Project Manager - อยากเป็นไหม? ผมจะเล่าให้ฟัง ตอนที่ 2 - Project Manager vs. Engineer (Specialist) ภาคต่อ

กระทู้เดิมตอนที่ 1 Project Manager - อยากเป็นไหม? ผมจะเล่าให้ฟัง ตอนที่ 1 - Project Manager vs. Engineer (Specialist)
http://ppantip.com/topic/32544208

ตอนที่ 3 มาแล้ววว http://ppantip.com/topic/34163609

สวัสดีกันอีกทีนะครับ จากตอนที่แล้วผมได้เริ่มตอนแรกของการแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับ Project Manager ให้ท่านที่ผ่านเข้ามาได้ได้ลองอ่านกันดู เนื่องจากผมเห็นว่าไอ้เรื่องราวเกี่ยวกับ Project Management เนี่ยมันเริ่มมีคนให้ความสนใจกันมากขึ้น และเริ่มที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับหลายๆ ธุรกิจ หลายๆ อุตสาหกรรม จากแต่เดิมที่เริ่มมาจากวงการก่อสร้างเป็นพื้นฐานหลัก จนปัจจุบันซึ่งดูเหมือนว่าวงการอื่นๆ ได้นำ Project Management Methodology เข้าไปปรับใช้กับธุรกิจและอุตสาหกรรมของตัวเองอย่างหลากหลาย ด้วยความแพร่หลายของการนำวิธีการบริหารโครงการไปใช้งานในวงการต่างๆ ทฤษฎีและหลักการของ Project Management ที่เป็น Hard Contents ซึ่งอิงหลักการและทฤษฎีนั้นหาอ่านได้ไม่ยาก แต่ความตั้งใจของผมคือต้องการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ Project Management แบบ Soft Contents ที่มีรากฐานมาจากประสบการณ์การทำงานจริง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับหลายๆ ท่านที่เป็น PM อยู่หรือบางท่านที่มีความสนใจอยากจะทำงานในสายงานแบบนี้ แต่อยากหาข้อมูลองดูก่อนว่าต้องทำอะไร และต้องเจอะเจออะไรบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็จะพยายามอิงอยู่บนหลักการของการบริหารโครงการที่เป็นทฤษฎีหลักของศาสตร์ด้านนี้อยู่นะครับ ลูกทุ่งมากไปเดี๋ยวมันจะไม่มีหลักยึดน่ะครับ

ตอนที่แล้วผมเริ่มเรื่องราวใน Series นี้ของผมด้วยเรื่องเกี่ยวกับ Project Manager vs. Engineer (Specialist) ที่ผมเริ่มเรื่องด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง PM กับ Engineer ก็ไม่มีอะไรมากเพราะว่าประสบการณ์การทำงานของผมคือเป็น Project Manager ที่มาจากสาย Technology & Engineering ซึงตามปกติของ Project ประเภทนี้ Core Team ที่เป็นแกนหลักของการทำงานก็คือพวก Engineer ทั้งหลาย ดังนั้น รวมทั้งตัวเองก็จบมาทางสายนี้ด้วย จึงคุ้นเคยกับผู้คนเหล่านี้เป็นพิเศษ

พูดกันตามตรง อย่าหาว่าผมนินทา Engineer ด้วยกันเลยนะครับ เวลาเราพูดถึง Engineer หรือวิศวกรเนี่ย คนทั่วไปน่าจะนึกถึงบุคคลที่มีตรรกะ มีความคิด มีเหตุผลสูง วิธีคิดและการตัดสินใจน่าจะอ้างอิงอยู่บนหลักการพื้นฐานและทฤษฎีที่สมเหตุสมผล. จริงๆ มันก็ควรเป็นแบบนั้นใช่ไหมครับ แต่จากที่ชีวิตผมได้พานพบ Engineer ทั้งแบบละอ่อน (Junior) หรือ Engineer ที่เริ่มแก่กล้า (Senior) จนไปถึงระดับขั้นเทพ (Engineering Specialist) ผมพบความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่า สิ่งหนึ่งที่ท่านเหล่านั้นพัฒนาขึ้นตามอายุและตำแหน่งหน้าทีคือ "ภาวะความเป็นศิลปิน" ไอ้ภาวะความเป็นศิลปินเนี่ยมักจะเกิดกับ Engineer ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางเสียเป็นส่วนใหญ่ คือยิ่งมีความรู้ลงลึกไปเท่าไร ภาวะความเป็นศิลปินจะยิ่งพุ่งสูงขึ้น คำพูดที่เราจะได้ยินบ่อยๆ จากคนใน Office มักใช้กับอาการของปรมาจารย์เหล่านี้คือ "อย่าไปอะไรกับเค้ามาก พี่เค้า 'tist" ดังนั้นในฐานะ PM ที่มีโอกาสจะต้องทำงานร่วมกับบรรดาศิลปินในคราบ Engineer เหล่านั้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง ก็ควรจะเตรียมหาวิธีรับมือกับบรรดาเขาเหล่านั้นให้ดี การที่จะให้คนที่ไม่ใช่ลูกน้องเราโดยตรง ทำงานให้เราโดยที่คนเหล่านั้นก็มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันไป ถือว่าเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของ Project Manager เลยนะครับ จากความคิดเห็นส่วนตัวและประสบการณ์ที่ผ่านมาของผม ผมมองว่าทักษะที่มีความจำเป็นอย่างสูงสำหรับงาน PM ก็คือทักษะในการสื่อสารนี่แหละครับ  ทักษะในการสื่อสารไม่ได้หมายถึงการที่เราเป็นคนพูดรู้เรื่องเท่านั้นนะครับ การเลือกใช้คำพูด ท่าทางวิธีการถาม วิธีการค้นหาคำตอบลักษณะภาษาที่ใช้ เป็นสิ่งที่คนเป็น PM จะต้องเรียนรู้และเลือกใช้กับคนแต่ละประเภทให้ถูกต้อง โดยพาะกับบรรดาศิลปินเหล่านี้ เราต้องวิเคราะห์ให้ดีครับ ถ้าเข้าถูกทางถูกใจเค้ารับรองว่าทำงานให้ตายเลยครับ แต่ถ้าประเมินผิดใช้วิธีการผิดก็ลำบากหน่อยครับอาจจะเจอวิธีการประเภทดื้อเงียบ อารยะขัดขืน วางยา แล้วแต่ความแสบของศิลปินแต่ละราย

ที่ผมพูดให้ฟังแบบนี้ไม่ใช่จะบอกว่าผมเห็นด้วยกับการทำตัวเป็นศิลปินในคราบ Engineer สักเท่าไหร่หรอกนะครับ แต่ผมมองในฐานะของ PM ที่จะต้องหาวิธีการใดๆ ที่อยู่ในกรอบ อยู่ในหลักการที่พึงจะกระทำได้ มาช่วยให้งานต่างๆ ที่เรารับผิดชอบประสบความสำเร็จ เพราะหากเรามัวยึดติดและเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางว่าเธอมาทำงานกับฉันเธอต้องทำตามวิธีการของฉัน มันอาจจะ work นะครับถ้าเรามีอำนาจเต็มที่ ถ้าเราเป็น Line Manager ของคนเหล่านั้น แต่ในความสัมพันธ์แบบ PM กับ Project Team วิธีการบังคับควบคุมแบบเบ็ดเสร็จและคิดว่าตัวเองมีอำนาจสั่งการอะไรก็ได้มันไม่ work ในระยะยาวหรอกครับ อย่างไรก็ตามผมก็อยากจะเตือนบรรดาผู้รู้และศิลปินทั้งหลาย รวมทั้งน้องๆ Engineer หลายๆ คนที่มีความคิดอยากจะ Show Power อยากจะเป็นศิลปินในสายงานของตัวเองบ้างเหมือนกันนะครับ ผมว่าไม่ผิดหรอกที่เราจะภูมิใจในความรู้ความสามารถของเรา คนทุกคนมี Ego และความหยิ่งผยองอยู่ในตัวทั้งนั้นแหละครับ จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็แล้วแต่ อยากฝากให้คิดนิดนึงก่อนที่เราจะสร้างกำแพงหรือเงื่อนไขให้คนอื่นสักนิดนึงก่อน ผมเคยเจอหลายๆ คนที่พยายามจะทำตัวเป็นศิลปินในคราบของ Engineer โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ทำ ใครว่าอะไรก็ไม่ดีสักอย่างเพราะมองแต่มุมที่ตัวเองคิดว่ารู้ดีฝ่ายเดียว มุมมองอื่นๆ ไม่สนใจไม่ใส่ใจเลย บางครั้งการทำแบบนี้อาจทำให้คุณถูกมองว่าไม่เคารพความคิด ไม่ให้เกียรติคนอื่นก็เป็นได้นะครับ หลายๆ คนมองแบบนี้มากๆ เข้าก็จะไม่อยากมีใครทำงานด้วย วันนึงถ้ามีคนใหม่ๆ ที่เค้ารู้น้อยกว่าคุณหน่อย แต่เค้าเงื่อนไขน้อยกว่าคุณมากลองคิดดูสิครับว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคุณ Value คุณจะอยู่ตรงไหน เราจะรู้ได้อย่างไรครับว่าเรารู้ดีที่สุดแล้ว รู้ได้อย่างไรครับว่าเราคือคนที่คนอื่นต้องคล้อยตามอยู่ตลอดเวลา การที่เรามั่นใจในตัวเองมากเกินพอดีอาจจะทำให้เราหลงผิดว่าเรารู้ทุกอย่างจนลืมฟังคนอื่น ลืมตักตวงเพิ่มเติมความรู้ใหม่ๆ ให้กับตัวเอง หลายคนอาจจะเถียงผมว่าดูอย่าง Steve Jobs สิ ไม่เคยเห็นหัวใคร มีแนวทางของตัวเอง ไม่ประนีประนอม แล้วก็ประสบความสำเร็จอย่างมากมายด้วยแนวทางนั้น ไม่ผิดหรอกครับถ้าจะคิดแบบนั้น คุณเองก็อาจจะทำได้ แต่ผมฝากให้คิดนิดเดียวว่าโลกนี้มีคนอยู่ราวๆ 7,000 ล้านคน คนที่จะเป็นได้แบบ Jobs คุณว่ามีอยู่สักกี่คนกันครับ ฝากให้ลองคิดดูกันครับ

ทีแรกกะว่าตอนนี้จะเขียนเรื่อง Project Manager vs. Sales ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็น PM vs. Engineer ภาค 2 เสียนี่ อย่าลืมติดตามต่อนะครับ เดี๋ยวจะมานินทาแผนกอื่นให้ฟัง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่