นักวิชาการชี้แนวคิด “อีโบลาไม่มีจริง” มีต้นตอมาจากความเกลียดชัง “ลัทธิล่าอาณานิคม”



      เอเอฟพี - หนึ่งในลักษณะที่แปลกประหลาดกว่าโรคระบาดชนิดอื่นๆ ของ “อีโบลา” ก็คือ การที่มีคนกลุ่มหนึ่งในแอฟริกาตะวันตกปฏิเสธว่า
ไวรัสมรณะชนิดนี้ “ไม่มีอยู่จริง” แม้ว่าครอบครัวและเพื่อนๆ รอบข้างจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม




ไวรัสเพชฌฆาตชนิดนี้ได้แพร่ระบาดไปทั่วภูมิภาค จนทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 1,500 คนนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
กระนั้นการทำหน้าที่ของแพทย์และพยาบาลก็ยังถูกขัดขวาง โดยกลุ่มผู้ประท้วงที่พากันโกรธแค้น เนื่องจากเชื่อว่า
อีโบลาเป็นเพียงสิ่งที่โลกตะวันตกกุขึ้นมา


       นักสังคมและมานุษยวิทยาแถวหน้าคนหนึ่ง ซึ่งลงพื้นที่สำรวจตามหมู่บ้านต่างๆ ที่เกิดการแพร่ระบาดได้ยอมรับว่า
แนวคิด “ปฏิเสธอีโบลา” นั้นอาจซับซ้อนมากกกว่าที่เห็นแรกๆ
      
       เชคห์ อิบรอฮิมา เนียง อาจารย์มหาวิทยาลัยเซเนกัล กล่าวกับเอเอฟพีว่า
“การที่คนไม่เชื่อว่าอีโบลามีจริงนั้นสะท้อนให้เห็นว่า พวกเขากำลังต่อต้านอะไรบางอย่างอยู่”


      
       “พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครปรึกษาหรือถามไถ่ความคิดเห็นพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองกำลังถูกปฏิบัติแบบสมัยพ่อปกครองลูก”
      
       แพทย์และพยาบาล ซึ่งบ่อยครั้งเป็นคนขององค์การระดับโลก ไม่เพียงแต่ต่อสู้กับโรคระบาดชนิดนี้ แต่ยังต้องต่อสู้กับความไม่เชื่อ ที่หยั่งรากฝังลึกในชุมชนต่างๆ ซึ่งบ่อยครั้งถูกครอบงำด้วยข่าวลือหนาหูว่า โลกตะวันตกเป็นผู้คิดค้นไวรัสชนิดนี้ขึ้นมา หรือไม่ก็เป็นเรื่องหลอกลวง
      
       แนวคิดอีโบลาไม่มีอยู่จริงได้จุดประกายให้เกิดความโกลาหลในกรุงมันโรเวีย ประเทศไลบีเรียเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เมื่อวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งควงกระบองบุกโจมตีศูนย์กักกันผู้ติดเชื้อ พลางร้องตะโกนว่า “อีโบลาไม่มีจริง” จนทำให้คนไข้อีโบลา 17 คนในศูนย์วิ่งหนีกระเจิดกระเจิง



       เนียงกล่าวกับเอเอฟพี ในการให้สัมภาษณ์ ณ มหาวิทยาลัยเชคห์ อันตา ดีโอป ของเซเนกัลว่า “เราต้องย้อนถามว่า อะไรทำให้พวกเขาตะโกนออกไปแบบนั้น”
      
       “ประชาชนเชื่อฝังใจว่า ตนเองไม่ได้รับรู้ข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมด หรือไม่เห็นด้วยกับมาตรการป้องกันโรค และขั้นตอนการรักษาที่พวกเขาได้รับ”
      
       เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เนียงได้ไปลงพื้นที่ในเขตเคเนมา และไคลาฮุน ทางภาคตะวันออกของเซียร์ราลีโอน โดยรับหน้าที่เป็นแนวหน้าต่อสู้กับการแพร่ระบาด ซึ่งหนึ่งในภารกิจขององค์การอนามัยโลก (WHO)



   เนียงเชื่อว่า การปิดพรมแดนซึ่งเป็นวิธีที่ “ไร้ประโยชน์” เป็นตัวอย่างหนึ่งของแนวทางผิดๆ ซึ่งเป็นการหลอกให้ประชากรที่ตกอยู่ในความเสียงรู้สึกปลอดภัย
และเป็นทำให้ชาวบ้านสบายใจ  เขากล่าวว่า

“มีสุภาษิตแอฟริกันที่สำคัญมากบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า การดับไฟที่ลามมาถึงเมืองหรือหมู่บ้านต้องดับที่ต้นตอ
การขังตัวเองไว้ในบ้าน และกักตุนน้ำไว้รอดับตอนไฟลามมาถึงบ้านตัวเอง จึงไม่ใช่วิธีที่จะดับไฟได้สำเร็จ”
      
       เขาถามว่า “ตอนกลางคืน มีคนข้ามพรมแดนออกโดยใช้เส้นทางป่าและทางเส้นเล็กๆ ไม่รู้ตั้งเท่าไร เพราะเส้นแบ่งเขตแดนเหล่านี้
เป็นมรดกตกทอดมาจากยุคอาณานิคม เป็นเส้นแบ่งที่กำหนดขึ้นมาเอง”
      
       เนียงกล่าวว่า วิธีการอันเข้มงวดที่คลินิกใช้ต่อสู้กับเชื้ออีโบลาประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย เนื่องจากไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของคนในท้องถิ่น
       เขากล่าวกับเอเอฟพีว่า “พวกเขาเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับโรค โดยไม่ดูบริบทสังคม นี่คือคือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกเขารับมือกับปัญหาอย่างเหมาะสมได้เชื่องช้าไม่ทันกาล  เนียงเชื่อว่า การที่ชาวแอฟริกันลังเลไม่ยอมรับวิธีการรักษาสมัยใหม่นั้นเป็นผลมาจาก “วิสัยทัศน์ในการรักษาที่ลดลง”
      
       ปัญหาจึงไม่ใช้การที่ชาวบ้านไม่เชื่อมั่นในวิธีการรักษา แต่เกิดจากการที่ชาวบ้านเคลือบแคลงสงสัยในวัฒนธรรมของผู้รุกราน
ที่เข้าในประเทศบ้านเกิดของพวกเขา แล้วออกคำสั่งให้พวกทำตาม


http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000100675
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่