ไชโย...สลิ่มเงิบอีกแล้วครับท่าน คนอิสาน ตั้งร้อยละ 5.6 แนะ ที่ไม่พอใจ "ตู่" เป็นนายกฯ

กระทู้สนทนา
วันนี้ (26 ส.ค. 57) อีสานโพล (E-Saan Poll) ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เผยผลสำรวจเรื่อง “คนอีสานประเมินการเมืองไทย”   ผลสำรวจพบว่า คนอีสานประเมินการทำงานของ คสช. ครบ 3 เดือนได้เกรดเฉลี่ย 2.78 ดีขึ้นเมื่อเทียบกับเกรดเฉลี่ย 2.50 ของผลงานรอบ 1 เดือน เกินครึ่งรู้สึกเฉยๆ กับนายกฯคนใหม่  อยากเห็นครม. ที่มีสัดส่วนทหารและพลเรือนใกล้เคียงกันหรือไม่ควรมีทหารมากกว่าพลเรือน วอนแก้ปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าเกษตร เชื่อการปฏิรูปพลังงาน ยุค คสช. ประชาชนจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย
ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการอีสานโพล เปิดเผยว่า การสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของคนอีสานเกี่ยวกับการประเมินผลการทำงานของ คสช.  และสถานการณ์การเมืองไทย โดยทำการสำรวจระหว่างวันที่ 22-24  สิงหาคม 2557 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,060 ราย ในเขตพื้นที่ภาคอีสาน 20 จังหวัด  

เมื่อสอบถามความเห็นของกลุ่มตัวอย่างชาวอีสานว่า ท่านประเมินการทำงานของ คสช. ในการเข้ามาแก้วิกฤตบ้านเมืองในรอบ 3 เดือนอย่างไร  พบว่าอันดับหนึ่ง ร้อยละ 53.3   ประเมินว่าการทำงานของ คสช.อยู่ในระดับดี   รองลงมา ร้อยละ 27.5 ประเมินว่าพอใช้   ร้อยละ 15.0   ประเมินว่าดีมาก   ร้อยละ 3.3  ประเมินว่าควรปรับปรุง  และมีเพียงร้อยละ  0.9  ประเมินไม่ผ่านหรือสอบตก ซึ่งประมวลเป็นเกรดเฉลี่ยได้ 2.78 เพิ่มขึ้นมากกว่าผลงานในรอบ 1 เดือนซึ่งได้เกรดเฉลี่ย 2.50

เมื่อสอบถามถึงท่านรู้สึกอย่างไรเมื่อ สนช. ลงมติเห็นชอบให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี   กลุ่มตัวอย่างเกินครึ่งหรือร้อยละ 53.8  รู้สึกเฉย ๆ  รองลงมาร้อยละ 40.6  รู้สึกพอใจ  และอีกร้อยละ  5.6   รู้สึกไม่พอใจ
   
เมื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ควรมีสัดส่วนระหว่างทหาร (รวมอดีตทหาร) และพลเรือนอย่างไรจึงจะเหมาะสม  พบว่าอันดับหนึ่งกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 52.3  ระบุว่าสัดส่วนพลเรือนและทหารควรใกล้เคียงกัน   รองลงมาร้อยละ 38.6  เห็นว่าสัดส่วนพลเรือนควรมากกว่าทหาร และมีเพียงร้อยละ 9.1  เห็นว่าสัดส่วนทหารควรมากกว่าพลเรือน

นอกจากนี้อีสานโพลยังสอบถามด้วยคำถามปลายเปิดต่อว่า  ท่านอยากให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่แก้ปัญหาอะไรให้จังหวัดของท่านมากที่สุด  พบว่าส่วนใหญ่ต้องการให้แก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องเป็นหลักตามมาด้วยปัญหาทางสังคม เมื่อแยกย่อยรายละเอียด พบว่าอันดับหนึ่ง ร้อยละ 35.8   อยากให้แก้ปัญหาค่าครองชีพจากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่แพง  รองลงมา ร้อยละ 10.3 ปัญหาราคาสินค้าเกษตร เช่น ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา ตามมาด้วย ร้อยละ 9.4   ปัญหาราคาน้ำมันและพลังงานอื่นๆ  ร้อยละ  9.4   ปัญหายาเสพติด  และร้อยละ 8.8 ปัญหาอาชญากรรม

ท้ายสุด เมื่อถามความคิดเพื่อประเมินว่าการปฏิรูปด้านพลังงานในยุค คสช. จะส่งผลให้ประชาชนได้ประโยชน์มากขึ้นหรือไม่ พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 55.8  เห็นว่าได้ประโยชน์มากขึ้น   รองลงมาร้อยละ 45.7 ไม่แตกต่างจากเดิม  และเพียงร้อยละ  1.8  เห็นว่าเสียประโยชน์มากขึ้น        

ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง มีความเชื่อมั่นในการพยากรณ์ 99% และคลาดเคลื่อนได้บวกลบ 4%  ประกอบด้วย เพศชาย ร้อยละ 48.7   เพศหญิง ร้อยละ 51.3  ส่วนใหญ่อายุ 46-55  ปี ร้อยละ 27.6  รองลงมาอายุ 26-35  ปี ร้อยละ 26.4  อายุ 36-45  ปี ร้อยละ 26.3   อายุ 56-60  ปี ร้อยละ 8.3  อายุ 18-25  ปี ร้อยละ 7.5 และอายุ 61 ปีขึ้นไป ร้อยละ 4.0

ส่วนระดับการศึกษาส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับประถมศึกษา/ต่ำกว่า  ร้อยละ 38.4   รองลงมาปริญญาตรี  ร้อยละ 23.4  มัธยมศึกษาตอนต้น ร้อยละ 15.5   มัธยมปลาย/ระดับปวช. ร้อยละ 14.7  อนุปริญญา/ปวส. ร้อยละ 4.9  ปริญญาโท/ปริญญาเอก  ร้อยละ 3.1  ด้านอาชีพส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม   ร้อยละ 37.9  รองลงมาอาชีพรับจ้างทั่วไป/ใช้แรงงาน  ร้อยละ 15.5   ค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว/งานอิสระ ร้อยละ 12.7  รับราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ   ร้อยละ 11.5  พนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 10.9           พ่อบ้าน/แม่บ้าน  ร้อยละ 5.1  นักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 4.1  และอื่นๆ ร้อยละ 2.3  

ด้านรายได้เฉลี่ยต่อเดือนส่วนใหญ่อยู่ที่ 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 38.6  รองลงมามีรายได้ไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 19.7   รายได้  10,001-15,000 บาท ร้อยละ 15.1   รายได้ 15,001-20,000 บาท  ร้อยละ 14.8  รายได้ 20,001-40,000 ร้อยละ 10.2  และรายได้มากกว่า 40,001 บาทขึ้นไป ร้อยละ 1.6  

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1409040423
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่