สีเหลือง หรือ ม๊อบพันธมิตร ยังคงยึดมั่นกับศาสดาอย่างแป๊ะลิ้ม สนธิ ลิ้มทองกุล จะถูกจะผิด จะดีจะชั่วยังไง ก็ยังยืดอกรับว่าเป็นผลงานของพันธมิตร ไม่เปลี่ยนสีหนี มีจุดยืนที่ชัดเจน เกลียดทักษิณ รักสถาบัน บ้าเรื่องพลังงาน เขาพระวิหาร ฯลฯ
สีแดง หรือ ม๊อบ นปช. ยังคงยึดมั่นกับศาสดาอย่างทักษิณ จะถุกจะผิด จะดีจะชั่วยังไงก็ยืดอกรับว่าเป็นผลงานของ นปช. ไม่เปลี่ยนสีหนี ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ บ้าเลือกตั้ง บ้าประชาธิปไตย
แต่กับกลุ่มหลากสี หรือ สลิ่มนั้น เป็นกลุ่มที่ปราศจากความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองและ ศาสดาอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่เคยยืดอกรับว่าเคยทำดี ทำชั่วอะไรเลย พร้อมทีจะพริ้วไหวและเปลี่ยนสี เปลี่ยนอุดมการณ์เปลี่ยนหัวข้อการต่อสู้ไปได้เรื่อยๆดุจกิ้งก่า
และเพราะเป็นสีทางการเมือง ที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรจากการกระทำของตนเองและศาสดา หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น จะปลี่ยนสีและ เปลี่ยนศาสดาไปเรื่อยๆ แบบไร้จุดยืน หลากสี หรือ สลิ่มหลายคน เคยไปปิดสนามบินกับม๊อบพันธมิตร เคยไปม๊อบหน้ากากขาว เคยไปม๊อบแช่แข็งเสธ.อ้าย เคยไปม๊อบนกหวีดขัดขวางการเลือกตั้ง ขัดขวางการจ่ายเงินชาวนาของลุงกำนัน แต่เชื่อเถอะ วันใดวันหนึ่งข้างหน้า ม๊อบไม่สังกัดสี พวกนี้ก็จะเปลี่ยนศาสดา เปลี่ยนสีไปอีก พร้อมๆกับจะไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าครั้งหนึ่ง ตนเคยร่วมปิดสนามบิน ครั้งหนึ่งตนเคยร่วมขัดขวางการเลือกตั้ง เคยขัดขวางการจ่ายเงินให้ชาวนา วันหนึ่งข้างหน้าจะไม่มีใครยอมรับหรอกว่าตนเคยร่วมม๊อบเหล่านี้ เคยแอบอิงอำนาจนอกระบบเพื่อผลประโยชน์ หรือตอนนั้นเอาจเปลี่ยนเป็นม๊อบ ทรัมเป็ต ไปแทนแล้วก็ได้
พฤติกรรมเหล่านี้ของเหล่าหลากสี ช่างเหมือนกับ กลุ่มผู้นำ หรือ ศาสดาตัวจริงของกลุ่มไม่มีผิด ดูเหมือนไร้ตัวตน แต่มีตัวตน เป็นมือที่มองไม่เห็น กล้าทำ กล้าชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่จะไม่กล้ารับเด็ดขาดว่าเป็นฝีมือตน คำว่าทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ยอมรับกันซึ่งๆหน้า จะไม่มีทางเกิดขึ้นกับกลุ่มการเมืองหลากสีเป็นอัดขาด เพราะข้อได้เปรียบของการไม่เปิดเผยตัวตนก็คือ สามารถเปลี่ยนสีหนีความผิดพลาดไปได้เรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น การรัฐประหารครั้งก่อน อันเกิดจากกลุ่มสีเหลือง และ สีน้ำเงิน และ สีฟ้า ร่วมกันผลักดัน การรัฐประหารที่ทุกคนพูดคำเดียวกันว่าเสียของ แต่ไม่มีใครถามหาความรับผิดชอบจากใครเลย เพราะ พอผิดพลาด กลุ่มที่ร่วมผลักดัน ก็เปลี่ยนสีหนีกันหมด ทิ้งไว้แต่สีเหลืองกลุ่มเดียวรับความผิดไป และ เปลี่ยนสีรวมพลังกันผลักดันให้เกิดรัฐประหารครั้งนี้อีก ถามว่าถ้าเสียของอีก ก็คงหาเจ้าภาพไม่เจออีกเช่นเคย พวกนี้ไม่เคยคิดจะมีความรับผิดชอบทางการเมืองใดๆอยู่แล้ว
ลงมือ แต่ไม่ต้องรับผิดชอบ อยู่เบื้องหลังแต่ไม่ต้องออกหน้า ออกหน้าแต่เปลี่ยนสีหนี นี้คือพฤติกรรมทางการเมืองที่ไร้ความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อประเทศชาติ และน่ารังเกียจที่สุด น่าขยะแขยงมากกว่าสีเหลือง สีแดง ทางการเมืองที่อย่างน้อยก็มีจุดยืนของตนเอง
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา ผมจึงขอยกให้กลุ่มหลากสี หรือ สลิ่ม เป็นกลุ่มทางการเมืองที่น่ารังเกียจที่สุดในประเทศไทย !!!
สีทางการเมืองที่น่ารังเกียจที่สุด คือ หลากสี หรือสลิ่มนั้นเอง เหตุผลน่ะหรือ.....
สีแดง หรือ ม๊อบ นปช. ยังคงยึดมั่นกับศาสดาอย่างทักษิณ จะถุกจะผิด จะดีจะชั่วยังไงก็ยืดอกรับว่าเป็นผลงานของ นปช. ไม่เปลี่ยนสีหนี ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ บ้าเลือกตั้ง บ้าประชาธิปไตย
แต่กับกลุ่มหลากสี หรือ สลิ่มนั้น เป็นกลุ่มที่ปราศจากความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองและ ศาสดาอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่เคยยืดอกรับว่าเคยทำดี ทำชั่วอะไรเลย พร้อมทีจะพริ้วไหวและเปลี่ยนสี เปลี่ยนอุดมการณ์เปลี่ยนหัวข้อการต่อสู้ไปได้เรื่อยๆดุจกิ้งก่า
และเพราะเป็นสีทางการเมือง ที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรจากการกระทำของตนเองและศาสดา หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น จะปลี่ยนสีและ เปลี่ยนศาสดาไปเรื่อยๆ แบบไร้จุดยืน หลากสี หรือ สลิ่มหลายคน เคยไปปิดสนามบินกับม๊อบพันธมิตร เคยไปม๊อบหน้ากากขาว เคยไปม๊อบแช่แข็งเสธ.อ้าย เคยไปม๊อบนกหวีดขัดขวางการเลือกตั้ง ขัดขวางการจ่ายเงินชาวนาของลุงกำนัน แต่เชื่อเถอะ วันใดวันหนึ่งข้างหน้า ม๊อบไม่สังกัดสี พวกนี้ก็จะเปลี่ยนศาสดา เปลี่ยนสีไปอีก พร้อมๆกับจะไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าครั้งหนึ่ง ตนเคยร่วมปิดสนามบิน ครั้งหนึ่งตนเคยร่วมขัดขวางการเลือกตั้ง เคยขัดขวางการจ่ายเงินให้ชาวนา วันหนึ่งข้างหน้าจะไม่มีใครยอมรับหรอกว่าตนเคยร่วมม๊อบเหล่านี้ เคยแอบอิงอำนาจนอกระบบเพื่อผลประโยชน์ หรือตอนนั้นเอาจเปลี่ยนเป็นม๊อบ ทรัมเป็ต ไปแทนแล้วก็ได้
พฤติกรรมเหล่านี้ของเหล่าหลากสี ช่างเหมือนกับ กลุ่มผู้นำ หรือ ศาสดาตัวจริงของกลุ่มไม่มีผิด ดูเหมือนไร้ตัวตน แต่มีตัวตน เป็นมือที่มองไม่เห็น กล้าทำ กล้าชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่จะไม่กล้ารับเด็ดขาดว่าเป็นฝีมือตน คำว่าทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ยอมรับกันซึ่งๆหน้า จะไม่มีทางเกิดขึ้นกับกลุ่มการเมืองหลากสีเป็นอัดขาด เพราะข้อได้เปรียบของการไม่เปิดเผยตัวตนก็คือ สามารถเปลี่ยนสีหนีความผิดพลาดไปได้เรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น การรัฐประหารครั้งก่อน อันเกิดจากกลุ่มสีเหลือง และ สีน้ำเงิน และ สีฟ้า ร่วมกันผลักดัน การรัฐประหารที่ทุกคนพูดคำเดียวกันว่าเสียของ แต่ไม่มีใครถามหาความรับผิดชอบจากใครเลย เพราะ พอผิดพลาด กลุ่มที่ร่วมผลักดัน ก็เปลี่ยนสีหนีกันหมด ทิ้งไว้แต่สีเหลืองกลุ่มเดียวรับความผิดไป และ เปลี่ยนสีรวมพลังกันผลักดันให้เกิดรัฐประหารครั้งนี้อีก ถามว่าถ้าเสียของอีก ก็คงหาเจ้าภาพไม่เจออีกเช่นเคย พวกนี้ไม่เคยคิดจะมีความรับผิดชอบทางการเมืองใดๆอยู่แล้ว
ลงมือ แต่ไม่ต้องรับผิดชอบ อยู่เบื้องหลังแต่ไม่ต้องออกหน้า ออกหน้าแต่เปลี่ยนสีหนี นี้คือพฤติกรรมทางการเมืองที่ไร้ความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อประเทศชาติ และน่ารังเกียจที่สุด น่าขยะแขยงมากกว่าสีเหลือง สีแดง ทางการเมืองที่อย่างน้อยก็มีจุดยืนของตนเอง
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา ผมจึงขอยกให้กลุ่มหลากสี หรือ สลิ่ม เป็นกลุ่มทางการเมืองที่น่ารังเกียจที่สุดในประเทศไทย !!!