สังคมคนนั้น
หากเกิด "ปรากฎการณ์" ใด ๆ ขึ้น เป็นปกติที่จะมี "ฉายา" หรือ "สมญานาม" ตามมาหลังปรากฎการณ์นั้น ๆ
คำว่า "สลิ่ม" ไม่ใช่การคำประดิดประดอยจากคนเสื้อแดงที่มีไว้เรียกคนเห็นต่างคิดต่างครับ
แต่เกิดจาก "ปรากฎการณ์" ทางสังคมแท้ ๆ เลยทีเดียว
และคำว่าสลิ่มนั้น ไม่ใช่มีใช้แค่ในกลุ่มคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่เป็น "ฉายา" หรือ "สมญานาม" ที่สังคมยอมรับ
ยอมรับก็คือการเห็นด้วย หากสังคมไม่ยอมรับ ฉายา หรือสมญานามใด ๆ ไม่ฮิตติดตลาดครับ
ฝ่อหายไปในเวลาอันรวดเร็ว
พันธมิตรใช้เสื้อเหลืองเป็นสัญลักษณ์ ถูกเรียกว่า "กลุ่มสีเหลือง"
เมื่อพันธมิตรกลายเป็นตัวตลกทางการเมือง ก็เกิดกลุ่ม "เสื้อหลากสี" (ไม่รู้ว่าขยาดที่จะใช้สีเหลืองหรือเพราะไม่อยากแบ่งสี)
นี่จึงเป็น "ปรากฎการณ์" อันเป็นที่มาของคำว่า "สลิ่ม" ที่แผลงคำมาจาก ซาหริ่ม
ความหมายก็คือ จากเหลือง มาเป็นหลากสี ก็เหมือนซาหริ่ม
เมื่อนำมาใช้เป็นวาทกรรมทางการเมือง
ก็แผลงเป็น สลิ่ม เพื่อเป็น "ฉายา" เป็น "สมญานาม" เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มพันธมิตร + ปชป. + กระแดะ
ทำไมจึงมี "กระแดะ" รวมอยู่ด้วย
ก็เพราะคนพวกนี้ ไม่รู้ห่านอะไรหรอกครับ แต่เพราะเห็นว่า พันธมิตรเป็นม็อบที่มีระดับ ปชป.เ็ป็นพรรคผู้ดี
ตัวเองเลยต้องเข้าร่วม เพราะจะได้เป็นคนมี "ระดับ" จะได้เป็น "ผู้ดี"
ต่างกับม็อบแดง ที่มีแต่พวกไร้ระดับ ขาดสมบัติผู้ดี ชั้นต่ำ
กระแดะไม่ชอบ
จะเห็นนะครับว่า คำว่า "สลิ่ม" นั้น ไม่ใช่อยู่ดี ๆ เกิดขึ้นเพราะคนเสื้อแดงตั้งให้ ตั้งให้กลุ่มคนที่เห็นต่างกัน
ไม่ใช่เลยครับ เพราะเรื่อง "เห็นต่างกัน" นั้น มันมีมานาแล้วตั้งแต่ปี 2544 โน่น
(ทำไมจึงเฉพาะแค่จากปี 2544 ตรงนี้เพราะมี "ทักษิณ" เป็นตัวละครเอกครับ)
แต่มาแสดงออก มาแสดงตัว แสดงความคิด แสดงทัศนคติกันชัดเจนก็ตอนเกิด "ปรากฎการณ์สนธิ" เท่านั้นเอง
เห็นต่างกันมานานครับ แต่เพราะไม่มี "ผู้นำความเห็นต่าง" เลยซุ่ม ๆ กันอยู่ พอมีผู้นำเลยกระแดะเท่ไปเลย
จากสีเหลือง มาเป็นหลากสี(เหมือนซาหริ่ม) จึงเป็นที่มาของคำว่า "สลิ่ม"
แล้วทีนี้ คำนี้คนเสื้อแดงใช้เรียก หรือ "ยัดเยียด" ให้ัคนที่เห็นต่างจริงหรือ ?
บอกได้เลยครับว่า ไม่ใช่
แต่เพราะสลิ่มนั้น นอกจากจะเป็น "ฉายา" เป็น "สมญานาม" แล้ว
ยังเป็น "บุคลิกทางความสังคม" ด้วยครับ (ไม่แค่มุมมองและความคิดทางการเมืองเ่ท่่านั้น แต่ทั้งชีิวิตเลยทีเดียว)
บุคลิกแบบไหน ก็แบบที่คุณ webkit ตั้งกระทู้จาระไนบุคลิกไปแล้วนั่นแหละครับ
หากเกรียนมีบุคลิก "เกรียน" เมื่อคุณเกรียน คุณก็ย่อมถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่ม "เกรียน"
หากคุณชอบดื่มเป็นอาจิณ คุณก็ถูกเรียกว่า "ขี้เหล้า" "ขี้เมา"
หากคุณเอาแต่ได้ คุณก็จะถูกเีรียกว่า "คนโลภมาก" "เห็นแก่ตัว"
หากคุณเอาแต่พูด พูดอย่างทำอย่าง แหลเป็นไฟ คุณก็จะถูกเีรียกว่า "ดีแต่พูด"
ฯลฯ
เรื่องแบบนี้ เพราะมี "บุคลิกทางสังคม" อย่างนี้แหละครับ ฉายาหรือสมญานามจึงเกิดขึ้น
การที่มาสรุปแบบกลวง ๆ ว่า
คนเสื้อแดงยัดเยียดคำว่า "สลิ่ม" ให้คนเห็นต่างนั้น จึง "กลวง" ด้วยประการทั้งปวงครับ
บุคลิกของสลิ่มนั้น มีผู้นำเสนอไว้ 6 ประการดังนี้ครับ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355546480&grpid=01&catid=&subcatid=
(คุณสมบัติหกประการนี้ สลิ่มเถียงไม่ขึ้นหรอกครับ จริงไหม
)
เมื่อเกิดการถกแย้ง เกิดความเห็นต่าง โดยเฉพาะทางการเมือง
หากใครมีบุคลิก (Character) พ้องต้องตามคุณสมบัติ 6 ประการ
ย่อมถูกเีรียกว่า "สลิ่ม"
เป็นเรื่อง เป็นฉายา เป็นสมญานามที่เกิดขึ้นจาก "ปรากฎการณ์ทางสังคม" ไม่ใช่จากการยัดเยียดหรือแต่งตั้งจากใคร
ก็เท่านั้นเองครับ
เข้าใจนะครับสลิ่มกระแดะ
ขอพูดเรื่อง "สลิ่ม" ให้หน้าโง่บางคนได้รู้สักนิดครับ เพราะรำคาญที่ไม่รู้แล้วทำเป็นรู้ ทำเ็ป็นมีหลักคิดในการวิจารณ์
หากเกิด "ปรากฎการณ์" ใด ๆ ขึ้น เป็นปกติที่จะมี "ฉายา" หรือ "สมญานาม" ตามมาหลังปรากฎการณ์นั้น ๆ
คำว่า "สลิ่ม" ไม่ใช่การคำประดิดประดอยจากคนเสื้อแดงที่มีไว้เรียกคนเห็นต่างคิดต่างครับ
แต่เกิดจาก "ปรากฎการณ์" ทางสังคมแท้ ๆ เลยทีเดียว
และคำว่าสลิ่มนั้น ไม่ใช่มีใช้แค่ในกลุ่มคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่เป็น "ฉายา" หรือ "สมญานาม" ที่สังคมยอมรับ
ยอมรับก็คือการเห็นด้วย หากสังคมไม่ยอมรับ ฉายา หรือสมญานามใด ๆ ไม่ฮิตติดตลาดครับ
ฝ่อหายไปในเวลาอันรวดเร็ว
พันธมิตรใช้เสื้อเหลืองเป็นสัญลักษณ์ ถูกเรียกว่า "กลุ่มสีเหลือง"
เมื่อพันธมิตรกลายเป็นตัวตลกทางการเมือง ก็เกิดกลุ่ม "เสื้อหลากสี" (ไม่รู้ว่าขยาดที่จะใช้สีเหลืองหรือเพราะไม่อยากแบ่งสี)
นี่จึงเป็น "ปรากฎการณ์" อันเป็นที่มาของคำว่า "สลิ่ม" ที่แผลงคำมาจาก ซาหริ่ม
ความหมายก็คือ จากเหลือง มาเป็นหลากสี ก็เหมือนซาหริ่ม
เมื่อนำมาใช้เป็นวาทกรรมทางการเมือง
ก็แผลงเป็น สลิ่ม เพื่อเป็น "ฉายา" เป็น "สมญานาม" เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มพันธมิตร + ปชป. + กระแดะ
ทำไมจึงมี "กระแดะ" รวมอยู่ด้วย
ก็เพราะคนพวกนี้ ไม่รู้ห่านอะไรหรอกครับ แต่เพราะเห็นว่า พันธมิตรเป็นม็อบที่มีระดับ ปชป.เ็ป็นพรรคผู้ดี
ตัวเองเลยต้องเข้าร่วม เพราะจะได้เป็นคนมี "ระดับ" จะได้เป็น "ผู้ดี"
ต่างกับม็อบแดง ที่มีแต่พวกไร้ระดับ ขาดสมบัติผู้ดี ชั้นต่ำ
กระแดะไม่ชอบ
จะเห็นนะครับว่า คำว่า "สลิ่ม" นั้น ไม่ใช่อยู่ดี ๆ เกิดขึ้นเพราะคนเสื้อแดงตั้งให้ ตั้งให้กลุ่มคนที่เห็นต่างกัน
ไม่ใช่เลยครับ เพราะเรื่อง "เห็นต่างกัน" นั้น มันมีมานาแล้วตั้งแต่ปี 2544 โน่น
(ทำไมจึงเฉพาะแค่จากปี 2544 ตรงนี้เพราะมี "ทักษิณ" เป็นตัวละครเอกครับ)
แต่มาแสดงออก มาแสดงตัว แสดงความคิด แสดงทัศนคติกันชัดเจนก็ตอนเกิด "ปรากฎการณ์สนธิ" เท่านั้นเอง
เห็นต่างกันมานานครับ แต่เพราะไม่มี "ผู้นำความเห็นต่าง" เลยซุ่ม ๆ กันอยู่ พอมีผู้นำเลยกระแดะเท่ไปเลย
จากสีเหลือง มาเป็นหลากสี(เหมือนซาหริ่ม) จึงเป็นที่มาของคำว่า "สลิ่ม"
แล้วทีนี้ คำนี้คนเสื้อแดงใช้เรียก หรือ "ยัดเยียด" ให้ัคนที่เห็นต่างจริงหรือ ?
บอกได้เลยครับว่า ไม่ใช่
แต่เพราะสลิ่มนั้น นอกจากจะเป็น "ฉายา" เป็น "สมญานาม" แล้ว
ยังเป็น "บุคลิกทางความสังคม" ด้วยครับ (ไม่แค่มุมมองและความคิดทางการเมืองเ่ท่่านั้น แต่ทั้งชีิวิตเลยทีเดียว)
บุคลิกแบบไหน ก็แบบที่คุณ webkit ตั้งกระทู้จาระไนบุคลิกไปแล้วนั่นแหละครับ
หากเกรียนมีบุคลิก "เกรียน" เมื่อคุณเกรียน คุณก็ย่อมถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่ม "เกรียน"
หากคุณชอบดื่มเป็นอาจิณ คุณก็ถูกเรียกว่า "ขี้เหล้า" "ขี้เมา"
หากคุณเอาแต่ได้ คุณก็จะถูกเีรียกว่า "คนโลภมาก" "เห็นแก่ตัว"
หากคุณเอาแต่พูด พูดอย่างทำอย่าง แหลเป็นไฟ คุณก็จะถูกเีรียกว่า "ดีแต่พูด"
ฯลฯ
เรื่องแบบนี้ เพราะมี "บุคลิกทางสังคม" อย่างนี้แหละครับ ฉายาหรือสมญานามจึงเกิดขึ้น
การที่มาสรุปแบบกลวง ๆ ว่า
คนเสื้อแดงยัดเยียดคำว่า "สลิ่ม" ให้คนเห็นต่างนั้น จึง "กลวง" ด้วยประการทั้งปวงครับ
บุคลิกของสลิ่มนั้น มีผู้นำเสนอไว้ 6 ประการดังนี้ครับ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355546480&grpid=01&catid=&subcatid=
(คุณสมบัติหกประการนี้ สลิ่มเถียงไม่ขึ้นหรอกครับ จริงไหม )
เมื่อเกิดการถกแย้ง เกิดความเห็นต่าง โดยเฉพาะทางการเมือง
หากใครมีบุคลิก (Character) พ้องต้องตามคุณสมบัติ 6 ประการ
ย่อมถูกเีรียกว่า "สลิ่ม"
เป็นเรื่อง เป็นฉายา เป็นสมญานามที่เกิดขึ้นจาก "ปรากฎการณ์ทางสังคม" ไม่ใช่จากการยัดเยียดหรือแต่งตั้งจากใคร
ก็เท่านั้นเองครับ
เข้าใจนะครับสลิ่มกระแดะ