สวัสดีครับ
วันนี้ผมมีเรื่องเล่าลึกลับ 4 เรื่องมาฝากครับ
โดยเรื่องแรกมาจากประสบการณ์ผมเอง
เรื่องที่สองคุณพ่อเล่าให้ฟังตอนเด็กๆ
เรื่องที่สามประสบกับครอบครัวผมเอง โดยตอนนั้นผมยังเด็กมากตอนนั้น แต่คุณแม่เพิ่งมาเล่าให้ฟังตอนผมโตแล้ว
เรื่องที่ 3 ฟังมาจากหลายคนมากและหลายคนก็เล่าในทำนองเดียวกัน
คือผมมีประสบการณ์ที่หาคำตอบไม่ได้ตอนที่ผมไปเรียนภาษาอยู่ที่ประเทศแคนาดาเมื่อปี 2011 ผมไปอยู่นั่นก็ไปอยู่บ้านเช่าอยู่กัน 6 ตัวบ้านมี 2 ชั้นคือชั้น 1 แล้วก็ชั้น 2 แล้วก็จะมีชั้นใต้ดินอีกชั้นนึง โดยห้องของผมอยู่ชั้นบนสุด ส่วนห้องของพี่ผู้หญิงชื่อพี่ฟ้าอยู่ชั้นล่างโดยห้องของพี่เขาอยู่ติดกับห้องครัว ซึ่งเวลาจะลงไปชั้นใต้ดินจะต้องเดินผ่านครัวก่อนครับ พวกเราในบ้านก็เรียนภาษาอยุ่ที่โรงเรียนเดียวกัน โดยทุกๆเช้าปกติจะออกจากบ้านพร้อมกันโดยพี่ฟ้าจะตื่นก่อนทุกคนเลย พอผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็จะลงมากินข้าวที่ห้องครัว ถ้าวันไหนลงมาแล้วไม่เจอพี่ฟ้าในครัว แสดงว่าพี่ฟ้าไม่ไปเรียน คือยังนอนอยู่ในห้องครับ ทีนี้วันเกิดเหตุก็เช่นเคย ผมอาบน้ำเสร็จก็ลงมาชั้นล่าง เดินเข้าห้องครัวไม่เห็นพี่ฟ้า ก็เลยมาเคาะห้องถามพี่ฟ้า
ก๊อกๆๆ... พี่ฟ้าครับ พี่ฟ้าไม่ไปเรียนหรอครับ?..........
ก๊อกๆๆๆ... พี่ฟ้าตื่นยังครับ? ไม่ไปโรงเรียนหรอ.....
สักพักพี่ฟ้าก็ตอบกลับมาว่า "อื้อ" คือประมาณว่า เออ ไม่ไป กำลังงัวเงียนอนอยู่
ผมก็โอเคไม่ไปก็ไม่ไป ผมก็เดินเข้าไปในครัวไปจัดการทำอาหารเช้าเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียน ผมก็ทำนู่นทำนี่ไปสักพักสิ่งที่ทำให้ผมงงงวยก็เกิดขึ้น..
..
..
...
พี่ฟ้าเดินขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน อย่างที่ผมบอก ถ้าจะลงไปชั้นใต้ดินจะต้องผ่านครัว ซึ่งพี่ฟ้าเดินขึ้นมาจากข้างล่างพอเจอผมก็ทักทาย เอ้าน้องอรุณสวัสดิ์จ๊ะ ผมก็งง ถามพี่ฟ้าลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ? พี่ฟ้าบอกว่าพี่อยู่ข้างล่างตั้งนานแล้ว พี่ลงไปใช้ห้องน้ำข้างล่าง (ชั้น 1 ไม่มีห้องน้ำ จะมีชั้นใต้ดินกับชั้น 2) ลงไปได้เป็นจะครึ่งชมแล้ว ผมก็เริ่มงงมากขึ้น บอกพี่ฟ้า ผมเพิ่งลงมาได้ไม่ถึง 10 นาทีเลย เมื่อกี๊ผมลงมาไม่เจอคิดว่าพี่ไม่ไปโรงเรียน ผมเคาะห้องถามพี่ว่าไม่ไปหรอ แล้วก็มีเสียงตอบกลับมาว่า "อื้อ" ซึ่งผมยืนยีนได้เลยว่าผมไม่ได้หูฝาด เพราะเสียงชัดและดูเป็นธรรมชาติเหมือนเสียงคนมาก คือพอผมได้ยินคำว่า "อื้อ" ปุ๊บ ผมก็ทราบได้อย่างไม่ต้องสงสัยว่า พี่ฟ้าเป็นคนตอบ แต่พอมาเห็นว่าพี่ฟ้าไม่ได้อยู่ในห้องแต่แรก ผมก็งงใหญ่เลยว่า แล้วเมื่อกี๊เสียงใคร?
พวกเราในบ้านก็พูดกันถึงเรื่องนี้ โดยผมยืนยีนว่าผมไม่ได้หูฝาดแล้วก็ไม่ได้ได้ยินไปเอง พี่ฟ้าบอกว่าพี่เชื่อผม เพราะพี่เขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเขาเนี่ยเหมือนบางทีไม่ได้อยู่คนเดียว เหมือนกับว่าบางทีมีอะไรบางอย่างอยู่กับพี่เขา พี่เขารู้สึกอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนทีเขาจะมาแคนาดาอีก พอมาฟังผมเล่าเรื่องนี้เขาก็ยิ่งเชื่อว่ามีอะไรบางอย่างอยู่กับเขาจริงๆ
-------------------------------------------------------------
เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องที่คุณพ่อผมเล่าให้ฟังตอนผมเด็กๆ ตอนนั้นที่บ้านไฟดับ นั่งจุดเทียนกินข้าวกันที่บ้าน คุณพ่อก็เลยเล่าเรื่องผีให้ฟัง โดยผมก็ตื่นเต้นนั่งฟังอยู๋ใจจดใจจ่อ
เรื่องมีอยู่ว่า มีวิศวกรคนนึงทำงานอยู่ที่บริษัทแล้วเผอิญวันนั้นเขาต้องเลิกดึก ก็รอภรรยาเขาขับรถมารับ เขาก็นั่งรออยู่ด้านบนในอาคาร โดยเขาอยู่ในห้องชั้น 2 นอกห้องจะเป็นคล้ายๆชั้นลอย มองเห็นบันไดลงไปชั้นล่างซึ่งติดกับประตูเข้าบริษัท ผมก็นั่งทำงานทำอะไรไปเรื่อยรอภรรยามารับ ตอนนั้นก็ประมาณ 2 ทุ่มแล้ว ภรรยาเขาก็ไม่มาสักที พอเขาเริ่มเคลิ้มๆจะหลับก็ได้ยินเสียงแว่วๆเหมือนคนมาเคาะประตู ผมก็เลยตื่นแล้วก็เดินไปเปิดประตู.. ปรากฏว่าไม่มีใคร ผมก็คิดว่าตัวเองหูแว่วไปเอง ก็กลับเข้าห้องไปรอภรรยา รอไปได้อีกสักพักก็เริ่มเคลิ้มๆจะหลับอีกก้ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูอีก เขาก็เดินไปเปิดอีกรอบ ก็ปรากฏว่าไม่มีใครอีกเหมือนเดิม เขาก็เริ่มระแวงๆแล้วเขาก็คิดว่าภรรยามารึเปล่า ก็ชะโงกลงไปดูตรงบันไดกับประตูทางเข้าก็ไม่มีใคร มีแต่มืดๆว่างเปล่า เขาเริ่มขนลุกแล้ว คิดว่าโดนผีหลอกแน่ เขาก็เลยกลับเข้าไปในห้องตอนนั้นก็ประมาณ 4 ทุ่มแล้ว โทรหาภรรยาก็ไม่ติด ส่วนภรรยาก็ไม่มาสักที รอไปได้ถึงตอนเกือบๆเที่ยงคืนก็ได้ยินเสียงมาเคาะประตูอีก แต่คราวนี้เขาไม่ออกไป เพราะเขากลัว แต่เสียงนั่นก็ยังเคาะอยู่ จนเขาได้ยินเสียงภรรยาเรียกชื่อเขาว่า มาแล้ว เปิดประตูหน่อย เขาก็เลยเดินไปเปิดประตู ปรากฏว่าเป็นภรรยาเขา ทั้งคู่ก็เลยกลับบ้านกัน โดยทิ้งความสงสัยไว้ให้กับเขาว่า แล้วเสียงเคาะประตู 2 ครั้งก่อนหน้านี้มันคืออะไร
-------------------------
เรื่องที่ 3
เกิดกับครอบครัวผมเอง โดยคุณแม่เล่าให้ฟังว่า สมัยเด็กๆครอบครัวผมชอบขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน แล้วก็ค้างที่โรงแรม โดยวันนั้นเป็นทริปไปอุบล แล้วก็แวะพักที่สุรินทร์ ซึ่งตอนนั้นก็ค่ำแล้วพวกคุณพ่อกับคุณแม่ก็หาโรงแรม ตอนนั้นผมพอจำความได้บ้าง ยังจำภาพบางภาพได้เช่น ถนนมืดๆ ป้ายบอกทางว่าอีกกี่กิโลไปถึงอุบล ยังจำภาพร้านอาหารได้ลางๆ ภาพโรงแรมได้บ้าง พอเลือกโรงแรมได้ก็เข้าไปเช็คอินแล้วก็พากันออกมาหาข้าวกิน ทีนี้ชั้นล่างของโรมแรมมันจะเป็นคล้ายๆบาร์ พอพวกเรากินข้าวเสร็จก็กลับโรงแรม โดยคุณพ่อกับคุณแม่พาผมขึ้นไปส่งที่ห้องนอน กล่อมผมจนหลับ พวกท่านสองคนก็ลงไปที่บาร์ข้างล่าง สั่งเบียร์มาดื่มกันสัก 1 ชม ก็กลับขึ้นไปนอน ทุกอย่างก็ปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทีนี้มาถึงตอนที่เกิดเรื่องขึ้นคืนตอนเช้า ตามที่คุณแม่เล่าให้ฟังนะครับ ทันทีที่เปิดประตูห้องออกมาตอนเช้าๆประมาณ 7โมง 8 โมง เพราะคุณพ่ออยากออกแต่เช้า จะได้ถึงอุบลได้เร็วๆ ทันทีที่เปิดประตูห้อง ความรู้สึกก็เปลี่ยนก็ ทางเดินของโรงแรม ผนัง ทุกอย่างมันดูเหมือนกับว่าโรงแรมนี้ยังสร้างไม่เสร็จ กำลังอยู่ในช่วงระหว่างปรับปรุง เดินไปที่ลิฟท์ก็ปรากฏว่าปิดปรับปรุง ก็เดินลงมาชั้นล่างที่ล็อบบี้ ก็ไม่ได้มีพนักงานต้อนรับ คือโรงแรมนี้ยังไม่ได้เปิดให้ใช้บริการเลย แล้วเมื่อคืนที่พวกเรามาเช็คอินกันมีพนักงานอยู่ที่เค้าเตอร์ ได้กุญแจไปชั้นบน การตกแต่ง ทุกอย่างดูเหมือนปกติ มีดวงไฟตกแต่งแบบโรงแรมทั่วไป คุณแม่ไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์เมื่อคืนกับเหตุการณ์ตอนเช้านี้มันยังไงกันแน่ สร้างความงุนงงให้กับคุณพ่อกับคุณแม่ผมมาจนถึงทุกวันนี้
------------------
เรื่องสุดท้ายแล้วครับ เรื่องที่ 4
เป็นเรื่องเล่าที่วัดที่ผมได้ไปบวชเรียนภาคฤดูร้อนครับ โดยคนที่เล่าให้ผมฟังนั้นเป็นคนที่เคยไปบวชมาแล้วก็มาเล่าให้ฟัง ได้ยินมาอีกทีบ้าง ได้ยินจากคนที่เข้าวัดประจำบ้างอะไรบ้าง ซึ่งผมก็คิดว่าเรื่องมันอาจจะมีการปรุงแต่งกันมาพอสมควร แต่หัวใจหลักของเรื่องก็ยังคงความน่ากลัวอยู่ครับ
วัดนี้ที่ผมไปบวช ขอไม่เอ่ยชื่อวัดนะครับ มีความเคร่งครัวกับพระและสามเณรที่บวชมาก ตลอดระยะเวลาที่บวชพวกเราฝึกตัวกันทุกวัน ตื่นแต่เช้า ทำวัตร นั่งสมาธิ ฟังธรรมะ ช่วยงานวัด ไปทัศนศึกษาที่วัดอื่นๆ ไม่ได้มีแบบ เช้าเอน เพลนอน บ่ายพักผ่อน ค่ำจำวัตร ดึกสงัดงัดลังมาม่า แบบนี้ไม่มีครับ เรียกได้ว่า ฝึกตนเป็นพระแท้กันเลยทีเดียว ฉันก็ฉันแต่พอกิน กินเพื่ออยู่ไม่ได้อยู่เพื่อกิน เวลาวัดมีงานบุญก็ไปช่วยกันจัดสถานที่ ซึ่ง 2 เดือนครึ่ง น้ำหนักผมลดมาเกือบๆ 10 กิโล สุขภาพก็ไม่ได้แย่ลงเลย แถมยังรู้สึกดีกว่าเดิมด้วย เพราะเราทำแต่ความดี
ก็เพราะการฝึกฝนที่เข้มงวดแบบนี้แหละครับ มันก็เลยมีเรื่องนี้ที่ผมกำลังจะเล่าขึ้น สมัยก่อนนานมาแล้วมีคุณป้าคนหนึ่งเดินข้ามถนนที่หน้าวัด แล้วเกิดถูกรถชนเสียชีวิต แต่บุญแกก็ไม่มากพอที่จะทำให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี บาปก็ไม่ได้มากพอที่จะทำให้ตกนรก ก็เลยเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนอยู่แถวๆนั้น หลวงพ่อเจ้าอาวาสที่วัดก็นั่งสมาธิแล้วก็ได้ไปเห็นป้าคนนี้ ก็เลยมอบหมายหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้โดยการให้คุมความประพฤติของพระและเณรที่มาบวช ซึ่งวิธีการตักเตือนนั้นก็เรียกได้ว่า แซบแสบทรวงมาก เช่นถ้าใครทำผิดแอบกักตุนอาหาร หรือแอบนอนอยู่ในกรด หรือทำผิดวิวัยของพระ หรือของวัด ก็จะมีสิทธิ์โดนเตือนโดยผีคุณป้าคนนี้ วิธีการมาเตือนก็เช่น นอนๆอยู่ในกรดก็ถูกลากออกมานอกกรดบ้าง ตื่นมากลางดึกพบว่าตัวเองนอนอยู่นอกกรด บางทีกำลังจะเข้าตอนพอนั่งลงจะเปิดมุ้งกรดขึ้นมาก็เห็นเหมือนมีคนมานอนอยู่ในกรดอยู่แล้ว บางทีดึกๆตื่นมาปวดฉี่กำลังเดินไปห้องน้ำก็เห็นผู้หญิงชุดขาวๆยืนหันหลัง แต่พอเข้าไปใกล้ๆผู้หญิงคนนั้นก็หันมา แล้วก็หันมาแต่หัวแล้วก็ยิ้มให้ บรื๋ออ หนักหน่อยถ้าใครทำผิดป้าแกจะมาเยือนตอนดึกโดยนอนอยู๋ในกรดซึ่งกรดมันก็อยู่ติดพื้นดินอยู๋แล้ว เวลาใครเดินมาก็จะเห็นแต่ขา เพราะจะมีหลังคากันคล้ายๆเต้นท์ ดึกๆตื่นมาเพราะมีคนมาเดินอยู๋รอบกรด สักพักก็มาหยุดอยู่ตรงทางเข้ากรด ตรงหน้าเราพอดี ป้าแกก็จะมาเตือน แต่เผอิญป้าแกไม่ชอบก้มหัวให้ใคร แกก็เลยหิ้วหัวลงมาคุยด้วยเลย..
ซึ่งก็มีเรื่องเล่าทำนองนี้อยู๋เรื่อยๆ แน่นอนว่าผมก็กลัวครับ 55 ไม่กล้าทำผิด เพราะก็กลัวบาปด้วย เรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน ต้องใช้วิจารณญาณกันเอง
------
ผมก็มีอยุ่เท่านี้แหละครับ เพื่อนๆใครมีเรื่องเล่ามาแชร์กันบ้างครับ
มีเรื่องผีมาเล่า 4 เรื่องครับ ใครอยากแชร์เรื่องผีๆมาเล่าให้ฟังกันนะครับ
วันนี้ผมมีเรื่องเล่าลึกลับ 4 เรื่องมาฝากครับ
โดยเรื่องแรกมาจากประสบการณ์ผมเอง
เรื่องที่สองคุณพ่อเล่าให้ฟังตอนเด็กๆ
เรื่องที่สามประสบกับครอบครัวผมเอง โดยตอนนั้นผมยังเด็กมากตอนนั้น แต่คุณแม่เพิ่งมาเล่าให้ฟังตอนผมโตแล้ว
เรื่องที่ 3 ฟังมาจากหลายคนมากและหลายคนก็เล่าในทำนองเดียวกัน
คือผมมีประสบการณ์ที่หาคำตอบไม่ได้ตอนที่ผมไปเรียนภาษาอยู่ที่ประเทศแคนาดาเมื่อปี 2011 ผมไปอยู่นั่นก็ไปอยู่บ้านเช่าอยู่กัน 6 ตัวบ้านมี 2 ชั้นคือชั้น 1 แล้วก็ชั้น 2 แล้วก็จะมีชั้นใต้ดินอีกชั้นนึง โดยห้องของผมอยู่ชั้นบนสุด ส่วนห้องของพี่ผู้หญิงชื่อพี่ฟ้าอยู่ชั้นล่างโดยห้องของพี่เขาอยู่ติดกับห้องครัว ซึ่งเวลาจะลงไปชั้นใต้ดินจะต้องเดินผ่านครัวก่อนครับ พวกเราในบ้านก็เรียนภาษาอยุ่ที่โรงเรียนเดียวกัน โดยทุกๆเช้าปกติจะออกจากบ้านพร้อมกันโดยพี่ฟ้าจะตื่นก่อนทุกคนเลย พอผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็จะลงมากินข้าวที่ห้องครัว ถ้าวันไหนลงมาแล้วไม่เจอพี่ฟ้าในครัว แสดงว่าพี่ฟ้าไม่ไปเรียน คือยังนอนอยู่ในห้องครับ ทีนี้วันเกิดเหตุก็เช่นเคย ผมอาบน้ำเสร็จก็ลงมาชั้นล่าง เดินเข้าห้องครัวไม่เห็นพี่ฟ้า ก็เลยมาเคาะห้องถามพี่ฟ้า
ก๊อกๆๆ... พี่ฟ้าครับ พี่ฟ้าไม่ไปเรียนหรอครับ?..........
ก๊อกๆๆๆ... พี่ฟ้าตื่นยังครับ? ไม่ไปโรงเรียนหรอ.....
สักพักพี่ฟ้าก็ตอบกลับมาว่า "อื้อ" คือประมาณว่า เออ ไม่ไป กำลังงัวเงียนอนอยู่
ผมก็โอเคไม่ไปก็ไม่ไป ผมก็เดินเข้าไปในครัวไปจัดการทำอาหารเช้าเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียน ผมก็ทำนู่นทำนี่ไปสักพักสิ่งที่ทำให้ผมงงงวยก็เกิดขึ้น..
..
..
...
พี่ฟ้าเดินขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน อย่างที่ผมบอก ถ้าจะลงไปชั้นใต้ดินจะต้องผ่านครัว ซึ่งพี่ฟ้าเดินขึ้นมาจากข้างล่างพอเจอผมก็ทักทาย เอ้าน้องอรุณสวัสดิ์จ๊ะ ผมก็งง ถามพี่ฟ้าลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ? พี่ฟ้าบอกว่าพี่อยู่ข้างล่างตั้งนานแล้ว พี่ลงไปใช้ห้องน้ำข้างล่าง (ชั้น 1 ไม่มีห้องน้ำ จะมีชั้นใต้ดินกับชั้น 2) ลงไปได้เป็นจะครึ่งชมแล้ว ผมก็เริ่มงงมากขึ้น บอกพี่ฟ้า ผมเพิ่งลงมาได้ไม่ถึง 10 นาทีเลย เมื่อกี๊ผมลงมาไม่เจอคิดว่าพี่ไม่ไปโรงเรียน ผมเคาะห้องถามพี่ว่าไม่ไปหรอ แล้วก็มีเสียงตอบกลับมาว่า "อื้อ" ซึ่งผมยืนยีนได้เลยว่าผมไม่ได้หูฝาด เพราะเสียงชัดและดูเป็นธรรมชาติเหมือนเสียงคนมาก คือพอผมได้ยินคำว่า "อื้อ" ปุ๊บ ผมก็ทราบได้อย่างไม่ต้องสงสัยว่า พี่ฟ้าเป็นคนตอบ แต่พอมาเห็นว่าพี่ฟ้าไม่ได้อยู่ในห้องแต่แรก ผมก็งงใหญ่เลยว่า แล้วเมื่อกี๊เสียงใคร?
พวกเราในบ้านก็พูดกันถึงเรื่องนี้ โดยผมยืนยีนว่าผมไม่ได้หูฝาดแล้วก็ไม่ได้ได้ยินไปเอง พี่ฟ้าบอกว่าพี่เชื่อผม เพราะพี่เขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเขาเนี่ยเหมือนบางทีไม่ได้อยู่คนเดียว เหมือนกับว่าบางทีมีอะไรบางอย่างอยู่กับพี่เขา พี่เขารู้สึกอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนทีเขาจะมาแคนาดาอีก พอมาฟังผมเล่าเรื่องนี้เขาก็ยิ่งเชื่อว่ามีอะไรบางอย่างอยู่กับเขาจริงๆ
-------------------------------------------------------------
เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องที่คุณพ่อผมเล่าให้ฟังตอนผมเด็กๆ ตอนนั้นที่บ้านไฟดับ นั่งจุดเทียนกินข้าวกันที่บ้าน คุณพ่อก็เลยเล่าเรื่องผีให้ฟัง โดยผมก็ตื่นเต้นนั่งฟังอยู๋ใจจดใจจ่อ
เรื่องมีอยู่ว่า มีวิศวกรคนนึงทำงานอยู่ที่บริษัทแล้วเผอิญวันนั้นเขาต้องเลิกดึก ก็รอภรรยาเขาขับรถมารับ เขาก็นั่งรออยู่ด้านบนในอาคาร โดยเขาอยู่ในห้องชั้น 2 นอกห้องจะเป็นคล้ายๆชั้นลอย มองเห็นบันไดลงไปชั้นล่างซึ่งติดกับประตูเข้าบริษัท ผมก็นั่งทำงานทำอะไรไปเรื่อยรอภรรยามารับ ตอนนั้นก็ประมาณ 2 ทุ่มแล้ว ภรรยาเขาก็ไม่มาสักที พอเขาเริ่มเคลิ้มๆจะหลับก็ได้ยินเสียงแว่วๆเหมือนคนมาเคาะประตู ผมก็เลยตื่นแล้วก็เดินไปเปิดประตู.. ปรากฏว่าไม่มีใคร ผมก็คิดว่าตัวเองหูแว่วไปเอง ก็กลับเข้าห้องไปรอภรรยา รอไปได้อีกสักพักก็เริ่มเคลิ้มๆจะหลับอีกก้ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูอีก เขาก็เดินไปเปิดอีกรอบ ก็ปรากฏว่าไม่มีใครอีกเหมือนเดิม เขาก็เริ่มระแวงๆแล้วเขาก็คิดว่าภรรยามารึเปล่า ก็ชะโงกลงไปดูตรงบันไดกับประตูทางเข้าก็ไม่มีใคร มีแต่มืดๆว่างเปล่า เขาเริ่มขนลุกแล้ว คิดว่าโดนผีหลอกแน่ เขาก็เลยกลับเข้าไปในห้องตอนนั้นก็ประมาณ 4 ทุ่มแล้ว โทรหาภรรยาก็ไม่ติด ส่วนภรรยาก็ไม่มาสักที รอไปได้ถึงตอนเกือบๆเที่ยงคืนก็ได้ยินเสียงมาเคาะประตูอีก แต่คราวนี้เขาไม่ออกไป เพราะเขากลัว แต่เสียงนั่นก็ยังเคาะอยู่ จนเขาได้ยินเสียงภรรยาเรียกชื่อเขาว่า มาแล้ว เปิดประตูหน่อย เขาก็เลยเดินไปเปิดประตู ปรากฏว่าเป็นภรรยาเขา ทั้งคู่ก็เลยกลับบ้านกัน โดยทิ้งความสงสัยไว้ให้กับเขาว่า แล้วเสียงเคาะประตู 2 ครั้งก่อนหน้านี้มันคืออะไร
-------------------------
เรื่องที่ 3
เกิดกับครอบครัวผมเอง โดยคุณแม่เล่าให้ฟังว่า สมัยเด็กๆครอบครัวผมชอบขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน แล้วก็ค้างที่โรงแรม โดยวันนั้นเป็นทริปไปอุบล แล้วก็แวะพักที่สุรินทร์ ซึ่งตอนนั้นก็ค่ำแล้วพวกคุณพ่อกับคุณแม่ก็หาโรงแรม ตอนนั้นผมพอจำความได้บ้าง ยังจำภาพบางภาพได้เช่น ถนนมืดๆ ป้ายบอกทางว่าอีกกี่กิโลไปถึงอุบล ยังจำภาพร้านอาหารได้ลางๆ ภาพโรงแรมได้บ้าง พอเลือกโรงแรมได้ก็เข้าไปเช็คอินแล้วก็พากันออกมาหาข้าวกิน ทีนี้ชั้นล่างของโรมแรมมันจะเป็นคล้ายๆบาร์ พอพวกเรากินข้าวเสร็จก็กลับโรงแรม โดยคุณพ่อกับคุณแม่พาผมขึ้นไปส่งที่ห้องนอน กล่อมผมจนหลับ พวกท่านสองคนก็ลงไปที่บาร์ข้างล่าง สั่งเบียร์มาดื่มกันสัก 1 ชม ก็กลับขึ้นไปนอน ทุกอย่างก็ปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทีนี้มาถึงตอนที่เกิดเรื่องขึ้นคืนตอนเช้า ตามที่คุณแม่เล่าให้ฟังนะครับ ทันทีที่เปิดประตูห้องออกมาตอนเช้าๆประมาณ 7โมง 8 โมง เพราะคุณพ่ออยากออกแต่เช้า จะได้ถึงอุบลได้เร็วๆ ทันทีที่เปิดประตูห้อง ความรู้สึกก็เปลี่ยนก็ ทางเดินของโรงแรม ผนัง ทุกอย่างมันดูเหมือนกับว่าโรงแรมนี้ยังสร้างไม่เสร็จ กำลังอยู่ในช่วงระหว่างปรับปรุง เดินไปที่ลิฟท์ก็ปรากฏว่าปิดปรับปรุง ก็เดินลงมาชั้นล่างที่ล็อบบี้ ก็ไม่ได้มีพนักงานต้อนรับ คือโรงแรมนี้ยังไม่ได้เปิดให้ใช้บริการเลย แล้วเมื่อคืนที่พวกเรามาเช็คอินกันมีพนักงานอยู่ที่เค้าเตอร์ ได้กุญแจไปชั้นบน การตกแต่ง ทุกอย่างดูเหมือนปกติ มีดวงไฟตกแต่งแบบโรงแรมทั่วไป คุณแม่ไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์เมื่อคืนกับเหตุการณ์ตอนเช้านี้มันยังไงกันแน่ สร้างความงุนงงให้กับคุณพ่อกับคุณแม่ผมมาจนถึงทุกวันนี้
------------------
เรื่องสุดท้ายแล้วครับ เรื่องที่ 4
เป็นเรื่องเล่าที่วัดที่ผมได้ไปบวชเรียนภาคฤดูร้อนครับ โดยคนที่เล่าให้ผมฟังนั้นเป็นคนที่เคยไปบวชมาแล้วก็มาเล่าให้ฟัง ได้ยินมาอีกทีบ้าง ได้ยินจากคนที่เข้าวัดประจำบ้างอะไรบ้าง ซึ่งผมก็คิดว่าเรื่องมันอาจจะมีการปรุงแต่งกันมาพอสมควร แต่หัวใจหลักของเรื่องก็ยังคงความน่ากลัวอยู่ครับ
วัดนี้ที่ผมไปบวช ขอไม่เอ่ยชื่อวัดนะครับ มีความเคร่งครัวกับพระและสามเณรที่บวชมาก ตลอดระยะเวลาที่บวชพวกเราฝึกตัวกันทุกวัน ตื่นแต่เช้า ทำวัตร นั่งสมาธิ ฟังธรรมะ ช่วยงานวัด ไปทัศนศึกษาที่วัดอื่นๆ ไม่ได้มีแบบ เช้าเอน เพลนอน บ่ายพักผ่อน ค่ำจำวัตร ดึกสงัดงัดลังมาม่า แบบนี้ไม่มีครับ เรียกได้ว่า ฝึกตนเป็นพระแท้กันเลยทีเดียว ฉันก็ฉันแต่พอกิน กินเพื่ออยู่ไม่ได้อยู่เพื่อกิน เวลาวัดมีงานบุญก็ไปช่วยกันจัดสถานที่ ซึ่ง 2 เดือนครึ่ง น้ำหนักผมลดมาเกือบๆ 10 กิโล สุขภาพก็ไม่ได้แย่ลงเลย แถมยังรู้สึกดีกว่าเดิมด้วย เพราะเราทำแต่ความดี
ก็เพราะการฝึกฝนที่เข้มงวดแบบนี้แหละครับ มันก็เลยมีเรื่องนี้ที่ผมกำลังจะเล่าขึ้น สมัยก่อนนานมาแล้วมีคุณป้าคนหนึ่งเดินข้ามถนนที่หน้าวัด แล้วเกิดถูกรถชนเสียชีวิต แต่บุญแกก็ไม่มากพอที่จะทำให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี บาปก็ไม่ได้มากพอที่จะทำให้ตกนรก ก็เลยเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนอยู่แถวๆนั้น หลวงพ่อเจ้าอาวาสที่วัดก็นั่งสมาธิแล้วก็ได้ไปเห็นป้าคนนี้ ก็เลยมอบหมายหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้โดยการให้คุมความประพฤติของพระและเณรที่มาบวช ซึ่งวิธีการตักเตือนนั้นก็เรียกได้ว่า แซบแสบทรวงมาก เช่นถ้าใครทำผิดแอบกักตุนอาหาร หรือแอบนอนอยู่ในกรด หรือทำผิดวิวัยของพระ หรือของวัด ก็จะมีสิทธิ์โดนเตือนโดยผีคุณป้าคนนี้ วิธีการมาเตือนก็เช่น นอนๆอยู่ในกรดก็ถูกลากออกมานอกกรดบ้าง ตื่นมากลางดึกพบว่าตัวเองนอนอยู่นอกกรด บางทีกำลังจะเข้าตอนพอนั่งลงจะเปิดมุ้งกรดขึ้นมาก็เห็นเหมือนมีคนมานอนอยู่ในกรดอยู่แล้ว บางทีดึกๆตื่นมาปวดฉี่กำลังเดินไปห้องน้ำก็เห็นผู้หญิงชุดขาวๆยืนหันหลัง แต่พอเข้าไปใกล้ๆผู้หญิงคนนั้นก็หันมา แล้วก็หันมาแต่หัวแล้วก็ยิ้มให้ บรื๋ออ หนักหน่อยถ้าใครทำผิดป้าแกจะมาเยือนตอนดึกโดยนอนอยู๋ในกรดซึ่งกรดมันก็อยู่ติดพื้นดินอยู๋แล้ว เวลาใครเดินมาก็จะเห็นแต่ขา เพราะจะมีหลังคากันคล้ายๆเต้นท์ ดึกๆตื่นมาเพราะมีคนมาเดินอยู๋รอบกรด สักพักก็มาหยุดอยู่ตรงทางเข้ากรด ตรงหน้าเราพอดี ป้าแกก็จะมาเตือน แต่เผอิญป้าแกไม่ชอบก้มหัวให้ใคร แกก็เลยหิ้วหัวลงมาคุยด้วยเลย..
ซึ่งก็มีเรื่องเล่าทำนองนี้อยู๋เรื่อยๆ แน่นอนว่าผมก็กลัวครับ 55 ไม่กล้าทำผิด เพราะก็กลัวบาปด้วย เรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน ต้องใช้วิจารณญาณกันเอง
------
ผมก็มีอยุ่เท่านี้แหละครับ เพื่อนๆใครมีเรื่องเล่ามาแชร์กันบ้างครับ