ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตากรุณา ผู้ทรงปราณีเสมอ
ตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์ ข่าวคราวที่สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่โลก จะเป็นข่าวใดไม่ได้ นอกจากข่าวที่เกี่ยวกับ เราะสูลุลลอฮฺ ซล. หรือมุฮัมหมัด บุตรอับดุลลอฮฺ ซึ่งความมหัศจรรย์ของท่าน ไม่ใช่การค้นพบระเบิดปรมาณูหรือระเบิดเคมีใด ๆ และไม่ใช่การสร้างยานอวกาศส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์ แต่ความมหัศจรรย์ที่ไม่อาจลืมเลือนได้เลย คือ อัลลอฮ ซบ. ทรงเลือกนะบีมุฮัมหมัด ซล. ให้เป็นผู้นำสาสน์จากพระองค์
มุฮัมหมัด ซล. คือผู้มีคำพูดสัจจริงที่สุด เมื่อท่านกล่าววาจาใดออกมา คำ ๆ นั้นต้องเป็นสัจธรรม ชัดเจน และเป็นธรรม ตลอดชั่วชีวิตของท่านไม่เคยปรากฏให้เห็นเลยว่า ท่านพูดจาโกหก ไม่ว่าในสถานการณ์ที่จริงจังในสาธารณะ หรือหยอกล้อกันกับเพื่อนฝูงก็ตาม และกระทั้งท่านได้สั่งห้ามซอฮาบะฮฺว่าอย่าพูดหลอกลวงหรือใส่ร้ายป้ายสี ซึ่งปรากฏในการบันทึกฮะดิษโดยบุคอรียฺและมุสลิม
ท่านอับดุลลอฮฺ บิน มัสอูดเล่าว่า ท่านนะบี ซล. กล่าวว่า :
“แท้จริงคำพูดที่สัจจริง จะส่งผลให้ผู้พูดได้รับความดี และแท้จริงความดีนั้นจะนำพาผู้พูดเข้าสวนสวรรค์ ดังนั้นจงพูดความจริงและให้พยายามตลอดเวลา จนกระทั้งเขาถูกบันทึกว่าเป็นหนึ่งในผู้พูดสัจจริง ณ อัลลอฮฺ ซบ....”
ซึ่งเป็นการเพียงพอแล้ว ที่จะนำมาเป็นหลักฐานเพื่อการยอมรับว่า นะบี ซล. เป็นผู้ซื่อสัตย์ และการที่อัลลอฮฺทรงเลือกให้ท่านเป็นผู้นำสาสน์ที่มองไม่เห็นจากพระองค์นั่น ท่านก็ได้ทำการเผยแผ่ยังผู้คนอย่างครบถ้วน ไม่แต่งเติมหรือตกหล่นแม้แต่เพียงพยัญชนะเดียว นี่จึงเป็นความอะมานะฮฺหรือภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่จะรับประกันถึงการซื่อสัตย์
ทุก ๆ คำพูด พฤติกรรม และสภาวการณ์ ล้วนวางรากฐานบนสัจธรรม ไม่ว่าขณะนั้นเป็นช่วงแห่งสันติภาพหรือเกิดสงครามขึ้นก็ตาม ความรักความโกรธ ความจริงจังและการหยอกล้อ กระทั้งการออกคำสั่งและการตัดสินพิพากษาระหว่างผู้คนก็จะเป็นไปอย่างถูกต้องเที่ยงธรรม ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นคนใกล้ชิดหรือคนอื่นไกล เชื้อสายเดียวกันหรือไม่ ศาสนาเดียวกันหรือเปล่า มิตรสหายหรือศัตรู บุรุษหรือสตรี ท่านก็จะยังคงอยู่ในความเที่ยงธรรม แม้แต่การใช้สายตา ท่านก็ไม่ลำเอียงและละเมิด ดั่งฮะดิษที่บันทึกโดยอบู ดาวูดและนาซาอี ซึ่งท่านนบี ซล. กล่าวว่า
“ไม่เป็นการสมควรต่อนะบีคนใดคนหนึ่ง มองด้วยสายตาที่ละเมิด”
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะรับการเชิญชวนจากอัลลอฮฺ เพื่อนำนะบี ซล.มาเป็นแบบอย่างในทุกแง่มุมของชีวิต
“โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย พึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และจงอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่พูดจริง”
(ซูเราะฮฺ อัต-เตาบะฮฺ : 119)
“หากว่าพวกเขาซื่อสัตย์จริงใจต่ออัลลอฮ.แล้ว ก็จะเป็นการดีแก่เขา”
(ซูเราะฮฺ มุฮัมมัด : 21)
นะบี ซล. คือ ผู้ที่ซื่อสัตย์ต่ออัลลอฮฺ ตนเอง ครอบครัว มิตรสหาย แม้กระทั้งศัตรูผู้ทำสงครามกันอยู่ก็ตาม ไม่เพียงแต่ซื่อสัตย์หลังจากได้รับวะหฺยูจากอัลลอฮ หรือก่อนการได้พบมลัยกัตญิบรีลในถ้ำ ฮิรอฮฺ แต่ท่านก็เป็นที่รับรู้กันในสังคมญาฮีลียะห์สมัยนั้นคือผู้ที่รักษาวาจาที่สุด น่าเชื่อถือที่สุด ถึงขั้นที่ว่าหากเปรียบเปรย “ความซื่อสัตย์เป็นผู้ชาย” ก็จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก คือ นะบีมุฮัมหมัด ซล.
บุหรง'
15-9-57
"MUHAMMAD" My Hero ตอน ฮีโร่ผู้ซื่อสัตย์
ตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์ ข่าวคราวที่สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่โลก จะเป็นข่าวใดไม่ได้ นอกจากข่าวที่เกี่ยวกับ เราะสูลุลลอฮฺ ซล. หรือมุฮัมหมัด บุตรอับดุลลอฮฺ ซึ่งความมหัศจรรย์ของท่าน ไม่ใช่การค้นพบระเบิดปรมาณูหรือระเบิดเคมีใด ๆ และไม่ใช่การสร้างยานอวกาศส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์ แต่ความมหัศจรรย์ที่ไม่อาจลืมเลือนได้เลย คือ อัลลอฮ ซบ. ทรงเลือกนะบีมุฮัมหมัด ซล. ให้เป็นผู้นำสาสน์จากพระองค์
มุฮัมหมัด ซล. คือผู้มีคำพูดสัจจริงที่สุด เมื่อท่านกล่าววาจาใดออกมา คำ ๆ นั้นต้องเป็นสัจธรรม ชัดเจน และเป็นธรรม ตลอดชั่วชีวิตของท่านไม่เคยปรากฏให้เห็นเลยว่า ท่านพูดจาโกหก ไม่ว่าในสถานการณ์ที่จริงจังในสาธารณะ หรือหยอกล้อกันกับเพื่อนฝูงก็ตาม และกระทั้งท่านได้สั่งห้ามซอฮาบะฮฺว่าอย่าพูดหลอกลวงหรือใส่ร้ายป้ายสี ซึ่งปรากฏในการบันทึกฮะดิษโดยบุคอรียฺและมุสลิม
ท่านอับดุลลอฮฺ บิน มัสอูดเล่าว่า ท่านนะบี ซล. กล่าวว่า :
“แท้จริงคำพูดที่สัจจริง จะส่งผลให้ผู้พูดได้รับความดี และแท้จริงความดีนั้นจะนำพาผู้พูดเข้าสวนสวรรค์ ดังนั้นจงพูดความจริงและให้พยายามตลอดเวลา จนกระทั้งเขาถูกบันทึกว่าเป็นหนึ่งในผู้พูดสัจจริง ณ อัลลอฮฺ ซบ....”
ซึ่งเป็นการเพียงพอแล้ว ที่จะนำมาเป็นหลักฐานเพื่อการยอมรับว่า นะบี ซล. เป็นผู้ซื่อสัตย์ และการที่อัลลอฮฺทรงเลือกให้ท่านเป็นผู้นำสาสน์ที่มองไม่เห็นจากพระองค์นั่น ท่านก็ได้ทำการเผยแผ่ยังผู้คนอย่างครบถ้วน ไม่แต่งเติมหรือตกหล่นแม้แต่เพียงพยัญชนะเดียว นี่จึงเป็นความอะมานะฮฺหรือภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่จะรับประกันถึงการซื่อสัตย์
ทุก ๆ คำพูด พฤติกรรม และสภาวการณ์ ล้วนวางรากฐานบนสัจธรรม ไม่ว่าขณะนั้นเป็นช่วงแห่งสันติภาพหรือเกิดสงครามขึ้นก็ตาม ความรักความโกรธ ความจริงจังและการหยอกล้อ กระทั้งการออกคำสั่งและการตัดสินพิพากษาระหว่างผู้คนก็จะเป็นไปอย่างถูกต้องเที่ยงธรรม ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นคนใกล้ชิดหรือคนอื่นไกล เชื้อสายเดียวกันหรือไม่ ศาสนาเดียวกันหรือเปล่า มิตรสหายหรือศัตรู บุรุษหรือสตรี ท่านก็จะยังคงอยู่ในความเที่ยงธรรม แม้แต่การใช้สายตา ท่านก็ไม่ลำเอียงและละเมิด ดั่งฮะดิษที่บันทึกโดยอบู ดาวูดและนาซาอี ซึ่งท่านนบี ซล. กล่าวว่า
“ไม่เป็นการสมควรต่อนะบีคนใดคนหนึ่ง มองด้วยสายตาที่ละเมิด”
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะรับการเชิญชวนจากอัลลอฮฺ เพื่อนำนะบี ซล.มาเป็นแบบอย่างในทุกแง่มุมของชีวิต
“โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย พึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และจงอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่พูดจริง”
(ซูเราะฮฺ อัต-เตาบะฮฺ : 119)
“หากว่าพวกเขาซื่อสัตย์จริงใจต่ออัลลอฮ.แล้ว ก็จะเป็นการดีแก่เขา”
(ซูเราะฮฺ มุฮัมมัด : 21)
นะบี ซล. คือ ผู้ที่ซื่อสัตย์ต่ออัลลอฮฺ ตนเอง ครอบครัว มิตรสหาย แม้กระทั้งศัตรูผู้ทำสงครามกันอยู่ก็ตาม ไม่เพียงแต่ซื่อสัตย์หลังจากได้รับวะหฺยูจากอัลลอฮ หรือก่อนการได้พบมลัยกัตญิบรีลในถ้ำ ฮิรอฮฺ แต่ท่านก็เป็นที่รับรู้กันในสังคมญาฮีลียะห์สมัยนั้นคือผู้ที่รักษาวาจาที่สุด น่าเชื่อถือที่สุด ถึงขั้นที่ว่าหากเปรียบเปรย “ความซื่อสัตย์เป็นผู้ชาย” ก็จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก คือ นะบีมุฮัมหมัด ซล.
บุหรง'
15-9-57