ลักษณะธุรกิจ
ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลายประเภทคือ ฟิล์มพลาสติกที่ใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ เพื่อใช้บรรจุภัณฑ์และหีบห่อ
บริการงานพิมพ์บนฉลากกาว หรือฟิล์มพลาสติกแบบม้วน และผลิตภัณฑ์หลอดลามิเนต เพื่อใช้บรรจุยาสีฟัน
ด้านผู้ถือหุ้นรายใหญ่
จากการรวมยอดพบว่า เครือกลุ่มตระกูลลิ่มอติบูลย์ ถือหุ้นโดยรวมประมาณอยู่ที่ราวๆ 60%
ซึ่งถือว่าค่อนข้างมีสัดส่วนที่มากและมีนัยสำคัญต่อบริษัท TOPP ที่ทางกลุ่มตระกูลลิ่มอติบูลย์
สามารถควบคุมมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้เกือบทั้งหมดของบริษัท
จึงทำให้ ผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ไม่สามารถรวบรวมคะแนนเสียงเพื่อถ่วงดุลได้ดีเท่าที่ควรครับ
แต่อย่างไรก็ตาม หากมองในด้านบวก การมีสัดส่วนของเครือกลุ่มตระกูลลิ่มอติบูลย์ ในสัดส่วนที่มากนั้น
ก็อาจจะผลดีก็ได้ ในแง่ของการตัดสินใจที่สามารถทำได้อย่างทันท่วงที รวดเร็วและเฉียบขาดก็เป็นได้ครับ
ด้านของข้อมูลการถือหุ้นย้อนหลัง
น้องสี่พบว่า ในปี 1997 ทางเครือกลุ่มตระกูลลิ่มอติบูลย์ ถือหุ้นเป็นสัดส่วนโดยรวมประมาณ 55% - 60%
ซึ่งเมื่อนำมาเทียบกับปีล่าสุด คือปี 2014 พบว่า เครือกลุ่มตระกูลลิ่มอติบูลย์ ก็ยังถือหุ้นอยู่ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันคือ 55% - 60%
ในจุดนี้เองทำให้น้องสี่ประเมินได้ว่า ทางเครือกลุ่มตระกูลลิ่มอติบูลย์ ต้องค่อนข้างมั่นใจในธุรกิจนี้มากๆ
เพราะถ้าไม่มั่นใจ คงต้องมีการเปลี่ยนมือของผู้ถือหุ้นไปหลายท่านและขายสัดส่วนของกิจการนี้ออกมาครับ
ดังนั้น จุดนี้น้องสี่คิดว่า น่าจะเป็นจุดแข็งอีกจุดหนึ่งที่น่าจับตามองพอสมควรเลยครับว่า
อะไรจึงทำให้ทางเครือกลุ่มตระกูลลิ่มอติบูลย์ ถึงมั่นใจในธุรกิจนี้ค่อนข้างมาก น้องสี่จึงพยายามไปหาข้อมูลมาได้ส่วนหนึ่งครับ
น้องสี่เลยไปสังเกตตรงรายชื่อกรรมการครับ แล้วสนใจในรายชื่อคนแรกครับ
คือ คุณพิพัฒ พะเนียงเวทย์ และดำรงตำแหน่งเป็น ประธานคณะกรรมการ ครับ
จากการไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ได้ความมาว่า คุณพิพัฒ พะเนียงเวทย์
ได้เป็นประธานกรรมการของเครือ "TF : บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน)"
หรือที่เรารู้จักกันในนามผลิตภัณฑ์ของ "มาม่า(MaMa) บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป" ทึ่เอ่ยชื่อมาปุ๊ป ต้องร้องอ๋อกันเลยทีเดียวครับ
ข้อมูลแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร (แบบ 59-2)
น้องสี่พบว่า ในส่วนนี้ทางผู้บริหารไม่มีรายงานการซื้อขายของหุ้น TOPP เลยครับ
ซึ่งน้องสี่มองว่า เป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะแสดงให้เห็นว่า ผู้บริหารของ TOPP ตั้งใจทำงานกันมากๆ
ไม่เน้นเอาเวลามาสร้างราคาหุ้นเหมือนกับบางบริษัท ที่ผุ้บริหาร ซื้อๆ ขายๆ ทำกำไรอยู่บ่อยครั้งครับ
ในส่วนถัดมาเราลองมาดูภาพรวมของ TOPP จากรายงานประจำปีล่าสุด 2556 ครับผม
หากเพื่อนๆ สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดาวโหลดเอกสารรายงานประจำปี 2556 ฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้ครับ
Link :
http://goo.gl/aYSLC9
ด้านงบการเงิน
1. ด้าน RoA และ RoE ในช่วง 4 - 5 ปีที่ผ่านมา อยู่ในระดับกลางๆ พอใช้ได้ครับ
2. Net Profit Margin ยังคงรักษาระดับไว้ได้ดีอยู่ในกรอบราวๆ 7% - 8% โดยประมาณครับ
3. P/E ในช่วงที่ผ่านมาประมาณ 6 - 8 เท่า ซึ่งน้องสี่มองว่ายังค่อนข้างอยู่ในระดับที่น้อย
4. P/BV < 1 เท่า ถือว่าดีในระดับหนึ่งครับ แต่ในส่วนนี้คงต้องไปเจาะดูงบการเงินกันต่อว่า
ที่ P/BV < 1 เท่า มาจากส่วนไหน? มาจากสินทรัพย์ , หนี้สิน , หรือส่วนของเจ้าของครับ
5. Dividend Yield อยู่ที่ประมาณ 3.5% - 4% กว่าๆ โดยประมาณ
ซึ่งในจุดนี้เองอาจมองได้ว่า ได้ % ปันผลค่อนข้างน้อยไปหน่อยครับ
แต่หากเรามองในอีกมุมมองหนึ่งเราก็จะพบว่า การที่ทาง TOPP จ่ายปันผลออกมาไม่มาก
จ่ายราวๆ 30% ของกำไรต่อหุ้น(EPS) ต่อปีที่ทำได้ อาจเป็นเพราะทาง TOPP ต้องการเก็บเงินไว้ในบริษัทมากกว่า
ซึ่งการที่ TOPP เก็บเงินไว้ในบริษัทนั้น หากเพื่อนๆ สังเกตช่องๆ หนึ่งจะพบสิ่งที่ตามมาก็คือ
จะทำให้มูลค่าหุ้นทางบัญชี(Book Value) เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยจากรูปข้างต้นจะสังเกตได้ว่า
จากปี 2553 Book Value ของ TOPP มีอยู่ประมาณ 111 บาท
จากนั้นในปีถัดๆ มาก็เพิ่มขึ้นทีละประมาณ 10 บาท เป็น 120 , 130 , 140 และปีล่าสุดคือปี 2014 ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 150 บาท
ซึ่งจากการที่เราได้ปันผลน้อยหน่อยตกราวๆ ปีละ 3 - 4% อาจดูเหมือนจะน้อย
แต่จริงๆ แล้วหากเทียบกับมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการสะสมกำไรต่อปีก็จะทำให้เราเห็นว่า
การจ่ายปันผลน้อย และเก็บเงินไว้ในบริษัท ก็เป็นเสมือนการเพิ่มมูลค่าต่อหุ้นได้อีกทางหนึ่งได้เช่นกันครับ
6. ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา TOPP ก็ได้จ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอครับ และปันผลที่จ่ายต่อปีก็ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นเช่นกันครับ
ด้านรายได้
ด้านรายได้ของทาง TOPP พบว่า รายได้ในช่วงปี 2553 - ปีปัจจุบัน รายได้ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องครับ
อาจเป็นจำนวนรายได้ที่ไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ค่อยๆ เติบโตเพิ่มสูงขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปครับ
ส่วนในด้านของกำไรสุทธิอยู่ในระดับที่พอใช้ได้ครับ อาจไม่ค่อยสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
อันเนื่องมาจากเหตุผลด้านต้นทุนจาก "เม็ดพลาสติก" ที่ราคาค่อนข้างจะผันผวนได้ง่ายครับ
ทำให้กำไรสุทธิไม่ค่อยเติบโตเท่าไหร่ แต่โดยรวมก็อยู่ในเกณฑ์ที่พอใช้ได้ ไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไปครับ
ด้านโครงสร้างรายได้ (อ้างอิงจากปี 2556)
ส่วนจะเป็นการขายในประเทศครับผม
ด้านสินทรัพย์ หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น
1. ด้านสินทรัพย์ ค่อยๆ เติบโตขึ้นทุกปี ถือว่าดีครับ
2. ด้านหนี้สิน อยู่ในระดับต่ำ ถือว่าปลอดภัยครับ
3. ด้านส่วนของผู้ถือหุ้น ค่อยๆ ขยับขึ้นเช่นกัน ถือว่าดีครับ
4. มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมายังไม่มีการเรียกเพิ่มทุน ใดๆ เพิ่มเติม
จึงมองได้ว่า กิจการมีความแข็งแกร่งด้านเงินทุนหมุนเวียนในกิจการที่ดีครับ (ไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นเดือดร้อน)
ด้านสินทรัพย์
จะอยู่ในสินทรัพย์หมุนเวียนและไม่หมุนเวียนประมาณส่วนละ 500 ล้านบาท
ซึ่งในสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนจะอยู่ในส่วนของ ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์
อีกส่วนคือสินทรัพย์หมุนเวียน จะมีสินค้าที่ Stock ไว้เพื่อขาย และลูกหนี้การค้าอีกส่วนหนึ่งครับ
ซึ่งในส่วนของลูกหนี้การค้านั้น ก็มีจำนวนอยู่ในระดับที่ปกติครับ ไม่น่าจะเกิดหนี้สูญเป็นจำนวนมากครับ
โดยนำข้อมูลมาจากหมายเหตุประกอบงบการเงินของไตรมาสที่ 2 ครับผม
ด้านหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น
1. ด้านหนี้สิน ส่วนใหญ่จะเป็นหนี้จากเจ้าหนี้การค้าครับ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการค้าขายครับ
และที่สำคัญก็คือทางกิจการ ไม่มีหนี้สินจากการกู้เงินเลยครับ จึงทำให้ไม่ต้องแบกรับภาระเรื่องของดอกเบี้ยจ่ายครับ
2. ด้านส่วนของผู้ถือหุ้น จะเห็นว่าทาง TOPP มีส่วนของผู้ถือหุ้นกระจุกตัวในบัญชีกำไรสะสมเยอะมากๆ
ถ้าเทียบเป็น % จะได้ประมาณ (807/899) *100 = ราวๆ 90% ของส่วนนี้ครับ
ในจุดนี้เองก็จะบอกกับเราได้ว่า กิจการมีศักยภาพในการทำกำไรที่สูงมากในช่วงตั้งแต่เปิดกิจการที่ผ่านมา
เพราะ กำไรสะสม คือกำไรที่สะสมมาจากกำไรสุทธิ ปีต่อปี แล้วมาทบๆ ๆ ๆ กันเรื่อยๆ
แปลว่าในแต่ละปีที่ผ่านมาตั้งแต่เปิดกิจการ กิจการทำกำไรได้เรื่อยๆ ครับผม
ด้านกราฟ
กราฟ Week
เนื่องจากหุ้น TOPP ค่อนข้างมีสภาพคล่องต่ำ ทำให้ราคาในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างจะโดนเหวี่ยงขึ้นแรง ลงแรงครับ
ลักษณะแท่งเทียนที่แสดงออกมาในกราฟ จึงค่อนข้างแปลกๆ สักหน่อยนะครับ ส่วนใหญ่ราคาจะ Side Way ออกข้างครับ
ข้อควรระวัง
1. TOPP เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องน้อยครับ ทำให้ราคากระโดดขึ้นแรงๆหรือลงแรงๆ ได้ครับ
2. หุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือของเจ้าของค่อนข้างเยอะครับ จึงควรติดตามข่าวเป็นระยะๆ ครับ
20. วิเคราะห์หุ้น TOPP : บริษัท ไทย โอ.พี.พี. จำกัด (มหาชน)
ลักษณะธุรกิจ
ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลายประเภทคือ ฟิล์มพลาสติกที่ใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ เพื่อใช้บรรจุภัณฑ์และหีบห่อ
บริการงานพิมพ์บนฉลากกาว หรือฟิล์มพลาสติกแบบม้วน และผลิตภัณฑ์หลอดลามิเนต เพื่อใช้บรรจุยาสีฟัน
ด้านผู้ถือหุ้นรายใหญ่
จากการรวมยอดพบว่า เครือกลุ่มตระกูลลิ่มอติบูลย์ ถือหุ้นโดยรวมประมาณอยู่ที่ราวๆ 60%
ซึ่งถือว่าค่อนข้างมีสัดส่วนที่มากและมีนัยสำคัญต่อบริษัท TOPP ที่ทางกลุ่มตระกูลลิ่มอติบูลย์
สามารถควบคุมมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้เกือบทั้งหมดของบริษัท
จึงทำให้ ผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ไม่สามารถรวบรวมคะแนนเสียงเพื่อถ่วงดุลได้ดีเท่าที่ควรครับ
แต่อย่างไรก็ตาม หากมองในด้านบวก การมีสัดส่วนของเครือกลุ่มตระกูลลิ่มอติบูลย์ ในสัดส่วนที่มากนั้น
ก็อาจจะผลดีก็ได้ ในแง่ของการตัดสินใจที่สามารถทำได้อย่างทันท่วงที รวดเร็วและเฉียบขาดก็เป็นได้ครับ
ด้านของข้อมูลการถือหุ้นย้อนหลัง
น้องสี่พบว่า ในปี 1997 ทางเครือกลุ่มตระกูลลิ่มอติบูลย์ ถือหุ้นเป็นสัดส่วนโดยรวมประมาณ 55% - 60%
ซึ่งเมื่อนำมาเทียบกับปีล่าสุด คือปี 2014 พบว่า เครือกลุ่มตระกูลลิ่มอติบูลย์ ก็ยังถือหุ้นอยู่ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันคือ 55% - 60%
ในจุดนี้เองทำให้น้องสี่ประเมินได้ว่า ทางเครือกลุ่มตระกูลลิ่มอติบูลย์ ต้องค่อนข้างมั่นใจในธุรกิจนี้มากๆ
เพราะถ้าไม่มั่นใจ คงต้องมีการเปลี่ยนมือของผู้ถือหุ้นไปหลายท่านและขายสัดส่วนของกิจการนี้ออกมาครับ
ดังนั้น จุดนี้น้องสี่คิดว่า น่าจะเป็นจุดแข็งอีกจุดหนึ่งที่น่าจับตามองพอสมควรเลยครับว่า
อะไรจึงทำให้ทางเครือกลุ่มตระกูลลิ่มอติบูลย์ ถึงมั่นใจในธุรกิจนี้ค่อนข้างมาก น้องสี่จึงพยายามไปหาข้อมูลมาได้ส่วนหนึ่งครับ
น้องสี่เลยไปสังเกตตรงรายชื่อกรรมการครับ แล้วสนใจในรายชื่อคนแรกครับ
คือ คุณพิพัฒ พะเนียงเวทย์ และดำรงตำแหน่งเป็น ประธานคณะกรรมการ ครับ
จากการไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ได้ความมาว่า คุณพิพัฒ พะเนียงเวทย์
ได้เป็นประธานกรรมการของเครือ "TF : บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน)"
หรือที่เรารู้จักกันในนามผลิตภัณฑ์ของ "มาม่า(MaMa) บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป" ทึ่เอ่ยชื่อมาปุ๊ป ต้องร้องอ๋อกันเลยทีเดียวครับ
ข้อมูลแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร (แบบ 59-2)
น้องสี่พบว่า ในส่วนนี้ทางผู้บริหารไม่มีรายงานการซื้อขายของหุ้น TOPP เลยครับ
ซึ่งน้องสี่มองว่า เป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะแสดงให้เห็นว่า ผู้บริหารของ TOPP ตั้งใจทำงานกันมากๆ
ไม่เน้นเอาเวลามาสร้างราคาหุ้นเหมือนกับบางบริษัท ที่ผุ้บริหาร ซื้อๆ ขายๆ ทำกำไรอยู่บ่อยครั้งครับ
ในส่วนถัดมาเราลองมาดูภาพรวมของ TOPP จากรายงานประจำปีล่าสุด 2556 ครับผม
หากเพื่อนๆ สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดาวโหลดเอกสารรายงานประจำปี 2556 ฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้ครับ
Link : http://goo.gl/aYSLC9
ด้านงบการเงิน
1. ด้าน RoA และ RoE ในช่วง 4 - 5 ปีที่ผ่านมา อยู่ในระดับกลางๆ พอใช้ได้ครับ
2. Net Profit Margin ยังคงรักษาระดับไว้ได้ดีอยู่ในกรอบราวๆ 7% - 8% โดยประมาณครับ
3. P/E ในช่วงที่ผ่านมาประมาณ 6 - 8 เท่า ซึ่งน้องสี่มองว่ายังค่อนข้างอยู่ในระดับที่น้อย
4. P/BV < 1 เท่า ถือว่าดีในระดับหนึ่งครับ แต่ในส่วนนี้คงต้องไปเจาะดูงบการเงินกันต่อว่า
ที่ P/BV < 1 เท่า มาจากส่วนไหน? มาจากสินทรัพย์ , หนี้สิน , หรือส่วนของเจ้าของครับ
5. Dividend Yield อยู่ที่ประมาณ 3.5% - 4% กว่าๆ โดยประมาณ
ซึ่งในจุดนี้เองอาจมองได้ว่า ได้ % ปันผลค่อนข้างน้อยไปหน่อยครับ
แต่หากเรามองในอีกมุมมองหนึ่งเราก็จะพบว่า การที่ทาง TOPP จ่ายปันผลออกมาไม่มาก
จ่ายราวๆ 30% ของกำไรต่อหุ้น(EPS) ต่อปีที่ทำได้ อาจเป็นเพราะทาง TOPP ต้องการเก็บเงินไว้ในบริษัทมากกว่า
ซึ่งการที่ TOPP เก็บเงินไว้ในบริษัทนั้น หากเพื่อนๆ สังเกตช่องๆ หนึ่งจะพบสิ่งที่ตามมาก็คือ
จะทำให้มูลค่าหุ้นทางบัญชี(Book Value) เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยจากรูปข้างต้นจะสังเกตได้ว่า
จากปี 2553 Book Value ของ TOPP มีอยู่ประมาณ 111 บาท
จากนั้นในปีถัดๆ มาก็เพิ่มขึ้นทีละประมาณ 10 บาท เป็น 120 , 130 , 140 และปีล่าสุดคือปี 2014 ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 150 บาท
ซึ่งจากการที่เราได้ปันผลน้อยหน่อยตกราวๆ ปีละ 3 - 4% อาจดูเหมือนจะน้อย
แต่จริงๆ แล้วหากเทียบกับมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการสะสมกำไรต่อปีก็จะทำให้เราเห็นว่า
การจ่ายปันผลน้อย และเก็บเงินไว้ในบริษัท ก็เป็นเสมือนการเพิ่มมูลค่าต่อหุ้นได้อีกทางหนึ่งได้เช่นกันครับ
6. ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา TOPP ก็ได้จ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอครับ และปันผลที่จ่ายต่อปีก็ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นเช่นกันครับ
ด้านรายได้
ด้านรายได้ของทาง TOPP พบว่า รายได้ในช่วงปี 2553 - ปีปัจจุบัน รายได้ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องครับ
อาจเป็นจำนวนรายได้ที่ไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ค่อยๆ เติบโตเพิ่มสูงขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปครับ
ส่วนในด้านของกำไรสุทธิอยู่ในระดับที่พอใช้ได้ครับ อาจไม่ค่อยสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
อันเนื่องมาจากเหตุผลด้านต้นทุนจาก "เม็ดพลาสติก" ที่ราคาค่อนข้างจะผันผวนได้ง่ายครับ
ทำให้กำไรสุทธิไม่ค่อยเติบโตเท่าไหร่ แต่โดยรวมก็อยู่ในเกณฑ์ที่พอใช้ได้ ไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไปครับ
ด้านโครงสร้างรายได้ (อ้างอิงจากปี 2556)
ส่วนจะเป็นการขายในประเทศครับผม
ด้านสินทรัพย์ หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น
1. ด้านสินทรัพย์ ค่อยๆ เติบโตขึ้นทุกปี ถือว่าดีครับ
2. ด้านหนี้สิน อยู่ในระดับต่ำ ถือว่าปลอดภัยครับ
3. ด้านส่วนของผู้ถือหุ้น ค่อยๆ ขยับขึ้นเช่นกัน ถือว่าดีครับ
4. มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมายังไม่มีการเรียกเพิ่มทุน ใดๆ เพิ่มเติม
จึงมองได้ว่า กิจการมีความแข็งแกร่งด้านเงินทุนหมุนเวียนในกิจการที่ดีครับ (ไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นเดือดร้อน)
ด้านสินทรัพย์
จะอยู่ในสินทรัพย์หมุนเวียนและไม่หมุนเวียนประมาณส่วนละ 500 ล้านบาท
ซึ่งในสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนจะอยู่ในส่วนของ ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์
อีกส่วนคือสินทรัพย์หมุนเวียน จะมีสินค้าที่ Stock ไว้เพื่อขาย และลูกหนี้การค้าอีกส่วนหนึ่งครับ
ซึ่งในส่วนของลูกหนี้การค้านั้น ก็มีจำนวนอยู่ในระดับที่ปกติครับ ไม่น่าจะเกิดหนี้สูญเป็นจำนวนมากครับ
โดยนำข้อมูลมาจากหมายเหตุประกอบงบการเงินของไตรมาสที่ 2 ครับผม
ด้านหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น
1. ด้านหนี้สิน ส่วนใหญ่จะเป็นหนี้จากเจ้าหนี้การค้าครับ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการค้าขายครับ
และที่สำคัญก็คือทางกิจการ ไม่มีหนี้สินจากการกู้เงินเลยครับ จึงทำให้ไม่ต้องแบกรับภาระเรื่องของดอกเบี้ยจ่ายครับ
2. ด้านส่วนของผู้ถือหุ้น จะเห็นว่าทาง TOPP มีส่วนของผู้ถือหุ้นกระจุกตัวในบัญชีกำไรสะสมเยอะมากๆ
ถ้าเทียบเป็น % จะได้ประมาณ (807/899) *100 = ราวๆ 90% ของส่วนนี้ครับ
ในจุดนี้เองก็จะบอกกับเราได้ว่า กิจการมีศักยภาพในการทำกำไรที่สูงมากในช่วงตั้งแต่เปิดกิจการที่ผ่านมา
เพราะ กำไรสะสม คือกำไรที่สะสมมาจากกำไรสุทธิ ปีต่อปี แล้วมาทบๆ ๆ ๆ กันเรื่อยๆ
แปลว่าในแต่ละปีที่ผ่านมาตั้งแต่เปิดกิจการ กิจการทำกำไรได้เรื่อยๆ ครับผม
ด้านกราฟ
กราฟ Week
เนื่องจากหุ้น TOPP ค่อนข้างมีสภาพคล่องต่ำ ทำให้ราคาในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างจะโดนเหวี่ยงขึ้นแรง ลงแรงครับ
ลักษณะแท่งเทียนที่แสดงออกมาในกราฟ จึงค่อนข้างแปลกๆ สักหน่อยนะครับ ส่วนใหญ่ราคาจะ Side Way ออกข้างครับ
ข้อควรระวัง
1. TOPP เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องน้อยครับ ทำให้ราคากระโดดขึ้นแรงๆหรือลงแรงๆ ได้ครับ
2. หุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือของเจ้าของค่อนข้างเยอะครับ จึงควรติดตามข่าวเป็นระยะๆ ครับ