ขุ่นพระ .....!!!!!!!
จ่าว่าประเทศเรางมงายกันเกืนไปหรือเปล่า ????????
ปี พศ.2557
น้องเขียว เด็กหญิงตัวเล็กๆ จ.อุบลฯ
ต้องใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียวมาร่วม 10 ปี
เพราะพ่อแม่ของน้องเขียวโดนขับออกจากหมู่บ้านด้วยข้อหาเป็น "ผีปอบ"
อืมมมม....จ่านึกว่าเราอยู่กันในยุคสุโขทัย หรือ ลพบุรี ...!!!!!
มีงานวิจัยของนักวิชาการ
ที่เขาเคยศึกษาเรื่องแบบนี้ไว้
และ สรุปออกมาว่า "ผีปอบ" นั้น จริงๆมันเป็นเรื่องที่มีนัยยะทาง "รัฐศาสตร์" และ "สังคมศาสตร์" ครับ
การจัดหมวดหมู่คน , การผลักใสคนอื่นที่ไม่เหมือนตน
หรือ แยกประเภทของคนที่คิดต่าง หรือ ไม่เข้าพวกนั้น
รวมๆแล้ว ในทางวิชาการมันคือ group polarization ครัฟฟฟฟฟฟฟ
และ มันเกิดขึ้นได้ทั้งในมิติของ การเมือง , การปกครอง ไปจนถึงมิติทางสังคม
วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะ group polarization ก็คือการผลิต "วาทกรรม"
เพื่อให้วาทกรรมที่ว่านั้นทำหน้าที่ social discrimination หรือ การกีดกันทางสังคม
(จ่ามองว่าคำประเภท เสื้อแดง , เสื้อเหลือง ,
ประชาธิปไตย , เผด็จการ , สลิ่มสาป , ควายแดง , แมงสาป และ ระบอบทักษิณ
คือตัวอย่างของการ group polarization ที่ไม่ต่างไปจากคำว่า "ปอบ" ครัฟฟฟ)
หากเป็นสมัยร้อยปีก่อน
ถ้าการเป็นผีปอบคือการไร้ที่ยืนทางสังคม
อันนั้นมันก็พอจะเข้าใจกันได้ ว่าคนเรายังขาดแคลน "องค์ความรู้"
แต่นี่มันปี 2557 ในยุคของท่านผู้นำ พณ.ท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายทหารผู้เสียสละเพื่อปกป้องประชาธิปไตยนะครัฟฟฟฟ ...!!!!!!!
ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าจะมีกรณีอย่างน้องเขียว ที่ จ.อุบลฯให้ได้ยินกันอีก (จ่าดูแล้วคงมีต่อไปเรื่อยๆอีกนานเท่านาน)
ผีฝรั่งวันฮาโลวีน
แม่มดฝรั่ง
ก่อนหน้านี้เคยมีเรื่อง "ผีปอบ" ที่ จ.เพชรบูรณ์
ที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกคนร่วมหมู่บ้าน คนร่วมสังคมกล่าวหา
เพราะแกมีพฤติกรรมที่ชอบกินไก่สดๆแบบไม่ผ่านการปรุงอาหาร
แกจึงได้รับเกียรติให้เป็น "ผีปอบ" ทั้งๆที่ไม่ได้อยากเป็น
จ่าว่าสังคมไทยบางส่วนยังมีความ "งมงาย" แบบฝังรากลึก
และ เป็นความงมงายที่ไม่มองหาเหตุ มองหาผลใดๆทั้งสิ้น
สังคมชนบทยังคงเชื่อในเรื่องลี้ลับที่มองไม่เห็น
ไม่ใช่ว่าเรื่องลี้ลับมันไม่มีนะครัฟฟฟ
เพราะในโลกใบนี้มันก็มีบางอย่างที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้จริงๆ
ขนาดฝรั่งเองในยุคสมัยหนึ่งก็ยังมีความเชื่อเรื่องของ "แม่มด" กันเลย
อะไรที่มันเป็น "ความเชื่อ" ของสังคม
แถมเป็นความเชื่อในแบบ "งมงาย" นั้น
หากมีใครไปคัดง้าง ก็อาจจะไม่มีที่ยืนในสังคมได้
เพราะจะถูกอ้าง "ความเชื่อ" ที่ว่านั้น ว่ามันคือความ "ศรัทธา"
เหมือนที่มีคนบางส่วนเชื่อว่า "คนดีย่อมไม่โกง" หรือ "คนรวยแล้วย่อมไม่โกง"
โกสท์บัสเตอร์.....นักจับผีฝรั่ง
ในความเป็นจริงนั้น
"งมงาย" กับ "ศรัทธา" มันต่างกันสุดขั้ว
เพราะ "ศรัทธา" มันเป็นความเชื่อที่เจือด้วยเหตุและผล
แต่ "งมงาย" นั้นมันเป็นความเชื่อในเชิงของการขาดสติ
ของแบบนี้มันมีทุกชาติ ทุกภาษาครัฟฟฟฟ
ในตอนที่กาลิเลโอบอกว่า "โลกกลม" นั้น
เขาแทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ไม่มีที่ยืนในสังคมเลย
เพราะการประกาศของเขามันขัดกับความเชื่อของศาสนจักร
ที่พร่ำสอนกันมาตลอดในยุคนั้น ว่าโลกของเรานั้นมัน "แบน"
กาลิเลโอต้องหนีตายแบบหัวซุกหัวซุน เพราะโดนไล่ฆ่า
กว่าจะพิสูจน์ได้ว่าโลกกลมจริงๆ
กาลิเลโอก็หนีจนรองเท้าสึกไปหลายคู่เลยมั้ง ???!!!!!!!
ผีฝรั่งมาเป็นโครงกระดูก
"เรด เดวิล".......ปีศาจแดง
จวบจนถึงศตวรรษที่ 14
ที่โจฮัน คูเต็นเบิร์ก คิดค้นแท่นพิมพ์ขึ้นมา
องค์ความรู้ต่างๆจึงถูกตีพิมพ์ เพื่อให้มนุษย์ได้เรียนรู้แบบมีเหตุมีผลมากขึ้น
ความ "งมงาย" ถึงได้เริ่มต้นลดน้อยลงไปในสังคมตะวันตก
แต่คงไม่ใช่กรณี "ผีปอบ" ในสังคมแบบไทยๆเราแน่ๆครัฟฟฟ
(หรือแม้แต่กรณีวาทกรรมการเมืองก็เถอะ มันก็ยังมีคนงมงายตามวาทกรรมนั้นๆ)ให้เห็นอยู่ในสังคมนี้
เคยสังเกตุมั๊ยครฟฟฟ
ว่าคนที่โดนกล่าวหาว่าเป็น "ผีปอบ" นั้น
มักจะเป็นคนที่เรียนไม่สูง และ มีอายุพอสมควร
อีกทั้งยังมี "เอกลักษณ์ร่วม" อีกอย่าง
ก็คือมักเป็นคนแก่ที่โดดเดี่ยว ไม่มีลูกหลาน
และมักเป็นคนที่มีนิสัยรักสันโดษ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร
ที่สำคัญ.....จ่าแปลกใจมากว่าทุกคนมักเป็นคนยากจน....!!!!!
คุณสมบัติเหล่านี้แหละ มักถูกมอบตำแหน่ง "ปอบ" เสมอๆในสังคมชนบท
คำถามก็คือ
ทำไมคนที่โดนหาว่าเป็น "ผีปอบ" นั้น
ทำไมถึงไม่เป็นคนหนุ่ม คนสาวบ้างละ ???
ทำไมไม่มีคนเรียนสูง จบ ป.โท หรือ ป.เอก ????
และที่สำคัญ หากเป็น "ผีปอบ" จริงๆ
หากมีอิทธิฤทธิ์สามารถเข้าสิงกินตับใตใส้พุงคนอื่นได้จริง
ทำไมไม่ใช้อิทฤทธิ์นั้นเอาตัวรอดให้พ้นจากการกล่าวหาของสังคมได้ซะเลย ????
ก็เก่งขนาดเข้าสิงชาวบ้านชาวช่องได้ขนาดนั้น
มัมมี่อีจิปท์.....ออกแนว "อนัคซุนนามุน"
แวมไพร์.....ผีดูดเลือด
จ่าเห็นข่าวปอบมาหลายต่อหลายข่าว
จ่ามองว่าคนที่โดนกล่าวหาว่าเป็น "ผีปอบ" นั้น
เขาน่าจะเป็นคนที่มีรสนิยมในการบริโภค "อาหารดิบ" มากกว่าครัฟฟฟ
และส่วนใหญ่มักเป็นคนแก่ที่ไม่มีลูกหลานดูแล
จึงมักหาทางออกด้วยการไปขโมยเป็ด ไก่ ของเพื่อนบ้านมากิน
แถมยังมีความเป็นคนสันโดษ ที่ไม่เข้าพวก ไม่สุงสิงกับเพื่อนบ้านในสังคมของตน
เห็นมั๊ย....องค์ประกอบครบที่จะโดนกว่าหาว่าเป็น "ผีปอบ" เลย
หรือบางครั้ง
ก็มักมีเรื่องของการจัดสรรที่ดินทำกินมาเกี่ยวข้อง
เพราะคนเป็น "ผีปอบ" อาจมีที่ดินที่ได้รัยการจัดสรร
และ ที่ดินนั้นเป็นที่หมายปองของคนในชุมชน (หรือแม้แต่ลูกหลานญาติพี่น้องของตนเองก็เถอะ)
การกล่าวหาใครว่าเป็น "ผีปอบ" ในหลายๆครั้ง
จึงลง้อยด้วยการขับไล่คนที่โดนกล่าวหาออกจากชุมชน
และ จากนั้นก็จะมีใครก็ไม่รู้เข้าไปเอาที่ดินของ "ผีปอบ" ไปจัดการหาประโยชน์
ตราบเท่าที่เราไม่หาเหตุหาผล
เรากับประเทศในแถบแอฟริกาบางประเทศ
ที่ยังมีความเชื่อเรื่องของหมอผี เรื่องของซอมบี้ ก็คงไม่ได้ต่างกันหรอกครัฟฟฟ
หลิว อี้ เฟย ผีจีนสุดสวย ในโปเยโปโลเย (รีเมค)
ประเทศด้อยพัฒนาในแอฟริกา
ถึงขนาดใข้ "หมอผี" มาทำพิธี
เพื่อให้ทีมชาติของพวกเขามีชัยในฟุตบอลโลก
แต่นับตั้งแต่ปี 1930
ที่ "จูลส์ ริเม่ท์" ให้กำเนิดฟุตบอลโลก
ยังไม่มีประเทศจากแอฟริกาที่ได้แช้มป์ฟุตบอลโลกเลย
มีก็แค่ คาเมรูน ในยุคของ โรเจอร์ มิลล่า
และทีมชาติ "ดาวดำ" กาน่า ที่ได้เข้าไปในรอบลึกๆ
ทั้งๆที่หมดไก่ไปไม่รู้กี่ตัวต่อกี่ตัว ที่หมอผีเอามาเชือดทำพิธีตามความงมงายที่ปลูกฝังกันมา
หรือแม้แต่เรื่องงมงายแบบที่ "หนู กันภัย" ทำการตลาดไว้
หากว่าแน่จริง จ่าว่าตัวหนูเองนั่นแหละที่ควรสักยันต์ห้าแถวของตนเอง
แล้วเอามีด "แทง" ออกสื่อพิสูจน์เลยจะดีกว่าครัฟฟฟ....เอาให้เห็นจะๆเลยว่าเหนียวจริงหรือเปล่า
จ่าว่าเลือดกระฉูดดิ้นพราดๆหามส่งโรงหมอกันไม่ทันแน่ๆ
นิโคล คิดแม่น ผีสวยจาก ดิ ออเธอร์
แต่ที่หนูทำตอนพิสูจน์
ก็คือเอามีดทื่อๆมาสับแบบยั้งๆ
ถ้าแน่จริงอย่า "สับ" ครฟฟฟ แต่ต้อง "แทง" ให้ดูเลย
จะได้เลิกงมงายกันซักที
ความ "งมงาย" ที่ว่านี้
พอมีคนขอท้าพิสูจน์เข้าหน่อย
ก็มักถูกปรามด้วยคำพูดที่ว่า "ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่"
สาวกท่านเค้าท์ แดรกคิวล่า
หากผีปอบในสังคมไทยมีจริง
หาก หนู กันภัย มีอาคมจริงๆ
หาก เณรแอ มีความศักสิทธิ์ปลุกเศกกุมารทองจริงๆ
จ่ารับรองว่าคนเหล่านี้ไม่ได้อยู่เมืองไทยหรอกครัฟฟฟ
เพราะคงโดนประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย
หรือโดนองค์กรใหญ่ๆอย่าง NASA, CIA หรือ KGB ซื้อตัวไปตั้งนานแล้ว
เขาจะได้เอาไปใช้งาน
ไปรบราฆ่าฟันกับศัตรูของเขา
ในแบบที่ไม่ต้องเปลืองนิวเคลียร์ซักลูกเลย
ตราบเท่าที่สังคมเราส่วนหนึ่งยัง "งมงาย"
มันก็ยังจะมีคนต้องตกเป็นเหยื่อในการถูกยัดเยียดตำแหน่ง "ผีปอบ" ต่อไปครัฟฟฟ
จ่าว่า "ผีปอบ” ในทางรัฐศาสตร์นั้น
มันคือรูปแบบของวาทกรรมที่จำแนกผู้คนที่ "ไม่เข้าพวก"
ในขณะที่ "ผีปอบ" ทางสังคมศาสตร์นั้น
มันอาจเป็นการบริหารความเชื่อของสังคม
ในการที่จะกำหนดกฏระเบียบเพื่อควบคุมพฤติกรรมต่างๆของผู้คน
เช่น ห้ามด่าไอ้สมคิด เลิศไพทูรย์ ในรั้ว มธ. , ห้ามด่าไอ้อุ๋ยเรื่องกันสำรอง 30%
ทั้งนี้ก็เพื่อให้สังคมที่ว่านี้จะได้เป็นไปตามทิศทางที่ "ผู้ปกครอง" ต้องการครัฟฟฟฟ
เจนนิเฟอร์ เลิฟ ฮิววิต หญิงสาวผู้สื่อสารกับผีใน โกสท์ วิสเพอเรอร์
ระหว่าง "ศรัทธา" กับ "งมงาย" มันมีแค่เส้นบางๆกั้นอยู่จริงๆ !!!!!!!!!!!!!!
จ่าพิเชษฐ์
เฮ้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ....................จ่าโคดจะกลัวผีเลยจริงๆว่ะ ...!!!!!!!!!!!!!!!!!
จ่าว่าประเทศเรางมงายกันเกืนไปหรือเปล่า ????????
ปี พศ.2557
น้องเขียว เด็กหญิงตัวเล็กๆ จ.อุบลฯ
ต้องใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียวมาร่วม 10 ปี
เพราะพ่อแม่ของน้องเขียวโดนขับออกจากหมู่บ้านด้วยข้อหาเป็น "ผีปอบ"
อืมมมม....จ่านึกว่าเราอยู่กันในยุคสุโขทัย หรือ ลพบุรี ...!!!!!
มีงานวิจัยของนักวิชาการ
ที่เขาเคยศึกษาเรื่องแบบนี้ไว้
และ สรุปออกมาว่า "ผีปอบ" นั้น จริงๆมันเป็นเรื่องที่มีนัยยะทาง "รัฐศาสตร์" และ "สังคมศาสตร์" ครับ
การจัดหมวดหมู่คน , การผลักใสคนอื่นที่ไม่เหมือนตน
หรือ แยกประเภทของคนที่คิดต่าง หรือ ไม่เข้าพวกนั้น
รวมๆแล้ว ในทางวิชาการมันคือ group polarization ครัฟฟฟฟฟฟฟ
และ มันเกิดขึ้นได้ทั้งในมิติของ การเมือง , การปกครอง ไปจนถึงมิติทางสังคม
วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะ group polarization ก็คือการผลิต "วาทกรรม"
เพื่อให้วาทกรรมที่ว่านั้นทำหน้าที่ social discrimination หรือ การกีดกันทางสังคม
(จ่ามองว่าคำประเภท เสื้อแดง , เสื้อเหลือง ,
ประชาธิปไตย , เผด็จการ , สลิ่มสาป , ควายแดง , แมงสาป และ ระบอบทักษิณ
คือตัวอย่างของการ group polarization ที่ไม่ต่างไปจากคำว่า "ปอบ" ครัฟฟฟ)
หากเป็นสมัยร้อยปีก่อน
ถ้าการเป็นผีปอบคือการไร้ที่ยืนทางสังคม
อันนั้นมันก็พอจะเข้าใจกันได้ ว่าคนเรายังขาดแคลน "องค์ความรู้"
แต่นี่มันปี 2557 ในยุคของท่านผู้นำ พณ.ท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายทหารผู้เสียสละเพื่อปกป้องประชาธิปไตยนะครัฟฟฟฟ ...!!!!!!!
ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าจะมีกรณีอย่างน้องเขียว ที่ จ.อุบลฯให้ได้ยินกันอีก (จ่าดูแล้วคงมีต่อไปเรื่อยๆอีกนานเท่านาน)
ผีฝรั่งวันฮาโลวีน
แม่มดฝรั่ง
ก่อนหน้านี้เคยมีเรื่อง "ผีปอบ" ที่ จ.เพชรบูรณ์
ที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกคนร่วมหมู่บ้าน คนร่วมสังคมกล่าวหา
เพราะแกมีพฤติกรรมที่ชอบกินไก่สดๆแบบไม่ผ่านการปรุงอาหาร
แกจึงได้รับเกียรติให้เป็น "ผีปอบ" ทั้งๆที่ไม่ได้อยากเป็น
จ่าว่าสังคมไทยบางส่วนยังมีความ "งมงาย" แบบฝังรากลึก
และ เป็นความงมงายที่ไม่มองหาเหตุ มองหาผลใดๆทั้งสิ้น
สังคมชนบทยังคงเชื่อในเรื่องลี้ลับที่มองไม่เห็น
ไม่ใช่ว่าเรื่องลี้ลับมันไม่มีนะครัฟฟฟ
เพราะในโลกใบนี้มันก็มีบางอย่างที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้จริงๆ
ขนาดฝรั่งเองในยุคสมัยหนึ่งก็ยังมีความเชื่อเรื่องของ "แม่มด" กันเลย
อะไรที่มันเป็น "ความเชื่อ" ของสังคม
แถมเป็นความเชื่อในแบบ "งมงาย" นั้น
หากมีใครไปคัดง้าง ก็อาจจะไม่มีที่ยืนในสังคมได้
เพราะจะถูกอ้าง "ความเชื่อ" ที่ว่านั้น ว่ามันคือความ "ศรัทธา"
เหมือนที่มีคนบางส่วนเชื่อว่า "คนดีย่อมไม่โกง" หรือ "คนรวยแล้วย่อมไม่โกง"
โกสท์บัสเตอร์.....นักจับผีฝรั่ง
ในความเป็นจริงนั้น
"งมงาย" กับ "ศรัทธา" มันต่างกันสุดขั้ว
เพราะ "ศรัทธา" มันเป็นความเชื่อที่เจือด้วยเหตุและผล
แต่ "งมงาย" นั้นมันเป็นความเชื่อในเชิงของการขาดสติ
ของแบบนี้มันมีทุกชาติ ทุกภาษาครัฟฟฟฟ
ในตอนที่กาลิเลโอบอกว่า "โลกกลม" นั้น
เขาแทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ไม่มีที่ยืนในสังคมเลย
เพราะการประกาศของเขามันขัดกับความเชื่อของศาสนจักร
ที่พร่ำสอนกันมาตลอดในยุคนั้น ว่าโลกของเรานั้นมัน "แบน"
กาลิเลโอต้องหนีตายแบบหัวซุกหัวซุน เพราะโดนไล่ฆ่า
กว่าจะพิสูจน์ได้ว่าโลกกลมจริงๆ
กาลิเลโอก็หนีจนรองเท้าสึกไปหลายคู่เลยมั้ง ???!!!!!!!
ผีฝรั่งมาเป็นโครงกระดูก
"เรด เดวิล".......ปีศาจแดง
จวบจนถึงศตวรรษที่ 14
ที่โจฮัน คูเต็นเบิร์ก คิดค้นแท่นพิมพ์ขึ้นมา
องค์ความรู้ต่างๆจึงถูกตีพิมพ์ เพื่อให้มนุษย์ได้เรียนรู้แบบมีเหตุมีผลมากขึ้น
ความ "งมงาย" ถึงได้เริ่มต้นลดน้อยลงไปในสังคมตะวันตก
แต่คงไม่ใช่กรณี "ผีปอบ" ในสังคมแบบไทยๆเราแน่ๆครัฟฟฟ
(หรือแม้แต่กรณีวาทกรรมการเมืองก็เถอะ มันก็ยังมีคนงมงายตามวาทกรรมนั้นๆ)ให้เห็นอยู่ในสังคมนี้
เคยสังเกตุมั๊ยครฟฟฟ
ว่าคนที่โดนกล่าวหาว่าเป็น "ผีปอบ" นั้น
มักจะเป็นคนที่เรียนไม่สูง และ มีอายุพอสมควร
อีกทั้งยังมี "เอกลักษณ์ร่วม" อีกอย่าง
ก็คือมักเป็นคนแก่ที่โดดเดี่ยว ไม่มีลูกหลาน
และมักเป็นคนที่มีนิสัยรักสันโดษ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร
ที่สำคัญ.....จ่าแปลกใจมากว่าทุกคนมักเป็นคนยากจน....!!!!!
คุณสมบัติเหล่านี้แหละ มักถูกมอบตำแหน่ง "ปอบ" เสมอๆในสังคมชนบท
คำถามก็คือ
ทำไมคนที่โดนหาว่าเป็น "ผีปอบ" นั้น
ทำไมถึงไม่เป็นคนหนุ่ม คนสาวบ้างละ ???
ทำไมไม่มีคนเรียนสูง จบ ป.โท หรือ ป.เอก ????
และที่สำคัญ หากเป็น "ผีปอบ" จริงๆ
หากมีอิทธิฤทธิ์สามารถเข้าสิงกินตับใตใส้พุงคนอื่นได้จริง
ทำไมไม่ใช้อิทฤทธิ์นั้นเอาตัวรอดให้พ้นจากการกล่าวหาของสังคมได้ซะเลย ????
ก็เก่งขนาดเข้าสิงชาวบ้านชาวช่องได้ขนาดนั้น
มัมมี่อีจิปท์.....ออกแนว "อนัคซุนนามุน"
แวมไพร์.....ผีดูดเลือด
จ่าเห็นข่าวปอบมาหลายต่อหลายข่าว
จ่ามองว่าคนที่โดนกล่าวหาว่าเป็น "ผีปอบ" นั้น
เขาน่าจะเป็นคนที่มีรสนิยมในการบริโภค "อาหารดิบ" มากกว่าครัฟฟฟ
และส่วนใหญ่มักเป็นคนแก่ที่ไม่มีลูกหลานดูแล
จึงมักหาทางออกด้วยการไปขโมยเป็ด ไก่ ของเพื่อนบ้านมากิน
แถมยังมีความเป็นคนสันโดษ ที่ไม่เข้าพวก ไม่สุงสิงกับเพื่อนบ้านในสังคมของตน
เห็นมั๊ย....องค์ประกอบครบที่จะโดนกว่าหาว่าเป็น "ผีปอบ" เลย
หรือบางครั้ง
ก็มักมีเรื่องของการจัดสรรที่ดินทำกินมาเกี่ยวข้อง
เพราะคนเป็น "ผีปอบ" อาจมีที่ดินที่ได้รัยการจัดสรร
และ ที่ดินนั้นเป็นที่หมายปองของคนในชุมชน (หรือแม้แต่ลูกหลานญาติพี่น้องของตนเองก็เถอะ)
การกล่าวหาใครว่าเป็น "ผีปอบ" ในหลายๆครั้ง
จึงลง้อยด้วยการขับไล่คนที่โดนกล่าวหาออกจากชุมชน
และ จากนั้นก็จะมีใครก็ไม่รู้เข้าไปเอาที่ดินของ "ผีปอบ" ไปจัดการหาประโยชน์
ตราบเท่าที่เราไม่หาเหตุหาผล
เรากับประเทศในแถบแอฟริกาบางประเทศ
ที่ยังมีความเชื่อเรื่องของหมอผี เรื่องของซอมบี้ ก็คงไม่ได้ต่างกันหรอกครัฟฟฟ
หลิว อี้ เฟย ผีจีนสุดสวย ในโปเยโปโลเย (รีเมค)
ประเทศด้อยพัฒนาในแอฟริกา
ถึงขนาดใข้ "หมอผี" มาทำพิธี
เพื่อให้ทีมชาติของพวกเขามีชัยในฟุตบอลโลก
แต่นับตั้งแต่ปี 1930
ที่ "จูลส์ ริเม่ท์" ให้กำเนิดฟุตบอลโลก
ยังไม่มีประเทศจากแอฟริกาที่ได้แช้มป์ฟุตบอลโลกเลย
มีก็แค่ คาเมรูน ในยุคของ โรเจอร์ มิลล่า
และทีมชาติ "ดาวดำ" กาน่า ที่ได้เข้าไปในรอบลึกๆ
ทั้งๆที่หมดไก่ไปไม่รู้กี่ตัวต่อกี่ตัว ที่หมอผีเอามาเชือดทำพิธีตามความงมงายที่ปลูกฝังกันมา
หรือแม้แต่เรื่องงมงายแบบที่ "หนู กันภัย" ทำการตลาดไว้
หากว่าแน่จริง จ่าว่าตัวหนูเองนั่นแหละที่ควรสักยันต์ห้าแถวของตนเอง
แล้วเอามีด "แทง" ออกสื่อพิสูจน์เลยจะดีกว่าครัฟฟฟ....เอาให้เห็นจะๆเลยว่าเหนียวจริงหรือเปล่า
จ่าว่าเลือดกระฉูดดิ้นพราดๆหามส่งโรงหมอกันไม่ทันแน่ๆ
นิโคล คิดแม่น ผีสวยจาก ดิ ออเธอร์
แต่ที่หนูทำตอนพิสูจน์
ก็คือเอามีดทื่อๆมาสับแบบยั้งๆ
ถ้าแน่จริงอย่า "สับ" ครฟฟฟ แต่ต้อง "แทง" ให้ดูเลย
จะได้เลิกงมงายกันซักที
ความ "งมงาย" ที่ว่านี้
พอมีคนขอท้าพิสูจน์เข้าหน่อย
ก็มักถูกปรามด้วยคำพูดที่ว่า "ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่"
สาวกท่านเค้าท์ แดรกคิวล่า
หากผีปอบในสังคมไทยมีจริง
หาก หนู กันภัย มีอาคมจริงๆ
หาก เณรแอ มีความศักสิทธิ์ปลุกเศกกุมารทองจริงๆ
จ่ารับรองว่าคนเหล่านี้ไม่ได้อยู่เมืองไทยหรอกครัฟฟฟ
เพราะคงโดนประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย
หรือโดนองค์กรใหญ่ๆอย่าง NASA, CIA หรือ KGB ซื้อตัวไปตั้งนานแล้ว
เขาจะได้เอาไปใช้งาน
ไปรบราฆ่าฟันกับศัตรูของเขา
ในแบบที่ไม่ต้องเปลืองนิวเคลียร์ซักลูกเลย
ตราบเท่าที่สังคมเราส่วนหนึ่งยัง "งมงาย"
มันก็ยังจะมีคนต้องตกเป็นเหยื่อในการถูกยัดเยียดตำแหน่ง "ผีปอบ" ต่อไปครัฟฟฟ
จ่าว่า "ผีปอบ” ในทางรัฐศาสตร์นั้น
มันคือรูปแบบของวาทกรรมที่จำแนกผู้คนที่ "ไม่เข้าพวก"
ในขณะที่ "ผีปอบ" ทางสังคมศาสตร์นั้น
มันอาจเป็นการบริหารความเชื่อของสังคม
ในการที่จะกำหนดกฏระเบียบเพื่อควบคุมพฤติกรรมต่างๆของผู้คน
เช่น ห้ามด่าไอ้สมคิด เลิศไพทูรย์ ในรั้ว มธ. , ห้ามด่าไอ้อุ๋ยเรื่องกันสำรอง 30%
ทั้งนี้ก็เพื่อให้สังคมที่ว่านี้จะได้เป็นไปตามทิศทางที่ "ผู้ปกครอง" ต้องการครัฟฟฟฟ
เจนนิเฟอร์ เลิฟ ฮิววิต หญิงสาวผู้สื่อสารกับผีใน โกสท์ วิสเพอเรอร์
ระหว่าง "ศรัทธา" กับ "งมงาย" มันมีแค่เส้นบางๆกั้นอยู่จริงๆ !!!!!!!!!!!!!!
จ่าพิเชษฐ์