กับดักมนุษย์เงินเดือน จากใจฟรีแลนซ์

เราเคยทำงานฟรีแลนซ์มา3ปี แต่มีโอกาสได้กลับไปทำงานแบบได้เงินเดือน
เพราะเป็นบริษัทเท่ๆที่เราเคยอยากอยู่มานานแล้ว

ด้วยความที่เราเสพติดอิสระในวันธรรมดา ไม่ต้องเจอรถติด
และไม่ต้องแย่งกันเที่ยวตอนวันหยุด
ทำให้เราลังเลในการกลับไปเป็นมนุษย์เงินเดือนมาก
แต่แล้วเราก็ลองกลับไปอีกครั้ง
หลังจากทำไปได้อาทิตย์นึง เราค้นพบว่าเรามีอะไรเปลี่ยนไปหลายอย่างมาก
และเราก็เริ่มเข้าใจมนุษย์เงินเดือนขึ้นมาก

1.เราพบว่า ใช้เงินเยอะขึ้น เพราะทุกครั้งที่อยากได้อะไร
ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะเด๋วก็ได้เงินเดือนแล้ว
ไม่ต้องกังวลเหมือนตอนเป็นฟรีแลนซ์ ที่รายได้ไม่สม่ำเสมอ เรารู้ตัวอีกที ก็พบว่ารูดบัตรซื้อเสื้อผ้าไปเป็นสิบตัว
ตอนเป็นฟรีแลนซ์จะคิดตลอดว่า ชุดนี้ซื้อไปแล้วใส่ทำงานได้มั้ย
ชุดนี้ทำให้เราสวยขึ้น รายได้เพิ่มมากขึ้นรึป่าว
ทำให้เราคิดรอบคอบก่อนจะตัดสินใจซื้ออะไร
เราเข้าใจแล้วว่าทำไมมนุษย์เงินเดือนถึงเผลอใช้เงินง่ายๆ
ก็เพราะมันมีเงินในอนาคตรออยู่ทุกเดือน ใช้หมดเด๋วก็มาใหม่

2.เรากลับมาต้องการสิ่งบันเทิงในชีวิต
ตอนเป็นฟรีแลนซ์ เราแทบไม่ต้องการดูหนัง ท่องเที่ยว
หรือพึ่งพาสิ่งของภายนอกมาปรนเปรอความสุขเลย
ไม่ต้องเดินทางท่องเที่ยวก็ได้ เพราะรู้สึกว่าได้ทำงานที่รัก
งานที่อิสระตามใจเรา ก็เหมือนได้พักผ่อนอยู่แล้ว
ไม่เคยเครียดจนต้องการเสียเงินซื้อความสุขเลย
นั่งเฉยๆก็มีความสุขแล้ว
แต่พอเราทำงานประจำ เราเหมือนทำงานให้องค์กร
เราไม่ได้ทำงานที่เป็นงานที่เป็นตัวของเรา
มันทำให้เรารู้สึกเหมือนใช้เวลาทำงานให้คนอื่นๆ
สมองเราเลยสร้างกิเลสว่าไปพักผ่อนเพื่อตัวเองเถอะ
ทำให้คนอื่นแล้ว ต้องให้รางวัลตัวเองบ้าง
ซึ่งจริงๆแล้วเราควรทำทุกอย่างเหมือนบริษัทนี้เป็นของเรา
เราจะได้ไม่รู้สึกว่าทำให้ใคร แต่ทำเพื่อตัวเรา
(เราเคยเข้าใจวิธีคิดแบบนี้นะ แต่พอทำงานประจำจริงๆ
เราก็แอบเผลอคิดเหมือนคนทั่วไปโดยปริยาย
ว่า8:00-17:00 เป็นเวลาทำงานให้บริษัท หลังจากนั้นต้องพัก
ซึ่งตอนเป็นฟรีแลนซ์ไม่เคยคิดเลยว่าตอนไหนต้องพัก
รู้สึกตลอดว่าเวลาพักก็หาเงินได้ไม่จำกัดเวลา
และทุกเวลาทำงานเพื่อตัวเองทั้งนั้น ไม่ได้ทำให้ใคร
เราทำงานดี คนอื่นก็จ้างเราอีกต่อไปเรื่อยๆ)
เราเลยรู้ว่า มนุษย์เงินเดือนต้องเสียเวลาไปเยอะมากเพื่อปรนเปรอความสุข
หาสิ่งบันเทิงชดเชยความรู้สึกว่าเราทำงานให้คนอื่นมาทั้งวันแล้ว
แล้วมนุษย์เงินเดือนก็ไม่มีอารมณ์จะไปหางานใหม่ เพราะรู้สึกเหนื่อยมาก และไม่อยากต้องเหนื่อยเพิ่มกับสิ่งที่ไม่รู้จะได้ตังค์รึเปล่า
ตอนนี้ได้เงินอยู่ก็ดีแล้ว อยู่ในวังวนนี้ไปเรื่อยๆ

3.เราเริ่มไม่พัฒนาตัวเองอ่านหนังสือดีๆด้านอื่นๆ
เราเริ่มพบว่าตัวเองไม่มีอารมณ์อ่านหนังสืออื่นๆ
ไม่มึอารมณ์พัฒนาตัวเองเพราะรู้สึกว่า ทำแค่นี้ก็ได้เงินเดือนเยอะแล้ว
คืออยู่ไปเรื่อยๆแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว
ไม่มีเหตุจำเป็นให้ต้องเก่งขึ้น
(คือเงินเดือนเราได้ประมาณ7หมื่น และงานก็เป็นงานroutine
แต่ตอนเป็นfreelanceก็ได้พอๆกัน
แต่ต้องกังวลตลอดเวลาว่าเดือนหน้างานจะหดมั้ย)
ทำให้จากที่เราเคยต้องพัฒนาตลอดเวลาเพื่อให้เก่งกว่าฟรีแลนซ์คนอื่นๆ
กลายเป็นเราไม่เอาเวลาไปพัฒนาตัวเองเหมือนเมื่อก่อน
แต่กลับเอาเวลาไปตามใจกิเลสต่างๆเพื่อบอกกับตัวเองว่าพักบ้าง
ตอนเป็นฟรีแลนซ์ไม่เคยต้องการเวลาพักเลย
เพราะเหนื่อยบนความสุข
เวลาพักก็คือเวลาอ่านหนังสือพัฒนาตัวเอง

4.เราคิดว่าชีวิตนี้แน่นอน
เพราะเรามีงานประจำ ทุกอย่างมีความมั่นคง
เราก็เริ่มประมาทในชีวิต ใช้ชีวิตแบบไหลไปเรื่อยๆ
ไหลไปตามงานของบริษัทที่กินเวลาถึง8ชม.ต่อวัน
เราไม่ต้องวางแผนอะไรกับชีวิต
ทำงานไปเรื่อยๆ รอรับเงินเดือนอย่างเดียว
หยุดสร้างอาวุธทางปัญญาในการหารายได้ทางอื่นๆ
จะไปมัวหาทำไม ก็งานประจำเงินเดือนก็เยอะอยู่แล้ว
เราประมาทในชีวิตว่ามันแน่นอนมากขึ้นเรื่อยๆ

5.เราทำงานแบบไม่กระตือรือร้น
ทำงานแบบรอเจ้านายสั่ง
เพราะเราขายเวลา8โมงเช้าถึง5โมงเย็นให้นายไปแล้ว
อยากให้ทำอะไรเพิ่มก็บอก ไม่บอกก็อยู่เฉยๆ
แต่ตอนเป็นฟรีแลนซ์จะกระตือรือร้นมาก คอยสร้างสรรค์ไอเดีย ช่วยลูกค้าคิดงานตลอด
เรียกได้ว่าทำเกินหน้าที่ อะไรที่คิดออก สามารถนำเสนอได้
ก็งัดมาหมด จัดเต็มตลอด ไม่เคยกั๊ก กลัวเค้าจ้างเราไม่คุ้ม
แต่พอทำงานประจำ กลับไม่อยากทำเยอะ เพราะทำมากน้อยก็ได้เท่าเดิม
เราเผลอคิดแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
แต่รู้ว่ามันเปลี่ยนไปแบบแย่ลงอย่างน่ากลัว

นี่เป็นเพียงบางข้อที่เราสังเกตตัวเองและคิดออก
และรู้สึกสะพรึงถึงกับดักของงานประจำรายได้แน่นอนเอามากๆ

ส่วนด้านแย่ๆอื่นๆของการทำงานประจำ
ก็ทำให้เราต้องเผชิญกับเรื่องน่าเบื่อที่เราไม่เคยเจอมานานมาก
เช่นรถติด เราต้องตื่น6โมง เพื่อเจอรถติด2ชั่วโมง
ทั้งๆที่ปกติตื่นกี่โมงก็ได้ เดินทางตอนสายรถวิ่งฉิว

ถ้าเราจะเป็นมนุษย์เงินเดือนต่อไป
เราต้องเอาหัวใจตอนเป็นฟรีแลนซ์กลับมาใช้
คือ คิดก่อนใช้เงิน
พัฒนาตัวเองตลอด
อ่านหนังสือพัฒนาตัวเอง
หยุดตามใจกิเลส
มีความสุขในงานที่ทำ
ทำงานให้เต็มที่เหมือนเป็นบริษัทตัวเอง
แล้วเงินก็จะไหลมาเทมา

เราเขียนไม่ได้ยาวมากเพราะพิมพ์บนมือถือ
ใจจริงอยากเรียบเรียงให้ดีกว่านี้
เพื่อให้มนุษย์เงินเดือนได้มองเห็นกับดักนี้
แล้วจะได้หลุดจากวงจรนี้
เราเข้าใจมากขึ้นเลยอ่ะ
ว่าทำไมมนุษย์เงินเดือนหลายคนความคิดแคบๆ
มองไม่เห็นทางออกจากวงจรนี้ เพราะไม่ได้เริ่มพัฒนาตัวเอง

เอาจริงๆ เรามีภาคสองของชีวิตอีก
ความรู้สึกของการกลับมาเป็นฟรีแลนซ์อีกครั้ง
ไว้อยากเล่าจะมาพิมพ์ใหม่นะ
ไม่ชอบพิมพ์บนมือถือเลย

ขอบคุณทุกคนที่อ่านนะคะ
ขอให้มนุษย์เงินเดือนหลุดกับดักทุกคน


(ก่อนจะวิจารณ์ความเห็นที่แตกต่าง
รบกวนอ่านความเห็นที่85ของเราก่อนนะคะ เพื่อที่คุณจะเข้าใจสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ
เราไม่อยากใส่รวมลงในนี้ แค่นี้ก็ยาวจะแย่แล้ว
ขอให้ทุกคนได้ประโยชน์และข้อคิดไว้พิจารณาตัวเองจากกระทู้เราค่ะ ยิ้ม  )
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
เงินเดือน 7 หมื่น....คุณยังโดนกับดักไม่ครบหรอก....ต้อง หมื่น 7 ครับ โดนอีกเพียบ หนี้สารพัด
ส่วนเรื่องที่คุณว่ามา มันอยู่ที่ทัศนะคติของคุณเองครับ ไม่ได้เกี่ยวกับงานแบบไหนครับ
ความคิดเห็นที่ 85
ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกความเห็นเลยนะคะ
และออกตัวไว้ว่ามันเป็นมุมมองของคนเคยเป็นฟรีแลนซ์แล้วกลับมาทำงานประจำ
และได้สังเกตตัวเองว่าเปลี่ยนไปหลายอย่างมาก ลองอ่านดูแล้วจะรู้ว่า
เราเป็นพวกไม่มีวินัย ไม่อดทนจริงหรือ ถ้าเราไม่มีศักยภาพจริง ใครจะรับเรามาทำงานประจำได้เงินเดือน7หมื่น
และคนไม่มีวินัยจะสามารถสร้างรายได้7หมื่นจากงานฟรีแลนซ์ได้มาตลอดหรือ ก่อนหน้านี้เราได้เป็นแสนด้วยซ้ำนะ
เราพิจารณาตัวเองตลอด เราถึงค้นพบตัวเอง ไม่อย่างนั้นเราคงไม่รู้ตัวหรอกว่าเราเปลี่ยนไป
เราไม่ได้โทษสิ่งภายนอก แต่เราแปลกใจที่ตัวเราเปลี่ยนไปตั้งแต่เปลี่ยนสิ่งภายนอก จนเราพบว่าสมองมันหลอกเราหลายอย่าง
คิดไว้แล้วว่าถ้าพิมพ์ไม่ครบก็จะต้องมีคำถามที่ไม่ได้กล่าวมาในเนื้อหา
อาจตอบไม่ครบแต่จะพยายามเสนอมุมมองที่ตั้งใจจะบอกกล่าวนะคะ
อ่านให้จบแล้วกลับไปอ่านเจตนาของโพสต์เราใหม่นะคะ

เราพบว่าการเลือกงานมันก็เหมือนการเลือกแฟน คือให้ดูว่าเราชอบตัวเราเวลาเราคบกับเค้ามั้ย
เราคบกับเค้าแล้ว เราเป็นคนดีขึ้น เราเก่งขึ้น เราพัฒนาขึ้น เรามีความสุขขึ้นหรือป่าว และเราก็เจองานแบบนั้นมาก่อน

ถ้าคุณไปทำงานroutine ที่เงินเดือนดีมาก และกินเวลาคุณทั้งวันจนเหนื่อย
หรือคุณเป้นคนที่อยู่ในcomfort zoneแล้ว แต่ยังขยันหาช่องทางที่อยู่นอกcomfort zone ก็ยินดีกับคุณด้วย
คุณจะคือคนที่อยู่ที่ไหนก็ได้ในโลกแห่งนี้ คุณจะไม่อดตายอย่างแน่นอน และคุณจะร่ำรวยมหาศาลเร็วๆนี้
มันจึงอยู่ที่ตัวบุคคล ถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือนแล้วชีวิตดีขึ้น มองหาโอกาสดีๆในองค์กรได้ มีความสุขขึ้น พึ่งพาความสุขนอกตัวน้อยลง
ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ คุณคือมนุษย์เงินเดือนที่โชคดีที่สุดในโลก และคุณก็น่าจะทำงานอยู่ที่ไหนก็ได้ด้วยซ้ำ

สำหรับเรา การเป็นฟรีแลนซ์มันสอนอะไรเราหลายอย่างมาก ( มัน"สอนเรา" เราเลยเอามาแชร์)

1.สอนให้เราตระหนักถึงความไม่แน่นอนของชีวิตทุกวัน
เช้าวันนี้จะมีงานใหม่เข้ามาหรือป่าวไม่รู้ แต่ที่ผ่านมาทำให้ดีที่สุด ฝึกฝนตนเองมาตลอด
เราเชื่อมั่นในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ว่าให้ขยันทำเหตุให้ดี แล้วสันโดษในผล
แปลว่า ทำให้ดีที่สุด ผลจะดีไม่ดีก็ต้องปล่อยวาง เพราะเราทำเหตุไว้ดีแล้ว ผลเป็นเรื่องของมัน
(ซึ่งตอนเคยเป็นมนุษย์เงินเดือนเมื่อ4ปีก่อน โดนวัดKPIตลอด ทำแล้วเจ้านายหวังผลเลิศ ทำออกมาไม่ดีก็คิดมาก
เราเลยทุกข์ แต่ตอนนั้นเป็นเพราะเราไม่ปล่อยวางเอง ตอนนั้นเราอยากให้มันดีกว่านี้
เราไม่เข้าใจว่า ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ให้ปล่อยวาง และมีความสุขกับผลลัพธ์ที่ทำให้เราได้เรียนรู้และลองใหม่
ตอนนั้นใช้คำว่าปล่อยวางผิดๆ อะไรไม่สำเร็จก็ปล่อยวาง อันนั้นคือคนขี้แพ้ใช้กัน)

เพราะเราเห็นความไม่แน่นอนของชีวิตทุกวัน ทำให้เราขยันหาช่องทางสร้างรายได้หลายทาง
เชื่อมั้ยว่า เรามีช่องทางสร้างรายได้ 5-7ช่องทาง ซึ่งมันมาแบบไม่สม่ำเสมอ (ไม่ใช่MLMนะ และไม่ต้องมาชวนเราทำด้วย)
แต่เราก็สบายใจกว่าทำงานอย่างเดียว ที่ไม่รุ้ว่าบริษัทนี้จะเกิดวิกฤตเมื่อไหร่
เราสร้างรายรับไว้หลายทางมาก จนเรามั่นใจว่าskillเรามากพอที่จะทำงานไหนเพิ่มก็ได้
เจ้านายคนเก่าบอกกับเราว่า จ้างเราแล้วคุ้มมาก ทำงานได้เยอะจริงๆ ใช้ได้ทุกอย่าง
เจ้านายใหม่ก็บอกว่า คน"มีของ"อย่างคุณ อยู่ที่ไหนก็ได้ ใครๆก็รับ
กว่าเราจะยืนอยู่ได้ เราอ่านหนังสือมาไม่น้อย สัมมนาตลอด ส่วนใหญ่ก็เน้นของฟรีจากอากู๋ และเพจดังๆ
หนังสือเรายืมห้องสมุดตลอด เราเป็นสมาชิกห้องสมุดถึง3แห่ง มารวย tkpark และห้องสมุดชุมชน
เราเลยขอเคลียร์ทุกคนที่วิจารณ์เราแบบยังไม่รุ้จักเราดีพอ เพราะเราก็อยากพิมพ์แค่มุมนั้น

พอเรามาทำงานประจำ เราพบว่าเราคิดเรื่องชีวิตไม่แน่นอนน้อยลง เราสบายมากขึ้น ประมาทมากขึ้น
ก็ชีวิตทุกวันมันเป้นแบบเดิมๆนี่ สมองมันก็หลงกลไปว่าชีวิตจะเป็นแบบนี้ทุกวัน และมันก็ยังโอเคอยู่
ไม่ต้องกังวลกะอะไรทั้งนั้นเพราะมันไม่มีเวลาให้กังวลด้วย คุณต้องรอstand byให้งานบริษัทตลอด
ตอนเป็นฟรีแลนซ์ก็ไม่ดีอย่างคือ กังวลเรื่องความไม่แน่นอนมากจนเกินไป คิดทุกวันว่าความมั่นคงในชีวิตอยู่ตรงไหน
แต่เราก็ไม่ได้มีชีวิตลำบากจากการเป้นฟรีแลนซ์เลยนะ รายได้อยู่ได้ดีตลอด แต่กลับกังวลตลอดเอง
แต่มันก็ดีที่มันฝึกให้เราวางแผนชีวิตบนความไม่แน่นอนตลอดอีกเช่นกัน จนวันนี้เรามีภูมิต้านทาน
เราไม่กลัวเลยว่าบริษัทนี้จะเลิกจ้างเรา เพราะเราเคยมีskillติดตัวมากพอ เรามีอาวุธมากพอที่จะหาที่ใหม่หรือทำงานที่ต่างออกไป
ถ้าคุณทำงานประจำและฝึกสร้างอาวุธทางปัญญาด้านอื่นๆทุกวัน ขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้ง
และอย่าลืมถามตัวคุณเองว่าถ้าวันนี้คุณเสียงานนี้ไป
ความรู้สึกแรกเลยคืออะไร คุณรู้สึกสบายๆมั้ยกับการเสียงานที่ทำมานานมากนี้
คุณยิ้มรับกับการถูกเลิกจ้าง และยิ้มขอบคุณหัวหน้าที่เคยให้โอกาสรับคุณเข้าทำงานได้อย่างไม่รู้สึกแย่ใดๆได้มั้ย
เพราะคุณไม่เดือดร้อนเลย คุณมีรายได้หลายทางมาก คุณพร้อมจะสร้างรายได้จากทางอื่นๆที่คุณเตรียมไว้มานานแล้วอีกหลายช่องทาง
เราเจอสถานการณ์ถูกเลิกจ้างมาแล้ว ด้วยเหตุผลเฉพาะตัวมากๆ
แต่ขอบอกเลยว่า เรายิ้มรับอย่างสบายมาก เรามีบ่อเงินอีกหลายบ่อ  เราจะกลัวอะไร
คนที่พูดว่าตัวเองเป็นมนุษย์เงินเดือน รู้อยู่แล้วว่าชีวิตไม่แน่นอน
แล้วคุณลงมือเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ไว้หรือยัง


2.ตอนเป็นฟรีแลนซ์ เราพบว่าสนุกและอยากอ่านหนังสือพัฒนาตนเองเอามากๆ (ก็ยืมจากห้องสมุดทั้ง3นั่นแหละ)
นั่งดู TED Talk ดูไอเดียใหม่ๆ ที่เวลาเราเอาไปเล่าให้เพื่อนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายฟัง ก็จะไม่มีใครรู้จัก
เพราะเพื่อนเหล่านั้น เหนื่อยกับงานประจำมาก จนไม่มีอารมณ์สนใจงานใหม่ๆไอเดียใหม่ๆเลย
ก็ถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน แล้วตามสถานการณ์ธุรกิจโลกบ้าง พัฒนาตัวเองบ่อยๆ คุณก็คือคนที่สุดยอดอีกนั่นแหละ

3.เรามีเพื่อนแบบที่ไม่ใช่เพื่อนหน้าเดิมๆในองค์กร เราเจอคนในวงการที่หลากหลายมาก
และแต่ละคนคือคนที่มีวิสัยทัศน์ดีๆ เป็นธุรกิจใหม่ๆที่เราไม่เคยสัมผัส
แต่ตอนเป้นมนุษย์เงินเดือน คุณจะได้เจอแต่เพื่อนหน้าเดิมๆ เม้าแต่เรื่องเดิมๆ นินทาคนเดิมๆ
ถ้าเพื่อนคุณเป็นคนเจ๋ง วันๆคุยกันแต่ไอเดียใหม่ๆ มีเรื่องน่าสนใจมาเล่า
คุณโชคดีที่อยู่ในองค์กรที่พนักงานมีคุณภาพ
แต่ถ้าคุณคบเพื่อนประเภท วันๆคุยกันแต่เรื่องชาวบ้าน เรื่องที่คุณไม่รู้ว่าจะรู้ไปทำไม
ดาราคนไหนหย่ากับใคร ละครเรื่องเมื่อคืนมันสนุกยังไง วันนี้ซื้อกระเป่าหลุยส์มา ถอยรถใหม่
วิจารณ์แต่คนอื่น ไม่เคยวิจารณ์ตัวเอง ทั้งIQและEQคุณก็คงไม่พัฒนา
ไม่ใช่ว่ามีเพื่อนร่วมงานแล้วจะดีเสมอไป ถ้าเพื่อนร่วมงานคุณไม่ใช่คนที่ชอบพัฒนาตัวเอง
เราเคยเป็นมนุษย์เงินเดือนรายได้เกือบแสน เจอคนในองค์กรคุยแต่เรื่องอวดรวยทั้งวัน น่าเบื่อมาก!
แต่การทำงานฟรีแลนซ์ ทำให้เราคลุกกับเพื่อนหลากหลายวงการได้

4.เราพบว่าตอนเป้นfreelance เราทำงานให้ใคร เราก็เหมือนทำงานให้ตัวเอง
เราทำงานให้เค้าได้ดี ผลเลิศ มันก็กลับมาพิสูจน์ให้ตัวเรารู้ว่าเราเป้นคนมีศักยภาพ
เราเป็นคนเคยทำงานหลายอย่าง เรียกได้ว่า เรางัดของที่มีออกมาใช้หมด
เช่น เรารับจ๊อบเป็นล่าม เรายังงัดเอาmarketingมาเสนอเค้าด้วย คือเราไม่ได้เป็นล่ามที่แปลภาษาทื่อๆ
แต่เสนอไอเดียเอาชนะใจลูกค้าตลอด ทั้งๆที่ธุรกิจนี้เราก็ไม่ถนัดเลย แต่สุดท้าย เราก็ได้ทึ่งในตวามสามารถของตัวเอง ว่าเราทำได้อ่ะ
และยิ่งทำให้เรามั่นใจว่า เราทำงานอยู่ที่ไหนก็ได้เพิ่มขึ้นอีก
พอเรามาเป้นมนุษย์เงิน เราไม่กล้าดึงอะไรออกมาใช้ เพราะ องค์กรมันมีคอนเซปต์ของมันอยู่แล้ว
และมีคนทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว เราทำงานส่วนของคนอื่นก็ดูเราจะก้าวก่ายงานเค้า เราก็ได้แต่เก็บของไว้ในใจ
จนสุดท้ายก็ไม่ค่อยได้ชักออกมาใช้ กลายเป็นทำงานเท่าที่ทำได้ ทำตามเจ้านายไปโดยปริยาย
ซึ่งถ้าคุณทำงานเต็มที่ คิดว่าองค์กรนี้เหมือนบริษัทคุณเอง ไม่ว่าองค์กรจะได้ประโยชน์หรือไม่
แต่คุณได้ความภูมิใจไปเต็มๆ และมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นด้วย
คอมเม้นที่วิจารณ์เราว่าเราทำเพื่อตัวเอง ไม่ทำเพื่อคนอื่นนี่ คุณคิดในแง่ลบไปรึป่าว คุณเข้าใจอะไรผิดรึป่าว

เรายอมรับว่าเราติดกับดักฟรีแลนซ์ที่ไม่ต้องเจอรถติดวันละ4ชั่วโมง ได้ท่องเที่ยวราคาถูกในวันธรรมดา
แต่ทำงานวันเสาร์อาทิตย์ได้อย่างไม่เคยเกี่ยง เพราะชอบมาก ทำงานวันเสาร์อาทิตย์ ถนนโล่งงงงงงง
และมีเวลาเหลือเฟือไปพัฒนาตัวเอง พิจารณาความไม่แน่นอนของชีวิตได้ตลอด มีเวลาไปช่วยเหลือสังคม
ไม่ต้องเจอคนบ้ากิเลส ชวนกินของแพง อวดสิ่งของนอกกาย เม้านินทาแต่เรื่องคนอื่น ไม่เม้าก็อยุ่ไม่ได้

จริงๆฟรีแลนซ์ก็มีข้อเสียเปรียบหลายอย่างมากๆ
ที่คุณเป็นมนุษย์เงินเดือนอาจจะหัวเราะเยาะ
ทั้งความไม่แน่นอน กู้แบงค์ไม่ได้ ขอวีซ่ายาก
แต่เราอุดรูรั่วเหล่านั้นไว้ได้เกือบหมด
ได้ขอวีซ่าเที่ยวต่างประเทศคนเดียวมาหลายทวีปแล้ว มันเลยไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
และเป็นฟรีแลนซ์ที่อยู่รอดปลอดภัยมาได้ถึงทุกวันนี้

สิ่งที่เราจะบอกคือ เราเคยวินัยมาก ขยันมาก พัฒนาตัวเองมากตลอดเวลา
แต่เราไปอยู่ในcomfort zone จิตวิญญาณเราที่เคยเข้มแข็งมันหายไป
ซึ่งเราก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน ไม่รู้ทำไม เราถึงรุ้สึกว่าตัวเองแย่ลงอย่างน่ากลัว
และโชคดีที่เราเป็นคนพิจารณาตัวเอง เราถึงมองเห็นความเปลี่ยนไปในตัวเรา
ถ้ามนุษย์เงินเดือนทั้งหลายหมั่นพิจารณาตัวเองบ่อยๆ ยังไงชาตินี้คุณก็เจริญ
และถ้าบริษัทไหนมีสภาพแวดล้อมดีๆแบบนี้ บอกเราด้วยนะ เราจะไปสมัครเป็นมนุษย์เงินเดือน อิอิ

เป้าหมายชีวิตเราคือสร้างactive income เพื่อpassive income
เพื่อต่อไปเราจะได้ทำงานอะไรก็ได้ที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น
โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเดือนเพราะอยู่ได้ด้วยตัวเอง

ขอบคุณมนุษย์ทุกคนที่อ่านยาวขนาดนี้ และขอให้ทุกคนเป็นมนุษย์เงินเดือนแบบมืออาชีพกันทุกคนค่ะ

Pls note that
Life begins at the end of your comfort zone.
ความคิดเห็นที่ 11
ดีครับ
อปฺปมาทญฺจ เมธาวี  ธนํ เสฏฺฐํว รกฺขติ :  ปราชญ์ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้ เหมือนทรัพย์ประเสริฐสุด.

"ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ)" เขาบอกว่า ไทยอาจไม่เป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุนเหมือนที่ผ่านมาในสายตาของนักลงทุนญี่ปุ่นแล้ว เพราะเมืองไทยดีทุกอย่าง เสียแต่คนไทยมีจุดอ่อน ๑๐ อย่าง คือ

๑. คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะหน้าที่ต่อสังคม คือเป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา
เกิดเป็นธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติล้าหลังไปเรื่อยๆ

๒. การศึกษายังไม่ทันสมัย คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่างๆ ไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย ไม่มั่นใจในตัวเอง จึงตามหลังชาติอื่น จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า

๓. มองอนาคตไม่เป็น คนไทยมากกว่า ๗๐% ทำงานแบบไร้อนาคต ทำแบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนที่จะทำงานแบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน

๔. ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชีโรยหน้า หรือทำด้วยความเกรงใจ ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับสัญญาหรือข้อตกลงอย่างเคร่งครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อยๆ

๕. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประชากรประมาณ ๖๐-๗๐% ที่อยู่ห่างไกล ขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและชุมชน ซึ่งเป็นหน้าที่ภาครัฐต้องส่งเสริม

๖. การบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจหรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง

๗. อิจฉาตาร้อน สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี้ยงเป็นศรีธนญชัย ยกย่องคนมีอำนาจ มีเงิน โดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่าผู้ก่อการร้าย ดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้ารานํ้า ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามา เพราะกลัวเปลืองตัว

๘. เอ็นจีโอค้านลูกเดียว NGO บางกลุ่ม อิงอยู่กับผลประโยชน์ NGO ดีๆ ก็มี แต่มีน้อย บ่อยครั้งที่ประเทศไทยเสียโอกาสอย่างมหาศาล เพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริงๆ ไม่ได้พูดกัน

๙. ยังไม่พร้อมในเวทีโลก การสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลกของไทยยังขาดทักษะและทีมเวิร์กที่ดี ทำให้สู้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้

๑๐. เลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบันเด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกัน เป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเอง ต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเอง ขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเอง และจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม


เป็นไง...เขามองคนไทยทะลุมั้ย ผมว่า "พรุนทั้งตัว" ด้วยซ้ำ จะหวัง คสช.อุดรูพรุนด้วยปฏิรูป ก็กลัว "อกหักตอนแก่"...เฮ้อ!

…. เปลว สีเงิน (ไทยโพสท์) 16 สค 2557
ความคิดเห็นที่ 31
ไม่ได้ติดกับดักมนุษย์เงินเดือนหรือกับดักฟรีแลนซ์หรอก ติดกับดักกิเลศและความเกียจคร้านของตัวเองมากกว่า

มนุษย์เงินเดือนและฟรีแลนซ์ที่ไม่ได้รูดเงินซื้อของไร้สาระก็มีเยอะแยะ
มนุษย์เงินเดือนและฟรีแลนซ์ที่ตั้งใจทำงานอยู่เสมอก็มีเยอะแยะ
มนุษย์เงินเดือนและฟรีแลนซ์ที่สนใจเรียนรู้ศึกษาปรับปรุงคุณภาพงานก็มีเยอะแยะ
ความคิดเห็นที่ 40
ผมว่าเค้ามาแชร์มุมมองของเค้านะ ส่วนใครที่ชอบทำงานเงินเดือนประจำก็ไม่ต้องไปแขวะจขกทหรอก
แชร์มุมมองตัวเองออกมาก็เท่านั้น ถ้าไม่เปิดใจรับความคิดคนอื่นบ้างเราก็คงไม่พัฒนาไปไหน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่