ปล. ตอนที่ตั้งกระทู้นี้ใหม่ๆ ผมเคยเชื่อว่าตัวละครนี้ต้องตายแล้วแน่ๆ แต่สุดท้ายของสุดท้ายเขาก็รอดมาจนได้ เพื่อเป็นความหวังและที่พึ่งแหล่งสุดท้ายให้กับมิตซีซาเนะ หรือ มิจจี้ ให้มีกำลังใจในการมีชีวิตชดใช้ความผิดของตัวเองต่อไป ก็ถือว่าเป็นบทสรุปที่ดีสำหรับพี่น้องคู่นี้แล้วจริงๆ
ถ้ามีคนถามคำถามว่าไรเดอร์คนไหนเก่งที่สุดในซี่รี่ย์คาเมนไรเดอร์ไกมุ ชื่อของ
“ไรเดอร์ซันเก็ตสึ/ซันเก็ตสึ ชิน” เมลอน/เมล่อนเอเนจี้อาร์ม หรือ "คุเรชิม่า ทะกะโทระ" จะโผล่ขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ เขาเป็นไรเดอร์ที่มีฝีมือการต่อสู้ที่สูงมาก สามารถเอาชนะไรเดอร์ได้เกือบทุกคนในเรื่อง แม้ไกมุจะพัฒนาร่างมามากเท่าไหร่ก็ยังยากที่จะเอาชนะ แถมยังเป็นถึงผู้อำนวยการของ "อิกดราซิล" บริษัทยักษ์ใหญ่ของซาวาเมะซิตี้ โดยทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการโปรเจ็ตอาร์คและหัวหน้าทีมสำรวจป่าเฮลไฮม์ อีกทั้งยังเป็นผู้นำตระกูลคุเรชิม่า ตระกูลเศรษฐีผู้ยิ่งใหญ่ของซาวาเมะซิตี้อีก เขาจึงติดทำเนียบไรเดอร์ที่มั่งคั่งที่สุดอย่างไม่ยากเย็นนัก แต่คนที่มีทั้งอำนาจและทรัพย์สินเพียบพร้อมอย่างเขา ถึงกลายเป็นไรเดอร์ที่น่าสงสารที่สุดไปได้ ลองมาอ่านบทวิเคราะห์ข้างล่างกัน (อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว อาจมีความขัดแย้งอยู่บ้าง ขอให้เข้าใจกัน)
เริ่มเรื่องตอนแรก เขาอาจเป็นเหมือนตัวร้ายหลักที่เป็นศูนย์รวมเรื่องราวร้ายๆของเรื่อง แต่เมื่อดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ เราจะเห็นว่าเขาเป็นตัวละครที่น่าสงสารมากที่สุดคนหนึ่ง ตัวเขาเองก็เหมือนกับพวกบีทไรเดอร์ที่เขาเคยหลอกใช้ คือ การที่เขาไม่เคยรู้เรื่องราวอะไรที่เป็นความจริงเลย หลงอยู่ในคำโกหกของคนอื่นจนบดบังทัศนคติตัวเอง สุดท้ายก็พลาดท่าด้วยการถูกคนอื่นทรยศไม่เว้นแม้แต่น้องชายแท้ๆของตัวเอง คนที่เขารักมากที่สุดที่กระทำกับเขาอย่างแสนเจ็บปวดที่สุดอีก
ซึ่งนิสัยโดยรวมของทะกะโทระนั้นเขาเป็นคนเถรตรง (เชื่อแต่สิ่งที่ตาเห็น) ,มีความรับผิดชอบในการทำหน้าที่สูง, มีความภาคภูมิใจในเกียรติและฐานะของตนเอง, มีความเด็ดขาด, มีเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจน ที่สำคัญเขาเป็นคนที่ห่วงในชีวิตของคนอื่นมากกว่าตัวเอง(สังเกตได้หลายครั้งในการคุมทีมบุกป่า เขาจะห่วงความปลอดภัยของลูกทีมมาก ..แบบว่าให้ลูกทีมหนีไปก่อน ส่วนตนเองจะต่อสู้รับมืออยู่ข้างหลัง) อีกทั้งมีทักษะในการต่อสู้ที่สูงมาก โดยเขายึดถือคติที่ว่า “"ผู้มั่งคั่งต้องช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่า (Noblesse Oblige)" เป็นรากฐานการดำเนินชีวิต ซึ่งเค้าใช้คตินี้ในการดำเนินงานโปรเจ็คอาร์คมาตลอดและก็ถือว่าเค้าทำได้ดีมาก เรียกว่าเขาเป็นผู้นำในอุดมคติเลยก็ว่าได้
แต่ถ้าถามว่าเค้าเป็นผู้นำที่สมบูรณ์แบบหรือไม่? ต้องตอบเลยว่า ไม่!
ทะกะโทระขาดทักษะอย่างหนึ่งที่สำคัญมากในการเป็นผู้นำ ซึ่งมันกลายเป็นบทเรียนราคาแพงที่ทำให้เขาเกือบถึงแก่ชีวิต นั้นก็คือ “ทักษะในการมองคน”
“พี่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว มักเชื่อใจคนที่ควรเชื่อใจน้อยที่สุด” (มิจจี้เคยกล่าวกับเรียวมะในตอนที่ 23)
ทะกะโทระ ขาดทักษะนี้มาก เขาไม่สามารถดูคนออกว่าคนไหนเป็นมิตรคนไหนเป็นศัตรู ใครที่สมควรใช้งาน ใครบ้างที่ไม่สมควรใช้ ดูจากกรณีของเรียวมะกับซิดทุกคนก็คงมองออก (ท่าทางภายนอกก็ดูไม่น่าไว้ใจอยู่แล้ว) เขาอาจจะเก่งในการใช้คนให้ถูกกับงานแต่นั้นเป็นแค่การมองแต่ความสามารถของตัวบุคคลเท่านั้น ไม่ได้มองไปถึงความจริงใจของคนว่าเขาอยากร่วมงานหรือมีความลับแอบแฝงหรือไม่ และนั้นก็คือเหตุผลว่าทำไม ทั้งซิด เรียวมะ หรือแม้กระทั่งมินาโตะ ถึงไม่ค่อยกลัวเขานัก ทั้งที่เขาเป็นหัวหน้าแท้ๆ และพอถึงเวลาทรยศ พวกนั้นก็ทรยศเขาแบบไม่ลังเลเลยทีเดียว แม้แต่มิจจี้ผู้เป็นน้องแท้ๆ เขาก็ยังมองถึงความต้องการและความเปลี่ยนแปลงของน้องชายไม่ออก จนสุดท้ายก็นำไปสู่โศกนาฏกรรมของพี่น้องคุเรชิม่าในตอนที่36
ในทางกลับกัน มิจจี้ ผู้เป็นน้องกลับมีทักษะนี้อยู่อย่างเต็มเปี่ยม
- มิจจี้มองออกว่าโคตะเป็นคนยังไงและให้การนับถือติดตาม ขณะที่ทะกะโทระมองแค่ว่าโคตะเป็นเพียงเด็กน่ารำคาญที่มาปั่นป่วนแผนการของตัวเองเท่านั้น กว่าที่จะรู้ตัวว่าโคตะเป็นคนดียังไงก็ปาไปตั้งครึ่งเรื่อง(แถมตัวโคตะก็ต้องพยายามแทบรากเลือด)
- ขณะที่มิจจี้ทำงานกับพวกเรียวมะไม่นานก็บอกออกทันทีว่าพวกเรียวมะมีใจคิดทรยศ ขณะที่ทะกะโทระทำงานกับพวกนั้นต้องนานสองนานกลับไม่รู้สึกตัว และเพราะมิจจี้มีทักษะแบบนี้ทำให้พวกเรียวมะกลัวมิจจี้มากกว่าทะกะโทระซะอีก
อีกสิ่งหนึ่งที่ทะกะโทระขาดนั้นคือ “การมีวิสัยทัศน์” ผู้นำจะต้องมีวิสัยทัศน์เป็นของตัวเอง ประเมินสถานการณ์ถูกต้องตามเป็นจริง สามารถคาดคะเนทิศทางทั้งในระยะสั้นและระยะยาวพร้อมกับวางแผนเพื่อแก้ปัญหา นั้นเป็นสิ่งที่ทะกะโทระขาดอย่างมาก เค้าเลือกที่จะเชื่อในเรื่องของป่าเฮลไฮม์จากสิ่งที่เห็นตรงหน้าเท่านั้นไม่ได้มองให้ลึกถึงตัวตนที่แท้จริงของป่าเลย ผิดกับเรียวมะที่มองถึงภาพรวมของป่าออกและเชื่อมโยงไปถึงเรื่องผลไม้ทองคำได้
เราจะเห็นหลายครั้งที่ทะกะโทระรู้สึกทรมานกับโปรเจ็คอาร์คที่ต้องสละชีวิตคนจำนวนมากเพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ แต่ทำไมทะกะโทระถึงเลือกวิธีการนี้ ทั้งที่ตอนนั้นเขามีทั้งอำนาจ ทรัพยากร และคนเก่งๆจำนวนมากไว้ใช้งาน เขาน่าจะหาทางเลือกที่ดีกว่านี้ได้ไม่ใช่เหรอ?
“ความเจ็บปวดแค่นี้ถ้าจะให้เทียบกับความเจ็บปวดที่จะต้องแบกรับต่อไปนี้แล้วหล่ะก็”
คำตอบอาจมีได้หลายประเด็น แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะ คติที่เรียกว่า “Noblesse Oblige” นั้นแหละที่บดบังทัศนวิสัยของทะกะโทระ เพราะเขาเติบโตมาในครอบครัวที่ยึดติดกับเกียรติที่ว่าตัวเองเป็นคนพิเศษเหนือกว่าคนอื่นทั่วไป นั้นทำให้ทะกะโทระคิดว่าตัวเองเป็นเหมือนผู้ยิ่งใหญ่ที่ต้องใช้สิ่งนั้นช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่า มันเป็นเหมือนภาระหน้าที่เขาเกิดมาต้องทำ เป็นเหมือนLawประจำตัว ดังนั้นเมื่อมันมีทางเลือกที่สามารถทำให้เขาบรรลุหน้าที่นั้นได้ เขาก็เลือกที่จะทำมันทันทีโดยไม่มองเลยว่าทางเลือกนั้นมันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดหรือไม่?
ทากาโทระ: “มากกว่าพลังและความสามารถ เราต้องเน้นประหยัดค่าใช้จ่าย ถ้าเป็นไปได้เราต้องทำให้ได้จำนวนมากที่สุด มากขึ้นแม้เพียงหนึ่งตัวก็ดี เพื่อให้สามารถช่วยมนุษย์ได้มากขึ้น นั่นก็คือ “หน้าที่ของเรา”
เรียวมะ: “ฉันหน่ะ กำลังสร้างไดรเวอร์สำหรับนายนะ”
ทากาโทระ: “อื้อ มันเป็นไดรเวอร์ที่ทำให้ความฝันของฉันที่จะช่วยเหลือมนุษย์นั้นเป็นจริง”
(บทสนทนาระหว่างเรียวมะและทะกะโทระเรื่องการทดสอบไดรฟ์เวอร์ในตอนที่ 27)
และเพราะเค้ายึดติดกับคติแบบนี้นี่ละ มันทำให้เขาขาดความทะเยอทะยาน พอเจอสิ่งที่คิดว่าทำให้เขาบรรลุหน้าที่แล้ว อย่างอื่นเขาก็ไม่สนใจเลยและนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เรียวมะหมดศรัทธาในตัวทะกะโทระและอาศัยนิสัยตรงนี้หลอกใช้เขามาตลอด
“ฉันเคยคิดว่าเขามีเป้าหมายเดียวกับเรา แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะขาดความทะเยอทะยานแบบนี้”
(เรียวมะเคยบ่นเรื่องทะกะโทระให้มินาโตะฟังในตอนที่ 27)
และยิ่งเห็นเขาแสดงสีหน้าดีใจตอนที่โคตะเสนอทางเลือกที่ดีกว่าในการเจรจากับโอเวอร์ลอร์ดหรือแม้กระทั้งตอนที่รู้ถึงตัวตนและพลังของผลไม้ทองคำจากปากของโรชู นั้นแสดงให้เห็นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยนึกถึงความเป็นไปได้อย่างอื่นเลย
ซึ่งแม้แต่มิจจี้ผู้เป็นน้องชายก็ยังเห็นเลยว่าการที่ทะกะโทระยึดถือคติแบบนี้มันเป็นเรื่องไร้สาระและแสดงออกถึงความโง่เขลา สุดท้ายสิ่งที่มิจจี้เห็นก็คือภาพของพี่ชายที่โดนคนอื่นสวมเขาและถูกทรยศอย่างโหดร้าย
มิจจี้: “อะไรที่พี่พูดอยู่บ่อยๆนะ? Noblesse Oblige? ผู้มั่งคั่งต้องช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่า นั้นแหละคือความสูงส่งที่แท้จริงสินะ”
ทะกะโทระ: “ใช่แล้ว!”
มิจจี้: “สูงส่งแล้วมันยังไงละ เพื่อที่จะเจ็บแทนคนอื่น เพื่อที่จะถูกหลอกใช้ พี่คิดว่าจะมีใครจะยินดีกับเรื่องพรรคนั้นเรอะ”
ทะกะโทระ: “มิตสึซาเนะ!”
(บทสนทนาของทะกะโทระและมิจจี้ ระหว่างการต่อสู้ในตอนที่ 36)
ในเรื่องจะเห็นว่าทะกะโทระมีความต้องการแสวงหาพลังน้อยที่สุดในหมู่ตัวละครหลัก นั้นทำให้ดีเจซาการะ(ที่ตอนนี้คนดูรู้แล้วว่าเป็นใคร)ไม่ค่อยสนใจเขานักและไม่คิดว่าเขาจะเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงในการต่อสู้ชิงผลไม้ทองคำด้วยซ้ำไป และนั้นคือสาเหตุที่ดีเจซาการะไม่ให้ความช่วยเหลือหรือให้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์กับเขาเลย
ส่วนความสัมพันธ์เรื่องพี่น้องกับมิจจี้ ใครดูก็รู้ว่าทะกะโทระเป็นคนที่รักน้องมาก แทบไม่เคยให้น้องมายุ่งเกี่ยวกับอันตรายหรืองานที่อิกดราซิลสักครั้ง ตอนที่เขารู้ว่ามิจจี้ผันตัวเองมาเป็นไรเดอร์ เขาถึงกับโกรธซิดมากที่ให้น้องตัวเองมาเป็นหนูทดลองแบบนี้จนสุดท้ายก็โดนซิดย้อนว่าคนที่สละทุกอย่างได้เช่นเขาแต่น้องชายคนเดียวกลับสละไม่ได้ นั้นแสดงให้เห็นว่าเขารักน้องชายคนนี้มาก แต่เพราะเขาทุ่มเทกับงานมากเกินไปและยัดเยียดความคิดของตัวเองที่ได้จากพ่อแม่ที่คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีมาให้กับมิจจี้ มันกลับสร้างช่องว่างระหว่างเขากับมิจจี้เอาไว้เยอะมาก และทำให้เขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับน้องชายเลย ทั้งความต้องการ เป้าหมาย หรือ ความคิดที่เขามีต่อพี่ชาย (ตั้งแต่ตอนที่ 1-36 เราจะเห็นภาพมิจจี้พูดคุยอย่างเปิดอกกับทะกะโทระน้อยมาก มันแสดงถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้ได้เป็นอย่างดีและไม่น่าแปลกใจว่าทำไมน้องชายอย่างมิจจี้ถึงกล้าทำร้ายพี่ชายแท้ๆของตัวเองได้ลงคอถึง 2 ครั้ง)
และที่เขาคืนชีพกลับมาใหม่อีกครั้งถือเป็นโอกาสที่ดีในการแก้ไขไขว่คว้าความหมายการใช้ชีวิตของเขาใหม่อีกครั้ง เพราะตลอดทั้งเรื่องเขาไม่เคยพบกับความสุขเลย ต้องคอยแบกรับสิ่งเรียกว่า “บาป” ในฐานะหัวหน้าโปรเจคอาร์คและต้องทนทุกข์ทรมานกับมัน แม้จะถูกปลดปล่อยแต่ต้องมาเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าน้องชายของตัวเองกลายมาเป็นศัตรูกับมนุษยชาติอีก ผมว่าโทษของเขาได้ถูกชดใช้ไปหมดแล้วจากสิ่งที่มิจจี้ได้ทำกับเขา หน้าที่เขาต้องทำต่อจากนี้ก็คือการชดเชยเวลาที่เสียไปและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับน้องชายเขาอีกครั้ง เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องไรเดอร์ที่น่าสงสารอีกต่อไป
บทความอื่น
เจาะลึก “คาสึราบะ โคตะ” (ไรเดอร์ไกมุ) ไรเดอร์ผู้เสียสละ ผู้ก้าวสู่การเป็นราชาของโลกใหม่
http://ppantip.com/topic/32640019
สนทนาถึง “คุมง ไคโตะ (ไรเดอร์บารอน)” ใครล่ะ? ที่ต้องการพลังได้มากเท่าเขา
http://ppantip.com/topic/32607941
สนทนาถึง "มิจจี้" (ไรเดอร์ริวเก็น) ตัวละครโปรดของจอมมาร
http://ppantip.com/topic/32359670
สนทนาถึง “มิจจี้” บทที่ 2 เจาะลึกเรื่องราวของเด็กหนุ่มผู้หลงเดินทางสู่ด้านมืด
http://ppantip.com/topic/32584202
(Spoil Kamen Rider Gaim) สนทนาเจาะลึก “ทากะโทระ” (ไรเดอร์ซันเก็ตสึ) ไรเดอร์เกราะขาวผู้น่าสงสาร
ถ้ามีคนถามคำถามว่าไรเดอร์คนไหนเก่งที่สุดในซี่รี่ย์คาเมนไรเดอร์ไกมุ ชื่อของ“ไรเดอร์ซันเก็ตสึ/ซันเก็ตสึ ชิน” เมลอน/เมล่อนเอเนจี้อาร์ม หรือ "คุเรชิม่า ทะกะโทระ" จะโผล่ขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ เขาเป็นไรเดอร์ที่มีฝีมือการต่อสู้ที่สูงมาก สามารถเอาชนะไรเดอร์ได้เกือบทุกคนในเรื่อง แม้ไกมุจะพัฒนาร่างมามากเท่าไหร่ก็ยังยากที่จะเอาชนะ แถมยังเป็นถึงผู้อำนวยการของ "อิกดราซิล" บริษัทยักษ์ใหญ่ของซาวาเมะซิตี้ โดยทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการโปรเจ็ตอาร์คและหัวหน้าทีมสำรวจป่าเฮลไฮม์ อีกทั้งยังเป็นผู้นำตระกูลคุเรชิม่า ตระกูลเศรษฐีผู้ยิ่งใหญ่ของซาวาเมะซิตี้อีก เขาจึงติดทำเนียบไรเดอร์ที่มั่งคั่งที่สุดอย่างไม่ยากเย็นนัก แต่คนที่มีทั้งอำนาจและทรัพย์สินเพียบพร้อมอย่างเขา ถึงกลายเป็นไรเดอร์ที่น่าสงสารที่สุดไปได้ ลองมาอ่านบทวิเคราะห์ข้างล่างกัน (อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว อาจมีความขัดแย้งอยู่บ้าง ขอให้เข้าใจกัน)
เริ่มเรื่องตอนแรก เขาอาจเป็นเหมือนตัวร้ายหลักที่เป็นศูนย์รวมเรื่องราวร้ายๆของเรื่อง แต่เมื่อดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ เราจะเห็นว่าเขาเป็นตัวละครที่น่าสงสารมากที่สุดคนหนึ่ง ตัวเขาเองก็เหมือนกับพวกบีทไรเดอร์ที่เขาเคยหลอกใช้ คือ การที่เขาไม่เคยรู้เรื่องราวอะไรที่เป็นความจริงเลย หลงอยู่ในคำโกหกของคนอื่นจนบดบังทัศนคติตัวเอง สุดท้ายก็พลาดท่าด้วยการถูกคนอื่นทรยศไม่เว้นแม้แต่น้องชายแท้ๆของตัวเอง คนที่เขารักมากที่สุดที่กระทำกับเขาอย่างแสนเจ็บปวดที่สุดอีก
ซึ่งนิสัยโดยรวมของทะกะโทระนั้นเขาเป็นคนเถรตรง (เชื่อแต่สิ่งที่ตาเห็น) ,มีความรับผิดชอบในการทำหน้าที่สูง, มีความภาคภูมิใจในเกียรติและฐานะของตนเอง, มีความเด็ดขาด, มีเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจน ที่สำคัญเขาเป็นคนที่ห่วงในชีวิตของคนอื่นมากกว่าตัวเอง(สังเกตได้หลายครั้งในการคุมทีมบุกป่า เขาจะห่วงความปลอดภัยของลูกทีมมาก ..แบบว่าให้ลูกทีมหนีไปก่อน ส่วนตนเองจะต่อสู้รับมืออยู่ข้างหลัง) อีกทั้งมีทักษะในการต่อสู้ที่สูงมาก โดยเขายึดถือคติที่ว่า “"ผู้มั่งคั่งต้องช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่า (Noblesse Oblige)" เป็นรากฐานการดำเนินชีวิต ซึ่งเค้าใช้คตินี้ในการดำเนินงานโปรเจ็คอาร์คมาตลอดและก็ถือว่าเค้าทำได้ดีมาก เรียกว่าเขาเป็นผู้นำในอุดมคติเลยก็ว่าได้
แต่ถ้าถามว่าเค้าเป็นผู้นำที่สมบูรณ์แบบหรือไม่? ต้องตอบเลยว่า ไม่!
ทะกะโทระขาดทักษะอย่างหนึ่งที่สำคัญมากในการเป็นผู้นำ ซึ่งมันกลายเป็นบทเรียนราคาแพงที่ทำให้เขาเกือบถึงแก่ชีวิต นั้นก็คือ “ทักษะในการมองคน”
“พี่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว มักเชื่อใจคนที่ควรเชื่อใจน้อยที่สุด” (มิจจี้เคยกล่าวกับเรียวมะในตอนที่ 23)
ทะกะโทระ ขาดทักษะนี้มาก เขาไม่สามารถดูคนออกว่าคนไหนเป็นมิตรคนไหนเป็นศัตรู ใครที่สมควรใช้งาน ใครบ้างที่ไม่สมควรใช้ ดูจากกรณีของเรียวมะกับซิดทุกคนก็คงมองออก (ท่าทางภายนอกก็ดูไม่น่าไว้ใจอยู่แล้ว) เขาอาจจะเก่งในการใช้คนให้ถูกกับงานแต่นั้นเป็นแค่การมองแต่ความสามารถของตัวบุคคลเท่านั้น ไม่ได้มองไปถึงความจริงใจของคนว่าเขาอยากร่วมงานหรือมีความลับแอบแฝงหรือไม่ และนั้นก็คือเหตุผลว่าทำไม ทั้งซิด เรียวมะ หรือแม้กระทั่งมินาโตะ ถึงไม่ค่อยกลัวเขานัก ทั้งที่เขาเป็นหัวหน้าแท้ๆ และพอถึงเวลาทรยศ พวกนั้นก็ทรยศเขาแบบไม่ลังเลเลยทีเดียว แม้แต่มิจจี้ผู้เป็นน้องแท้ๆ เขาก็ยังมองถึงความต้องการและความเปลี่ยนแปลงของน้องชายไม่ออก จนสุดท้ายก็นำไปสู่โศกนาฏกรรมของพี่น้องคุเรชิม่าในตอนที่36
ในทางกลับกัน มิจจี้ ผู้เป็นน้องกลับมีทักษะนี้อยู่อย่างเต็มเปี่ยม
- มิจจี้มองออกว่าโคตะเป็นคนยังไงและให้การนับถือติดตาม ขณะที่ทะกะโทระมองแค่ว่าโคตะเป็นเพียงเด็กน่ารำคาญที่มาปั่นป่วนแผนการของตัวเองเท่านั้น กว่าที่จะรู้ตัวว่าโคตะเป็นคนดียังไงก็ปาไปตั้งครึ่งเรื่อง(แถมตัวโคตะก็ต้องพยายามแทบรากเลือด)
- ขณะที่มิจจี้ทำงานกับพวกเรียวมะไม่นานก็บอกออกทันทีว่าพวกเรียวมะมีใจคิดทรยศ ขณะที่ทะกะโทระทำงานกับพวกนั้นต้องนานสองนานกลับไม่รู้สึกตัว และเพราะมิจจี้มีทักษะแบบนี้ทำให้พวกเรียวมะกลัวมิจจี้มากกว่าทะกะโทระซะอีก
อีกสิ่งหนึ่งที่ทะกะโทระขาดนั้นคือ “การมีวิสัยทัศน์” ผู้นำจะต้องมีวิสัยทัศน์เป็นของตัวเอง ประเมินสถานการณ์ถูกต้องตามเป็นจริง สามารถคาดคะเนทิศทางทั้งในระยะสั้นและระยะยาวพร้อมกับวางแผนเพื่อแก้ปัญหา นั้นเป็นสิ่งที่ทะกะโทระขาดอย่างมาก เค้าเลือกที่จะเชื่อในเรื่องของป่าเฮลไฮม์จากสิ่งที่เห็นตรงหน้าเท่านั้นไม่ได้มองให้ลึกถึงตัวตนที่แท้จริงของป่าเลย ผิดกับเรียวมะที่มองถึงภาพรวมของป่าออกและเชื่อมโยงไปถึงเรื่องผลไม้ทองคำได้
เราจะเห็นหลายครั้งที่ทะกะโทระรู้สึกทรมานกับโปรเจ็คอาร์คที่ต้องสละชีวิตคนจำนวนมากเพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ แต่ทำไมทะกะโทระถึงเลือกวิธีการนี้ ทั้งที่ตอนนั้นเขามีทั้งอำนาจ ทรัพยากร และคนเก่งๆจำนวนมากไว้ใช้งาน เขาน่าจะหาทางเลือกที่ดีกว่านี้ได้ไม่ใช่เหรอ?
“ความเจ็บปวดแค่นี้ถ้าจะให้เทียบกับความเจ็บปวดที่จะต้องแบกรับต่อไปนี้แล้วหล่ะก็”
คำตอบอาจมีได้หลายประเด็น แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะ คติที่เรียกว่า “Noblesse Oblige” นั้นแหละที่บดบังทัศนวิสัยของทะกะโทระ เพราะเขาเติบโตมาในครอบครัวที่ยึดติดกับเกียรติที่ว่าตัวเองเป็นคนพิเศษเหนือกว่าคนอื่นทั่วไป นั้นทำให้ทะกะโทระคิดว่าตัวเองเป็นเหมือนผู้ยิ่งใหญ่ที่ต้องใช้สิ่งนั้นช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่า มันเป็นเหมือนภาระหน้าที่เขาเกิดมาต้องทำ เป็นเหมือนLawประจำตัว ดังนั้นเมื่อมันมีทางเลือกที่สามารถทำให้เขาบรรลุหน้าที่นั้นได้ เขาก็เลือกที่จะทำมันทันทีโดยไม่มองเลยว่าทางเลือกนั้นมันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดหรือไม่?
ทากาโทระ: “มากกว่าพลังและความสามารถ เราต้องเน้นประหยัดค่าใช้จ่าย ถ้าเป็นไปได้เราต้องทำให้ได้จำนวนมากที่สุด มากขึ้นแม้เพียงหนึ่งตัวก็ดี เพื่อให้สามารถช่วยมนุษย์ได้มากขึ้น นั่นก็คือ “หน้าที่ของเรา”
เรียวมะ: “ฉันหน่ะ กำลังสร้างไดรเวอร์สำหรับนายนะ”
ทากาโทระ: “อื้อ มันเป็นไดรเวอร์ที่ทำให้ความฝันของฉันที่จะช่วยเหลือมนุษย์นั้นเป็นจริง”
(บทสนทนาระหว่างเรียวมะและทะกะโทระเรื่องการทดสอบไดรฟ์เวอร์ในตอนที่ 27)
และเพราะเค้ายึดติดกับคติแบบนี้นี่ละ มันทำให้เขาขาดความทะเยอทะยาน พอเจอสิ่งที่คิดว่าทำให้เขาบรรลุหน้าที่แล้ว อย่างอื่นเขาก็ไม่สนใจเลยและนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เรียวมะหมดศรัทธาในตัวทะกะโทระและอาศัยนิสัยตรงนี้หลอกใช้เขามาตลอด
“ฉันเคยคิดว่าเขามีเป้าหมายเดียวกับเรา แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะขาดความทะเยอทะยานแบบนี้”
(เรียวมะเคยบ่นเรื่องทะกะโทระให้มินาโตะฟังในตอนที่ 27)
และยิ่งเห็นเขาแสดงสีหน้าดีใจตอนที่โคตะเสนอทางเลือกที่ดีกว่าในการเจรจากับโอเวอร์ลอร์ดหรือแม้กระทั้งตอนที่รู้ถึงตัวตนและพลังของผลไม้ทองคำจากปากของโรชู นั้นแสดงให้เห็นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยนึกถึงความเป็นไปได้อย่างอื่นเลย
ซึ่งแม้แต่มิจจี้ผู้เป็นน้องชายก็ยังเห็นเลยว่าการที่ทะกะโทระยึดถือคติแบบนี้มันเป็นเรื่องไร้สาระและแสดงออกถึงความโง่เขลา สุดท้ายสิ่งที่มิจจี้เห็นก็คือภาพของพี่ชายที่โดนคนอื่นสวมเขาและถูกทรยศอย่างโหดร้าย
มิจจี้: “อะไรที่พี่พูดอยู่บ่อยๆนะ? Noblesse Oblige? ผู้มั่งคั่งต้องช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่า นั้นแหละคือความสูงส่งที่แท้จริงสินะ”
ทะกะโทระ: “ใช่แล้ว!”
มิจจี้: “สูงส่งแล้วมันยังไงละ เพื่อที่จะเจ็บแทนคนอื่น เพื่อที่จะถูกหลอกใช้ พี่คิดว่าจะมีใครจะยินดีกับเรื่องพรรคนั้นเรอะ”
ทะกะโทระ: “มิตสึซาเนะ!”
(บทสนทนาของทะกะโทระและมิจจี้ ระหว่างการต่อสู้ในตอนที่ 36)
ในเรื่องจะเห็นว่าทะกะโทระมีความต้องการแสวงหาพลังน้อยที่สุดในหมู่ตัวละครหลัก นั้นทำให้ดีเจซาการะ(ที่ตอนนี้คนดูรู้แล้วว่าเป็นใคร)ไม่ค่อยสนใจเขานักและไม่คิดว่าเขาจะเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงในการต่อสู้ชิงผลไม้ทองคำด้วยซ้ำไป และนั้นคือสาเหตุที่ดีเจซาการะไม่ให้ความช่วยเหลือหรือให้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์กับเขาเลย
ส่วนความสัมพันธ์เรื่องพี่น้องกับมิจจี้ ใครดูก็รู้ว่าทะกะโทระเป็นคนที่รักน้องมาก แทบไม่เคยให้น้องมายุ่งเกี่ยวกับอันตรายหรืองานที่อิกดราซิลสักครั้ง ตอนที่เขารู้ว่ามิจจี้ผันตัวเองมาเป็นไรเดอร์ เขาถึงกับโกรธซิดมากที่ให้น้องตัวเองมาเป็นหนูทดลองแบบนี้จนสุดท้ายก็โดนซิดย้อนว่าคนที่สละทุกอย่างได้เช่นเขาแต่น้องชายคนเดียวกลับสละไม่ได้ นั้นแสดงให้เห็นว่าเขารักน้องชายคนนี้มาก แต่เพราะเขาทุ่มเทกับงานมากเกินไปและยัดเยียดความคิดของตัวเองที่ได้จากพ่อแม่ที่คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีมาให้กับมิจจี้ มันกลับสร้างช่องว่างระหว่างเขากับมิจจี้เอาไว้เยอะมาก และทำให้เขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับน้องชายเลย ทั้งความต้องการ เป้าหมาย หรือ ความคิดที่เขามีต่อพี่ชาย (ตั้งแต่ตอนที่ 1-36 เราจะเห็นภาพมิจจี้พูดคุยอย่างเปิดอกกับทะกะโทระน้อยมาก มันแสดงถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้ได้เป็นอย่างดีและไม่น่าแปลกใจว่าทำไมน้องชายอย่างมิจจี้ถึงกล้าทำร้ายพี่ชายแท้ๆของตัวเองได้ลงคอถึง 2 ครั้ง)
และที่เขาคืนชีพกลับมาใหม่อีกครั้งถือเป็นโอกาสที่ดีในการแก้ไขไขว่คว้าความหมายการใช้ชีวิตของเขาใหม่อีกครั้ง เพราะตลอดทั้งเรื่องเขาไม่เคยพบกับความสุขเลย ต้องคอยแบกรับสิ่งเรียกว่า “บาป” ในฐานะหัวหน้าโปรเจคอาร์คและต้องทนทุกข์ทรมานกับมัน แม้จะถูกปลดปล่อยแต่ต้องมาเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าน้องชายของตัวเองกลายมาเป็นศัตรูกับมนุษยชาติอีก ผมว่าโทษของเขาได้ถูกชดใช้ไปหมดแล้วจากสิ่งที่มิจจี้ได้ทำกับเขา หน้าที่เขาต้องทำต่อจากนี้ก็คือการชดเชยเวลาที่เสียไปและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับน้องชายเขาอีกครั้ง เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องไรเดอร์ที่น่าสงสารอีกต่อไป
บทความอื่น
เจาะลึก “คาสึราบะ โคตะ” (ไรเดอร์ไกมุ) ไรเดอร์ผู้เสียสละ ผู้ก้าวสู่การเป็นราชาของโลกใหม่
http://ppantip.com/topic/32640019
สนทนาถึง “คุมง ไคโตะ (ไรเดอร์บารอน)” ใครล่ะ? ที่ต้องการพลังได้มากเท่าเขา
http://ppantip.com/topic/32607941
สนทนาถึง "มิจจี้" (ไรเดอร์ริวเก็น) ตัวละครโปรดของจอมมาร
http://ppantip.com/topic/32359670
สนทนาถึง “มิจจี้” บทที่ 2 เจาะลึกเรื่องราวของเด็กหนุ่มผู้หลงเดินทางสู่ด้านมืด
http://ppantip.com/topic/32584202