ๆ สงสารแม่มาก แต่ก็ได้แต่นับวันรอ พอถึงวันนัด เอาใบนัดไปยื่น ตั้งแต่ 7 โมง และไปรอหน้าห้องตรวจ 9 โมง นั่งรอตรวจหน้าห้อง จนถึง บ่าย 2 ถึงได้พบหมอ หมอขอดูฟิล์มและผลอัลตร้าซาวน์ และผลเลือด ก็ได้คุยกับผมว่า คงจะเป็นมะเร็ง เรื่องใหญ่มาก รักษายาว หมอที่ รพ. ชลบุรี ทำไม่ได้ ไม่กล้าทำ เพราะต้องผ่าตัด และเป็นการผ่าตัดใหญ่ ต้องไปที่ รพ. จุฬาลงกรณ์ กรุงเทพ ที่เดียวเลย ให้โรงพยาบาลประจำอำเภอ ที่บุรีรัมย์ ทำเรื่องส่งตัวไป และอาจารย์หมอที่จุฬาฯ ก็จะออกตรวจเฉพาะ วันอังคาร แต่ถ้าหากว่า ไปแล้ว อาจารย์หมอที่จุฬาฯ บอกว่า ทำอะไรไม่ได้แล้ว ทำไปก็ไม่มีประโยชน์ จะกลับมารักษาตามอาการที่ รพ.ชลบุรี ก็ได้ เดี๋ยวจะทำให้ ได้ฟังแค่นั้น ผมก็ปลงเลย และพาแม่กลับบ้าน ยาไม่ได้ ไม่มียากิน ก็คิดว่าจะพาแม่ไปจุฬาต่อ แต่พี่สะใภ้ รู้เรื่องก็บอกว่า ไม่ต้องไป ถึงจุฬาฯ หรอก ไปที่ รพ. สมเด็จบรมราชเทวี ณ ศรีราชาก็ได้ ของ สภากาชาดไทยในเครื่อของ โรงพยาบาลจุฬาฯ นั่นแหล่ะ ดีด้วย ดีกว่า รพ. ชลบุรี อีก (อันนี้เห็นด้วยหลังใช้บริการ) ก็เลยได้พาแม่ไปรักษา ที่ รพ. สมเด็จ ฯ หมอ ขอดูผลตรวจต่าง ๆ เลยวินิจฉัย ว่า ต้องผ่าแน่ ๆ แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะผ่าทำอะไรบ้าง ต้องดูตอนผ่าเลย ถ้าหากมะเร็งลามไปเยอะก็จะทำแค่ ตัดท่อน้ำดี ทำบายพาสระบายน้ำดีออกเพื่อให้อาการตัวเหลืองตาเหลืองหาย ถ้ามะเร็งไม่ลามไปเยอะ ก็จะตัดก้อนเนื้อมะเร็งออก เราก็โอเค ผ่า ก็ผ่า ถ้าไม่ผ่า ก็นอนรอวัน ยิ่งจะทรมาน และผลหลังการผ่าตัด อาจารย์หมอแจ้งว่า ทำได้แค่ ตัดท่อน้ำดี ทำบายพาส อย่างอื่นทำไม่ได้ เพราะมะเร็งลามไปเยอะแล้ว ด้วยเพราะแม่เป็นคนแข็งแรง ก็อยู่ได้อีก 3-6 เดือนแน่นอน แต่ถ้าหากดูแลอาหารก็อาจจะนานกว่านั้น หลังการผ่าตัด แม่ผมอาการดีขึ้น อาการตัวเหลือง ตาเหลืองหาย เริ่มทานข้าวได้ ดูดีขึ้น กว่าเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ทำให้ผมได้มีเวลาดูแลและอยู่กับแม่มากขึ้น แม่พักพื้นอยู่บุรีรัมย์ แต่ผมทำงานที่ชลบุรี หยุดเสาร์อาทิตย์ ผมกลับบ้านเลย ระยะทางไม่เป็นอุปสรรค ระยะเวลาไม่กี่เดือนที่เหลืออยู่นี้ ผมจะทำให้ดีที่สุด
สิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดทั้งมวล ก็แค่มีคำถามติดใจนิดหน่อย
1. ทำไม รพ.พยาบาลรัฐ ถึงไม่อยากรับคนไข้รักษาตัวต่อจาก รพ.เอกชน ทีแรกก็ไม่คิดว่าแม่จะเป็นหนักขนาดนี้ มะเร็งตับท่อน้ำดี โรงมะเร็งที่ร้ายกาจมาก ไม่แสดงอาการใด ๆ เลย มาบอกระยะสุดท้ายแล้ว ผมก็ผิด ที่ไม่พาแม่ไปตรวจเช็คสุขภาพทุกปี ถ้ารู้ว่าแม่เป็นมะเร็งตับท่อน้ำดี ก็คงไม่มารักษาตัวที่เอกชนแน่นอน
2. อยากจะบอกว่า 30 บาทรักษาทุกโรค ในอีกด้าน ก็คือมัจจุราช ดี ๆ นี้เอง แม่เล่าให้ฟังว่า ไปหาหมอที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ บ่อยมาก เมื่อมีอาการปวดท้อง และปวดหลัง หมอก็ถามแค่อาการแล้วก็จ่ายยาโรคกระเพาะ ให้ทุกครั้ง บอกเป็นโรคกระเพาะ เลือด,ฉี่ ไม่ตรวจ แม่ผมก็เข้าใจว่าเป็นโรคกระเพาะ เลยไม่บอกลูกให้ทราบ คิดว่ากินยาแล้วก็หาย
และสิ่งที่ผมเสียใจกับโรงพยาบาลชลบุรี คือ ผมมีประกันสังคม กับ รพ.ชลบุรี ตั้งแต่เริ่มทำงาน เงินสมทบที่ส่งเข้าไป ในส่วนรักษาพยาบาล ผมไม่ได้ใช้เลย ถึงจะน้อยนิด แต่ก็อยากให้ รพ.รัฐนำไปใช้ประโยชน์น่าจะเกิดประโยชน์กว่าให้ รพ. เอกชน ถึงแม้ในส่วนนี้มันจะไม่เกี่ยวกัน ผมก็แค่น้อยใจระบายแค่นั้นแหล่ะครับ ไม่ใช่มันจะมาใช้แทนกันได้ เสียสละไปแล้ว แต่ปีหน้า ประกันสังคมผมเปลี่ยนโรงพยาบาลแน่นอน ให้โรงพยาบาล สมเด็จฯ ดีกว่า
สุดท้าย โรงพยาบาล ชลบุรี มีต่างด้าวเข้าไปรักษาตัวเยอะมาก เยอะจนน่าตกใจ โดยเฉพาะกัมพูชา
ทำไมโรงพยาบาลรัฐ ถึง ไม่อยากรับคนไข้รักษาตัวต่อจาก โรงพยาบาลเอกชน
สิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดทั้งมวล ก็แค่มีคำถามติดใจนิดหน่อย
1. ทำไม รพ.พยาบาลรัฐ ถึงไม่อยากรับคนไข้รักษาตัวต่อจาก รพ.เอกชน ทีแรกก็ไม่คิดว่าแม่จะเป็นหนักขนาดนี้ มะเร็งตับท่อน้ำดี โรงมะเร็งที่ร้ายกาจมาก ไม่แสดงอาการใด ๆ เลย มาบอกระยะสุดท้ายแล้ว ผมก็ผิด ที่ไม่พาแม่ไปตรวจเช็คสุขภาพทุกปี ถ้ารู้ว่าแม่เป็นมะเร็งตับท่อน้ำดี ก็คงไม่มารักษาตัวที่เอกชนแน่นอน
2. อยากจะบอกว่า 30 บาทรักษาทุกโรค ในอีกด้าน ก็คือมัจจุราช ดี ๆ นี้เอง แม่เล่าให้ฟังว่า ไปหาหมอที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ บ่อยมาก เมื่อมีอาการปวดท้อง และปวดหลัง หมอก็ถามแค่อาการแล้วก็จ่ายยาโรคกระเพาะ ให้ทุกครั้ง บอกเป็นโรคกระเพาะ เลือด,ฉี่ ไม่ตรวจ แม่ผมก็เข้าใจว่าเป็นโรคกระเพาะ เลยไม่บอกลูกให้ทราบ คิดว่ากินยาแล้วก็หาย
และสิ่งที่ผมเสียใจกับโรงพยาบาลชลบุรี คือ ผมมีประกันสังคม กับ รพ.ชลบุรี ตั้งแต่เริ่มทำงาน เงินสมทบที่ส่งเข้าไป ในส่วนรักษาพยาบาล ผมไม่ได้ใช้เลย ถึงจะน้อยนิด แต่ก็อยากให้ รพ.รัฐนำไปใช้ประโยชน์น่าจะเกิดประโยชน์กว่าให้ รพ. เอกชน ถึงแม้ในส่วนนี้มันจะไม่เกี่ยวกัน ผมก็แค่น้อยใจระบายแค่นั้นแหล่ะครับ ไม่ใช่มันจะมาใช้แทนกันได้ เสียสละไปแล้ว แต่ปีหน้า ประกันสังคมผมเปลี่ยนโรงพยาบาลแน่นอน ให้โรงพยาบาล สมเด็จฯ ดีกว่า
สุดท้าย โรงพยาบาล ชลบุรี มีต่างด้าวเข้าไปรักษาตัวเยอะมาก เยอะจนน่าตกใจ โดยเฉพาะกัมพูชา