สธ.พบผู้มีอาการเข้าเกณฑ์การสอบสวนโรคอีโบลา รายแรกของประเทศ หลังเดินทางมาจากประเทศระบาดและมีไข้สูง
แพทย์กักตัวดูอาการ ก่อนเจาะเลือดส่งตรวจ คาดทราบผลภายในวันนี้ พร้อมย้ำยังติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยอีก 16 รายด้วย…
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 2 ก.ย. 57 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์
ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณสุข นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรคและคณะ แถลงข่าวความก้าวหน้าระบบการเฝ้าระวัง
โรคอีโบลาของประเทศไทย ว่า เมื่อเย็นวานนี้ (1 ก.ย. 57) กระทรวงสาธารณสุข พบผู้มีอาการเข้าเกณฑ์การสอบสวนโรคอีโบลา 1 ราย นับเป็นรายแรกของประเทศ
เป็นผู้เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาด มีอาการไข้ 38.8 องศาเซลเซียล เจ็บคอ มีน้ำมูก ได้รับตัวไว้ดูแลรักษาในห้องแยกโรคของโรงพยาบาลในสังกัด
ให้การดูแลตามมาตรฐานสากล แพทย์ได้เจาะเลือดส่งตรวจหาเชื้ออีโบลาครั้งที่ 1 ส่งเลือดตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และคณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ
คาดว่าจะทราบผลเบื้องต้นภายในวันนี้ และวางแผนเจาะเลือดครั้งที่ 2 ในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อยืนยันซ้ำให้มั่นใจ
ขณะเดียวกัน ได้ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว หรือทีมเอสอาร์อาร์ที (SRRT) จากกรมควบคุมโรค และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
ค้นหาผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้อยู่ในข่ายสอบสวนโรครายนี้ พบว่ามีทั้งหมด 16 ราย ทุกรายอาการปกติ เพื่อนำผู้สัมผัสทั้งหมดเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังติดตาม
อาการในโรงพยาบาล 21 วันตามมาตรฐานที่วางไว้ เพื่อจำกัดวงการแพร่ระบาดให้ได้มากที่สุด และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ชุมชน สำหรับการรักษา
ได้ให้การดูแลรักษาตามอาการเหมือนโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคติดเชื้อทั่วไปตามมาตรฐานสากล เช้าวันนี้ (2 ก.ย. 57) อาการผู้ป่วยดีขึ้น ตรวจวัดสัญญาณชีพ
และวัดไข้ทุก 4 ชั่วโมง โดยเจ้าหน้าที่ที่ดูแลผู้ป่วยทุกคนใส่ชุดป้องกันการติดเชื้อ และเครื่องมือแพทย์ที่ใช้กับผู้ป่วย ได้ทำความสะอาดฆ่าเชื้ออย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ หากผลตรวจทางห้องปฏิบัติการให้ผลลบทั้ง 2 ครั้ง ก็จะนำผลเข้าสู่การพิจารณาของทีมผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการที่มี ศ.เกียรติคุณ นายแพทย์ประเสริฐ
ทองเจริญ เป็นประธาน เพื่อวินิจฉัยและตัดออกจากระบบการเฝ้าระวังสอบสวนโรค ส่วนผู้สัมผัสทั้งหมดก็จะยุติการติดตาม
ทั้งนี้ การพบผู้เดินทางจากเขตติดโรค เข้าข่ายสอบสวนโรครายแรกนี้ ถือว่าเป็นประสิทธิภาพและความไว ของระบบเฝ้าระวังป้องกันโรคของประเทศไทย
ที่มีมาตรฐานสากล และมีเครือข่ายการทำงานที่เข้มแข็ง ที่ดำเนินการทั้ง 3 ระบบ คือการเฝ้าระวังคัดกรองผู้เดินทางเข้า-ออกประเทศ การเฝ้าระวังใน
โรงพยาบาลรัฐ เอกชน คลินิก และความร่วมมือจากประชาชนและชุมชนทุกแห่ง ที่ไม่ตระหนกแต่ตระหนักถึงความร่วมมือกับทางราชการ มั่นใจว่า
จะสามารถป้องกันไม่ให้โรคอีโบลาแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในประเทศได้ โดยผลการคัดกรองที่ด่านฯ วานนี้ตรวจ 43 คน ไม่พบรายใดมีไข้ ทุกคนปกติ
อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชน อย่าตระหนก และใช้ชีวิตตามปกติ และติดตามข่าวความคืบหน้าเรื่องผู้ป่วยและโรคอีโบลาจากกระทรวงสาธารณสุข
ขอให้หมั่นล้างมือหลังสัมผัสสิ่งของ หรือออกจากห้องน้ำห้องส้วม ยืนยันโรคนี้ติดต่อกันยาก การติดต่อจะเกิดขึ้นต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้สูงและอาการอื่นๆ
โดยเชื้อจะอยู่ในเลือด หรือสารคัดหลั่งที่ออกมาจากผู้ป่วย รวมทั้งอาเจียนของผู้ป่วย การสัมผัสอย่างผิวเผิน เช่น บ้านใกล้กัน เดินสวนกัน กินข้าวร้านเดียวกัน
หรือร่วมโต๊ะเดียวกัน จะไม่ติดโรค
ทั้งนี้ การพบผู้เดินทางจากเขตติดโรคเข้าเกณฑ์สอบสวน เป็นการสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการสอบสวนและควบคุมโรค ซึ่งทีมงานสาธารณสุขจังหวัด
สามารถดำเนินการได้ดี หากประชาชนมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่ สายด่วน กรมควบคุมโรค 1422 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง.
http://www.thairath.co.th/content/447410
พบผู้เข้าเกณฑ์ป่วยอีโบลารายแรกของไทย เหตุไข้สูงหลังกลับจากประเทศระบาด
สธ.พบผู้มีอาการเข้าเกณฑ์การสอบสวนโรคอีโบลา รายแรกของประเทศ หลังเดินทางมาจากประเทศระบาดและมีไข้สูง
แพทย์กักตัวดูอาการ ก่อนเจาะเลือดส่งตรวจ คาดทราบผลภายในวันนี้ พร้อมย้ำยังติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยอีก 16 รายด้วย…
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 2 ก.ย. 57 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์
ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณสุข นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรคและคณะ แถลงข่าวความก้าวหน้าระบบการเฝ้าระวัง
โรคอีโบลาของประเทศไทย ว่า เมื่อเย็นวานนี้ (1 ก.ย. 57) กระทรวงสาธารณสุข พบผู้มีอาการเข้าเกณฑ์การสอบสวนโรคอีโบลา 1 ราย นับเป็นรายแรกของประเทศ
เป็นผู้เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาด มีอาการไข้ 38.8 องศาเซลเซียล เจ็บคอ มีน้ำมูก ได้รับตัวไว้ดูแลรักษาในห้องแยกโรคของโรงพยาบาลในสังกัด
ให้การดูแลตามมาตรฐานสากล แพทย์ได้เจาะเลือดส่งตรวจหาเชื้ออีโบลาครั้งที่ 1 ส่งเลือดตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และคณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ
คาดว่าจะทราบผลเบื้องต้นภายในวันนี้ และวางแผนเจาะเลือดครั้งที่ 2 ในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อยืนยันซ้ำให้มั่นใจ
ขณะเดียวกัน ได้ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว หรือทีมเอสอาร์อาร์ที (SRRT) จากกรมควบคุมโรค และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
ค้นหาผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้อยู่ในข่ายสอบสวนโรครายนี้ พบว่ามีทั้งหมด 16 ราย ทุกรายอาการปกติ เพื่อนำผู้สัมผัสทั้งหมดเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังติดตาม
อาการในโรงพยาบาล 21 วันตามมาตรฐานที่วางไว้ เพื่อจำกัดวงการแพร่ระบาดให้ได้มากที่สุด และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ชุมชน สำหรับการรักษา
ได้ให้การดูแลรักษาตามอาการเหมือนโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคติดเชื้อทั่วไปตามมาตรฐานสากล เช้าวันนี้ (2 ก.ย. 57) อาการผู้ป่วยดีขึ้น ตรวจวัดสัญญาณชีพ
และวัดไข้ทุก 4 ชั่วโมง โดยเจ้าหน้าที่ที่ดูแลผู้ป่วยทุกคนใส่ชุดป้องกันการติดเชื้อ และเครื่องมือแพทย์ที่ใช้กับผู้ป่วย ได้ทำความสะอาดฆ่าเชื้ออย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ หากผลตรวจทางห้องปฏิบัติการให้ผลลบทั้ง 2 ครั้ง ก็จะนำผลเข้าสู่การพิจารณาของทีมผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการที่มี ศ.เกียรติคุณ นายแพทย์ประเสริฐ
ทองเจริญ เป็นประธาน เพื่อวินิจฉัยและตัดออกจากระบบการเฝ้าระวังสอบสวนโรค ส่วนผู้สัมผัสทั้งหมดก็จะยุติการติดตาม
ทั้งนี้ การพบผู้เดินทางจากเขตติดโรค เข้าข่ายสอบสวนโรครายแรกนี้ ถือว่าเป็นประสิทธิภาพและความไว ของระบบเฝ้าระวังป้องกันโรคของประเทศไทย
ที่มีมาตรฐานสากล และมีเครือข่ายการทำงานที่เข้มแข็ง ที่ดำเนินการทั้ง 3 ระบบ คือการเฝ้าระวังคัดกรองผู้เดินทางเข้า-ออกประเทศ การเฝ้าระวังใน
โรงพยาบาลรัฐ เอกชน คลินิก และความร่วมมือจากประชาชนและชุมชนทุกแห่ง ที่ไม่ตระหนกแต่ตระหนักถึงความร่วมมือกับทางราชการ มั่นใจว่า
จะสามารถป้องกันไม่ให้โรคอีโบลาแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในประเทศได้ โดยผลการคัดกรองที่ด่านฯ วานนี้ตรวจ 43 คน ไม่พบรายใดมีไข้ ทุกคนปกติ
อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชน อย่าตระหนก และใช้ชีวิตตามปกติ และติดตามข่าวความคืบหน้าเรื่องผู้ป่วยและโรคอีโบลาจากกระทรวงสาธารณสุข
ขอให้หมั่นล้างมือหลังสัมผัสสิ่งของ หรือออกจากห้องน้ำห้องส้วม ยืนยันโรคนี้ติดต่อกันยาก การติดต่อจะเกิดขึ้นต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้สูงและอาการอื่นๆ
โดยเชื้อจะอยู่ในเลือด หรือสารคัดหลั่งที่ออกมาจากผู้ป่วย รวมทั้งอาเจียนของผู้ป่วย การสัมผัสอย่างผิวเผิน เช่น บ้านใกล้กัน เดินสวนกัน กินข้าวร้านเดียวกัน
หรือร่วมโต๊ะเดียวกัน จะไม่ติดโรค
ทั้งนี้ การพบผู้เดินทางจากเขตติดโรคเข้าเกณฑ์สอบสวน เป็นการสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการสอบสวนและควบคุมโรค ซึ่งทีมงานสาธารณสุขจังหวัด
สามารถดำเนินการได้ดี หากประชาชนมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่ สายด่วน กรมควบคุมโรค 1422 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง.
http://www.thairath.co.th/content/447410