คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
เมนูวันนี้ ขอเสนอ "น้ำพริกกะปิ" น้ำพริกที่มีความเป็นมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
จากจดหมายเหตุของ ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ (ฝรั่งเศส: Simon de La Loubère) เจ้าคุ่ะ
และ จากบันทึกของ นิโกลาส์ แชร์แวส พ่อค้าขาวอังกฤษ ในสมัยเดียวกัน
ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ (ฝรั่งเศส: Simon de La Loubère) เป็นราชทูตจากประเทศฝรั่งเศส
ได้เดินทางกลับมาประเทศไทยพร้อมกับ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)
ซึ่งได้เป็นราชทูต ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส ในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
โดยเดินทางมาที่กรุงศรีอยุธยา พร้อมด้วยทหารของฝรั่งเศส จำนวนประมาณ 600 คน
และได้ทำการบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งแสดงวิถีชีวิตของชาวสยามในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เกี่ยวกับอาหาร ลาลูแบร์ได้บันทึกเกี่ยวกับ "กะปิ" ไว้ว่า.......
“พวกเขาชอบบริโภคน้ำจิ้มเหลวชนิดหนึ่งคล้ายกับมัสตาร์ด
ประกอบด้วยกุ้งเคยเน่าเพราะหมักไม่ได้ที่ เรียก กะปิ (Capi)”
และจากจดหมายเหตุของนายนิโกลาส์ แชรแวส พ่อค้าชาวอังกฤษที่มาค้าขายในกรุงศรีอยุธยา
ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ...กล่าวถึงน้ำพริกกะปิ ในทำนองรังเกียจรสและกลิ่นเอาไว้ว่า...
"...แกงทุกชนิดเขาจะใส่กุ้งเน่า คนสยามเรียกว่ากะปิ (Capy)...เป็นกุ้งป่นเปียก มีกลิ่นเหม็นเน่า
น่าคลื่นไส้สำหรับผู้ที่ไม่เคยได้กลิ่น ปรุงรสด้วยด้วยเกลือ, พริกไทย, ขิง, อบเชย, กานพลู, กระเทียม, หอมขาว,
กินกับผักกลิ่นฉุนๆ อีกหลายชนิด”
นั่นคือความรู้สึกของชาวต่างชาติทั้งสอง ที่มีต่อรส และกลิ่นของน้ำจิ้มเหลว ๆ ที่พวกเขากล่าวถึง
แต่หลังจากที่ได้ฝืนใจลิ้มรสน้ำพริกที่ว่านั้น....พวกเขาก็ไม่บ่นเรื่องกลิ่นเหม็นน่ารังเกียจอีกเลย
น้ำพริกกะปิที่เหลือ ทานไม่หมด ยังนำมาดัดแปลงเป็น "ข้าวคลุกกะปิ" แสนอร่อยได้อีกด้วย
นี่แหละค่ะ คือ เสน่ห์ของอาหารไทย
จากจดหมายเหตุของ ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ (ฝรั่งเศส: Simon de La Loubère) เจ้าคุ่ะ
และ จากบันทึกของ นิโกลาส์ แชร์แวส พ่อค้าขาวอังกฤษ ในสมัยเดียวกัน
ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ (ฝรั่งเศส: Simon de La Loubère) เป็นราชทูตจากประเทศฝรั่งเศส
ได้เดินทางกลับมาประเทศไทยพร้อมกับ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)
ซึ่งได้เป็นราชทูต ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส ในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
โดยเดินทางมาที่กรุงศรีอยุธยา พร้อมด้วยทหารของฝรั่งเศส จำนวนประมาณ 600 คน
และได้ทำการบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งแสดงวิถีชีวิตของชาวสยามในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เกี่ยวกับอาหาร ลาลูแบร์ได้บันทึกเกี่ยวกับ "กะปิ" ไว้ว่า.......
“พวกเขาชอบบริโภคน้ำจิ้มเหลวชนิดหนึ่งคล้ายกับมัสตาร์ด
ประกอบด้วยกุ้งเคยเน่าเพราะหมักไม่ได้ที่ เรียก กะปิ (Capi)”
และจากจดหมายเหตุของนายนิโกลาส์ แชรแวส พ่อค้าชาวอังกฤษที่มาค้าขายในกรุงศรีอยุธยา
ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ...กล่าวถึงน้ำพริกกะปิ ในทำนองรังเกียจรสและกลิ่นเอาไว้ว่า...
"...แกงทุกชนิดเขาจะใส่กุ้งเน่า คนสยามเรียกว่ากะปิ (Capy)...เป็นกุ้งป่นเปียก มีกลิ่นเหม็นเน่า
น่าคลื่นไส้สำหรับผู้ที่ไม่เคยได้กลิ่น ปรุงรสด้วยด้วยเกลือ, พริกไทย, ขิง, อบเชย, กานพลู, กระเทียม, หอมขาว,
กินกับผักกลิ่นฉุนๆ อีกหลายชนิด”
นั่นคือความรู้สึกของชาวต่างชาติทั้งสอง ที่มีต่อรส และกลิ่นของน้ำจิ้มเหลว ๆ ที่พวกเขากล่าวถึง
แต่หลังจากที่ได้ฝืนใจลิ้มรสน้ำพริกที่ว่านั้น....พวกเขาก็ไม่บ่นเรื่องกลิ่นเหม็นน่ารังเกียจอีกเลย
น้ำพริกกะปิที่เหลือ ทานไม่หมด ยังนำมาดัดแปลงเป็น "ข้าวคลุกกะปิ" แสนอร่อยได้อีกด้วย
นี่แหละค่ะ คือ เสน่ห์ของอาหารไทย
แสดงความคิดเห็น
**ห้องครัว คนรากหญ้า ("กลุ่มอดีตคนเคยสวยรากหญ้าสร้างชาติรักประชาธิปไตย นอนตะแคงจนตาแข็ง")** เชิญทุกท่านมาชิมเมนูอร่อยๆ
กระทู้นี้ยินดีต้อนรับเพื่อนๆ ที่จะมาแบ่งปันเมนูเด็ดที่มาพร้อมสาระ เรียกว่าได้ "ความรู้ คู่ความอร่อย" และอาจจะมีเพื่อนบางท่านมาให้ข้อมูลเสริม
วันนี้ขอยกตัวอย่างอาหารเด่นประจำครัวรากหญ้า เมนูนี้มีกันทุกครัวเรือนค่ะ นั่นคือ...น้ำพริก...... นั้นเอง
-----------------------------------------------------------------------------
น้ำพริก ทำให้คนเบื่ออาหารกลับมาเจริญอาหารอีกครั้ง น้ำพริกเป็นอาหารที่ทำให้สุขภาพดี เพราะน้ำพริกก็คืออาหารที่มีเครื่องจิ้มมากหมาย
น้ำพริกเป็นอาหารจานหลัก จานอร่อย เป็นอาหารที่ทำได้ง่ายมีเครื่องปรุงอยู่ประจำในครัวเรือน เครื่องเคียงก็หาได้ตามรั้วบ้านของเรา
....น้ำพริกมะม่วง เป็นอาหารถ้วยโปรดของเลขาน้องพิม เพราะหาวัดถุดิบได้ง่าย แทบไม่ต้องซื้ออะไรเลย ที่สำคัญอร่อยสุดๆเมื่อทานกับหน่อไม้ต้มกับยอดชะอม
เลขาน้อง
แก้คำผิดเล็กน้อย..