แชร์ความในใจ ของคนที่ถูกชวนทำธุรกิจเครือข่าย ที่เคยทำธุรกิจเครือข่าย

จุดประสงค์ของการโพสครั้งนี้ คือต้องการแชร์มุมมองส่วนบุคคลที่มีต่อธุรกิจเครือข่าย
ไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะดิสเครดิต หรืออวยผลประโยชน์ให้แก่ใคร

ตัวละครในบทสนทนาต่อไปนี้เป็นนามสมมติ เพื่อความเป็นส่วนตัวของตัวบุคคล
นายเอ เพื่อนผู้ทำธุรกิจเครือข่าย
นายบี ตัวกระผม
สถานที่เกิดบทสนทนานี้คือใน Chat FB

**หมายเหตุ บทความยาวมาก ไปชงกาแฟก่อน แล้วมานั่งจิบกาแฟอ่านกันนะครับ ^^

เอ : บี

บี : ครับ

เอ : เปลี่ยนใจลองมาฟังธุรกิจเรามั้ย (บีเคยชวนผมมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นปฏิเสธไปอย่างนุ่มนวล)
เด่วเราช่วยกันลุย อยากให้ลองมาลุยดูจิงๆ จัดเวลา สร้างรายได้หลายๆทาง

ผมยิงตรงเลย
บี : งั้นนายตอบเราหน่อย สารสกัดที่ขายอยู่ มีผลช่วยการบำรุงผิวพรรณยังไง
มีอะไรยืนยัน paper work ผลวิจัยที่น่าเชื่อถือ

เอ : ขอเวลาหาก่อนละกันนะ แต่คุณสมบัติของมันมีอยู่

บี : ห้ะ นี่แกทำธุรกิจ โดยที่ไม่รู้จริงๆ เนี่ยนะ

เอ : คือเอาตรงๆนะ เราเป็นประเภทที่เราไม่ได้ค้นคว้าอะไร แต่เราใช้สินค้าเองกับตัว
ถามมาเราตอบไม่ได้หรอก แต่เรื่องใช้เองเราใช้จริง แล้วคนทักเยอะจริง
เพราะงั้นเราถึงไม่ได้สนใจเรื่อง paper อะไรมาก...

ผมคิดในใจ ใช้ครึมใส่สารปรอทก็เห็นผลทันตา คนทักเหมือนกันนะ

เอ : ...แต่เรารู้ว่าสินค้าเราดียังไง ช่วยอะไร เราตอบได้ แต่ถ้าเรื่องวิทยาศาสตร์ขนาดนั้นเราตอบไม่ได้ครับ จากใจ
แต่เราแชร์ได้จากการที่เราใช้เอง โอเคนะ

บี : ไม่โอเค จริงๆนะ

เอ : ไม่โอเคไม่เป็นไร ก็ไม่ต้องทำ เราแค่มาชวนเฉยๆ

บี : คืออย่างงี้ การใช้แล้วเห็นผลน่ะ ไม่เถียง อันนี้โอเค เชื่อนายว่ามันเห็นผล
แต่ถามจริงๆนะว่า แกรู้ได้ไง ว่ามันดีขึ้น เพราะอะไร เพราะสารตัวไหน

เอ : ก็เราไม่ได้ใช้อย่างอื่นเลย อยู่ๆมันจะดีขึ้นได่ไง

บี : งั้นยกตัวอย่างง่ายๆนะ อย่างพวกที่กินกลูต้า แล้วบอกว่าขาวขึ้น
กินไปน่ะขาวจริง แต่ในที่กินน่ะ มันไม่ได้มีแต่กลูต้า
มีวิตามิน มีแร่ธาตุ ซึ่งกินแล้วผิวก็ดีขึ้นเหมือนกัน
แกรู้ได้ไง ว่ามันดีขึ้น เพราะกลูต้า หรือเพราะวิตามิน หรืออย่างอื่นที่มันผสมกันอยู่

เอ : คือเรารู้ว่าดีขึ้นเพราะเราใช้แต่ของเจ้านี้ นั่นแหละข้อสรุป
เราไม่นั่งวิเคราะห์ส่วนประกอบหรอก เราเปนประเภทไม่คิดมาก
เราทำเลย

บี : เราไม่ได้อคตินะ แต่แกทำธุรกิจนะ ถ้าแกบอกแค่ว่า ใช้แล้วดี สนแค่นั้น มันพอสำหรับแก
แต่มันพอสำหรับคนอื่นปะล่ะ

เอ : พอนะ

บี : แกอย่าเอาความคิดตัวเอง ไปสวมให้คนอื่น แกต้องคิดมุมคนอื่นด้วย
แกจะไม่สนน่ะได้ แต่คนที่เค้าสน แกไปบังคับให้เค้าไม่สนไม่ได้

เอ : ส่วนใหญ่ก้อพอนะ แต่เราถึงบอกว่าไม่เปนไรไง
ไม่ต้องทำก็ได้ เราบอกได้ว่าครีมแต่ละตัวดีไง

(เงียบไปพักหนึ่ง เพราะผมงานเข้า)

บี : ขอบใจที่ชวนนะ รู้ว่าหวังดี

เอ : ไม่เปนไร ขอบคุณ
เราแค่บอกเฉยๆ ว่าสไตล์เราเปนแบบนี้แหละ

บี : ไม่ได้ต้องการจะว่า หรือตำหนิอะไรใคร เพราะแต่ละคน
ก็มีวิธีการทำงานของใครของมัน มีวิธีคิดของตัวเองกันทั้งนั้น
และทุกคนก็จะคิดว่าที่ตัวเองทำอยู่ มันดีมันถูกกันทั้งนั้น ถึงได้ทำแบบที่ตัวเองทำอยู่

บอกแกเลยนะ ว่าถ้าแกสามารถอธิบาย และมีหลักฐานรองรับให้น่าเชื่อถือ
ตอบคำถามได้กับ prospect หลายๆแบบ จะเป็นประโยชน์กับแก
เพราะคนสนใจน่ะ มีอยู่แล้ว ถ้าแกให้ข้อมูลที่เค้าอยากรู้ไม่ได้ เค้าไม่ได้มองว่า sol ไม่น่าเชื่อถือคนเดียว
เค้าจะมองว่าแกน่ะ ไม่น่าเชื่อถือไปด้วย
คนที่เชื่อตามแกมันคงมีเพราะเรามีเครดิต
แต่ถ้าคนที่เค้าไม่ได้สนใจเครดิตที่แกมี เค้าก็จะสนใจอย่างอื่น คือข้อมูล

และนายไม่ต้องพยายามตอบคำถามเราหรอก เพราะเราเลือกทำงานที่เรารัก
นายจะรายได้เดือนละล้าน ก็เท่านั้นสำหรับเรา จริงๆนะ

เอ : เราเข้าใจ ไม่ทำก็ไม่เป็นไร ถึงได้บอกไงว่าไม่เป็นไร
เราแค่ชี้แจงเฉยๆ ไม่ได้คาดหวังหรอก

บี : 555+ (ผมขำ จริงๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเวลามาชวนแล้วโดนปฏิเสธ จะตอบว่า ชวนเฉยๆ ไม่คาดหวัง ทุกที)

เอ : ตอนที่ทำธุรกิจเดิม ถามคนชวนแบบนี้ปะ อยากรู้

บี : สามปีก่อน กับตอนนี้ มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ สามปีก่อน บอกเลย คิดไม่ได้อย่างงี้หรอก ถึงได้เข้าไปทำ
ทำไปพอเรียนรู้ พอเข้าใจ ว่าตัวเองต้องการอะไร ถึงออกมาทำตาามทางตัวเองนี่ไง
บอกเลย ตอนนั้น เรายังโง่ แต่คนเรามันก็ต้องโง่ก่อนกันทั้งนั้น
ที่พูดนี่ หมายถึงตัวเราเองนะ

เอ : เยี่ยมๆ ยังง้ที่ทำนี่เป็นคนโง่กันหมดปะเนี่ย
555

บี : แกนี่อ่านยังไง บอกอยู่หยกๆ ว่าเรามองตัวเองว่าเป็นอย่างงั้น
เอาไปเกี่ยวกะคนอื่นได้ยังไง เราไม่รู้หรอกคนอื่นเค้ายังไงนะ
ทำแค่เพราะเห็นว่า รวยง่าย รวยเร็ว แค่นั้น โดยไม่ได้มองเห็นความเป็นจริงรึเปล่า

เราไม่รู้หรอก ว่าแต่ละคนคิดยังไง เรารู้ตัวเราเอง บอกตัวเราเองได้ ว่าเราต้องการอะไร อะไรใช่ไม่ใช่ ก็พอแล้ว
แกเองก็อยู่ในบริษัทใหญ่ ในองค์กรที่มีระบบดี (งานประจำ)
ลองเอาวิธีคิด วิธีวิเคราะห์ธุรกิจในบริษัท ไปวิเคราะห์งานธุรกิจแกสิ จะเป็นประโยชน์กับแกนะ

เอ : ขอบคุนสำหรับคำแนะนำครับ

--------------------------------------------------------------------

นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ที่เกิดเมื่อมีคนมาชวนผมทำธุรกิจเครือข่าย และผมก็ถามต้อน
ผมพยายามถาม แกมอธิบายแนวคิด วิธีคิดของผมไปให้เพื่อน สอดแทรกไปในบทสนทนา แต่เหมือนเพื่อนจะไม่ค่อยเปิดรับ
ตัวผมไม่มีทั้งคติ และอคติ กับธุรกิจเครือข่าย เพราะตัวเองเคยเข้าไปทำแบบจริงจังมาแล้ว

ขอเล่าปูมหลังผมสักนิด เนื้อหาจริงๆ ที่อยากจะแชร์ คือต่อจากนี้ไป
ตัวผมทำงานประจำ เป็นพนักงานบริษัทเอกชนครับ
เมื่อสามปีที่แล้วเคยทำธุรกิจเครือข่ายตัวหนึ่ง

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ส่วนตัวก็ไม่ได้เป็นคนชอบขาย และไม่ชอบชวนคนเลย แล้วทำไมถึงทำ ?

สิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจลองเริ่มทำ มีด้วยกัน 3 เหตุผล ที่มันก็ส่งเสริมกันอยู่ ทั้งที่ผมก็รู้ตัวเองนะ ว่ามันไม่ใช่ผมเลย
1. ไม่แพงมากนักเมื่อเทียบกับธุรกิจตัวอื่น ไม่เจ็บมากในแต่ละเดือน และทำให้เข้าถึงคนได้หลากหลายระดับ
2. สินค้ามีคุณภาพในระดับที่รับได้ และรู้สึกโอเคที่จะเปลี่ยนจากของเดิมที่ใช้อยู่ เป็นของธุรกิจนี้ (ถ้าสินค้าห่วย ทำธุรกิจไปมันก็เจ๊ง)
3. ไม่ต้องชวนคนเยอะ เพราะแนวคิดคือให้เราเปลี่ยนที่ซื้อกิน-ใช้ จากเดิมที่เคยซื้อตามห้าง มาใช้ของในธุรกิจแทน
สามเหตุผลนี้พอเอามารวมกันแล้ว ผมก็เห็นว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าจะมีความเป็นไปได้ที่เราจะทำสำเร็จ

ในวันที่เริ่มทำธุรกิจเครือข่าย ผมคิดแค่ว่า มันง่ายดีนะ เราเข้าใจระบบแล้ว แค่ทำให้คนอื่นเข้าใจเหมือนเรา
มันก็น่าจะหาคนที่เห็นด้วย และมาทำแบบที่เราทำได้ไม่ยาก ไม่ต้องตุนสินค้า เพราะแค่ซื้อใช้เองมันก็ถึงยอดขั้นต่ำแล้ว
การรักษายอดก็เกิดขึ้นได้แบบไม่ต้องพยายาม และไม่ต้องขาย
พอถึงจุดนึง มันจะเริ่มมีรายได้กลับมา และสามารถเติบโตเป็นรายได้หลักได้

พอละ เดี๋ยวจะกลายเป็นโฆษณา -*-

แล้วอะไรที่ทำให้ผมเลิก ?


เหตุผลที่ 1 ความเสี่ยงในธุรกิจเครือข่าย : ความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ เพราะบังคับใครไม่ได้

เมื่อ asset หรือ สินทรัพย์ที่สร้างรายได้เราคือ "คน" ที่ทำต่อจากเรา เท่ากับเราควบคุมความเสี่ยงไม่ได้เลย
เพราะคน มีอารมณ์ มีความรู้สึก และมีความฝัน ความหวัง และมีความผิดหวัง เบื่อ ขี้เกียจ ฯลฯ

คนที่เข้ามาทำธุรกิจเครือข่าย (ผมคิดว่า) กว่า 90% เข้ามาทำ เพราะคิดว่ามัน "ง่าย"
เพราะคนชวน ใช้วิธีชวนแบบ "บอกไม่หมด" บอกไปว่า "แค่ทำแค่นั้น แค่ทำแค่นี้ ก็ได้อย่างงั้นอย่างงี้ละ"
แทบจะร้อยทั้งร้อย ไม่มีการบอกเลย ว่าข้อดีข้อเสียคืออะไร ความลำบากมีมั้ย
ชวนเค้าเข้ามาก่อน แล้วหาทางทำให้เค้าได้เงิน

วิธีการนี้ ผมมองว่ามันเป็นวิธีการสร้างธุรกิจที่ผิด เพราะไม่ได้เป็นการให้ความรู้กับผู้ร่วมงาน หรือ down line
จนมันกลายเป็นการ โฆษณาชวนเชื่อ และถึงขั้นรู้สึกเหมือนถูกหลอกกันมาทำ
และเพราะคนส่วนใหญ่ ชอบวิ่งหางานที่ง่าย งานที่สบาย มากกว่างานที่ดี ที่มั่นคง
ทำให้มีคนมากมาย หลงเข้ามาได้ง่ายๆ และพอค้นพบว่า แม่มยาก ก็เลิกได้ง่ายๆ เหมือนกัน

และคนมีความไม่แน่นอน และหาได้ยากมากที่จะมีใครสักคนคิดทำ "เป็นธุรกิจ จริงๆจังๆ"

เช่นเทียบกับการลงทุนด้วยเงินสักก้อนทำธุรกิจอะไรสักอย่าง
ถ้ามันมี "เงิน" ที่ได้จ่ายไปแล้ว คนเราย่อมมีความเสียดาย และคาดหวังจากการลงทุนนั้นไป
ว่าจะต้องทำให้มันงอกเงย ให้ผลตอบแทนให้สมกับที่ลงทุนไป
เทียบกับธุรกิจเครือข่าย ที่บอกว่าเป็นธุรกิจเหมือนกัน แต่แทบไม่ต้องลงทุน

ทั้งๆที่ 2 อย่างนี้มันคือธุรกิจที่เราคาดหวังผลตอบแทน รายได้ในอนาคตจากมันเหมือนๆกัน

แต่คนทำธุรกิจเครือข่าย ทำราวกับมันไม่ใช่ธุรกิจ ว่างเมื่อไหร่ค่อยทำ
วันนี้เหนื่อยไม่ไป อีกวันขี้เกียจก็หาย เฮ้ยอยากดูหนัง ก็ไม่มา
เพราะมันได้มาง่าย เป็นธุรกิจที่ได้มาแทบจะฟรี

คนที่ทำธุรกิจเครือข่ายสำเร็จ จะไม่ทำเหมือนว่ามันฟรี
เค้าทำเหมือนกับว่ามันคือธุรกิจจริงๆ ซีเรียส จริงจัง แบ่งเวลา และศึกษาค้นคว้า ทุ่มเทให้มันอย่างจริงจังทั้งนั้น
เพราะเค้าจะรู้ว่าอะไรคุ้มค่า


เหตุผลที่ 2 ได้เรียนรู้ว่า คนรวย (ด้วยตัวเอง) ทำงานหนักกว่ายาจกหลายร้อยเท่า

พอผมพยายามทำไปถึงจุดหนึ่ง ในคอร์สการอบรม (ที่เค้าบอกว่า) สำหรับผู้นำ คอร์สหนึ่ง
วิทยากรบอกประโยคเด็ดที่ทำให้ผมค้นพบสัจธรรมข้อหนึ่ง ที่จริงๆแล้ว ควรจะตระหนักได้ตั้งนานแล้ว ว่า

"ในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ระลึกไว้เลยว่าต้องทำงานหนัก"

คำนี้ทำให้ผมเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ในหัวเข้าด้วยกัน
ธุรกิจเครือข่ายไม่ใช่งานง่าย จะทำสำเร็จต้องทำงานหนัก
งานประจำ อยากมีผลงาน อยากเลื่อนขั้น ก็ต้องขยัน ทำงานหนัก
เรียนหนังสือ อยากมีเกรดดีๆ ก็ต้องขยันอ่านหนังสือ ทบทวนทำความเข้าใจเนื้อหา
เล่นกีฬา จะให้เก่ง ก็ต้องขยันฝึกซ้อม อยากเป็นนักกีฬา ก็ต้องซ้อมหนักกว่าคนทั่วไป

คอร์สอบรมในวันนั้น ทำให้ผมได้ค้นพบว่า
ธุรกิจเครือข่าย เป็นเพียงแค่ งานงานหนึ่งเท่านั้น ที่มีโอกาสที่เราจะทำสำเร็จน้อยพอๆ กับงานทุกงานบนโลกนี้
ว่าอย่างเป็นกลาง ไม่ว่าทำงานอะไร ถ้าอยากสำเร็จ ล้วนแล้วแต่ต้องมีความพยายามอย่างยิ่งยวดทั้งสิ้น
อาจจะมากน้อยต่างกันไปสำหรับแต่ละคน ว่าถนัดและเหมาะกับงานแบบไหน

เราสามารถเจอตัวอย่างความสำเร็จได้ในทุกๆ สิ่งรอบตัวเรา
มีแค่บางคนในบริษัทที่เป็นผู้บริหาร ส่วนใหญ่เป็นลูกน้อง
มีแค่บางคนที่มีกิจกาารของตัวเองแล้วรวย ส่วนใหญ่เจ๊ง
มีแค่บางบริษัทที่เปิดขึ้นแล้วรุ่ง ส่วนใหญ่ล้ม
มีแค่บางคนในธุรกิจเครือข่าย ที่เป็นมนุษเงินล้าน ส่วนใหญ่เลิกก่อน

ธุรกิจเครือข่าย ไม่ใช่ทางด่วนสู่ความสำเร็จหรืออะไรเลย
แต่หนทางที่จะพาเราไปสู่ความสำเร็จ อยู่ที่ตัวเราเอง ในตัวเราทุกคน ไม่เกี่ยวกับงานที่เราทำ
ถ้าคนขยันซะอย่าง ทำอะไรก็สำเร็จ ไม่ว่างานประจำ เปิดบริษัท หรือทำธุรกิจเครือข่าย
ถ้าเช่นนั้นแล้ว ผมสู้ออกมาทำงานที่ผมรัก ในแบบฉบับของผมดีกว่า

ทุกวันนี้ ผมมองธุรกิจเครือข่าย คืองานงานหนึ่ง เหมือนๆ กับงานประจำที่คนส่วนใหญ่ทำกัน
เค้าก็กำลังเดินบนทางที่เค้าคิดว่า มันจะพาเค้าไปสู่สิ่งที่เค้าคาดหวัง
แต่ผมคิดว่า มันจะดีกว่านี้ ถ้าคนที่เข้าไปทำ ไม่ปิดหูปิดตาเชื่อตามที่คนอื่นบอกอย่างเดียว
ธุรกิจเครือข่ายไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่เป็นวิธีการทำที่ขาดการไตร่ตรอง ว่าอะไรคือความเหมาะสมในการทำธุรกิจ

**เพิ่มเติม บางท่านอาจจะสงสัยว่าผมตอบเพื่อนแบบอวดดีเกินไปมั้ย ว่าถ้าเพื่อนได้เดือนละล้านผมก็ไม่สน
ไม่เกินไปแน่นอนครับ เพราะเพื่อนมันทำได้ล้าน ไม่ได้มีอะไรมาการันตีว่าผมจะได้เหมือนมัน
เพราะมันขึ้นอยู่กับคนทำเองได้เองล้วนๆ เพราะงั้น ใครจะรวยจะทำอะไร ถ้าผมไม่ได้คิดจะทำมันก็เท่านั้น

ให้ผมไปเป็นเจ้าของบริษัทของบิลเกทส์ ผมก็ไม่เอา เพราะผมไม่สามารถทำได้อย่างบิลเกทส์
เจ๊งเปล่าๆ

สุดท้ายนี้ ผมหวังว่าสิ่งที่ผมพิมพ์มาซะยืดยาวนี้ จะเป็นข้อมูล ทำให้ใครหลายๆ คนได้เข้าใจในอีกมุมมองหนึ่งมากขึ้น
ว่าธุรกิจเครือข่ายมันไม่ได้แย่ไปซะหมด (ถึงแม้ว่าที่แย่ๆ จะมีเยอะ)

*แก้คำผิด
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่