นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยผลการประชุมผู้บริหารองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เร็วๆ นี้ว่า ที่ประชุมได้รับรายงานผลการดำเนินงานศึกษาวิจัยเรื่อง ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาการกวดวิชา ของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ (สนย.) สำนักงานปลัด ศธ. โดยงานวิจัยดังกล่าวเป็นการสังเคราะห์รายงานวิจัย ปริญญานิพนธ์ และวิทยานิพนธ์ ในช่วงปี 2545-2557 เผยแพร่ในหนังสือวิชาการ บทความ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 27 เรื่อง
โดยผลการสังเคราะห์พบว่า มีผู้ประกอบการธุรกิจกวดวิชา ทั้งโรงเรียนกวดวิชา และติวเตอร์อิสระรายใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2555 ประเทศไทยมีโรงเรียนกวดวิชา 2,005 แห่ง แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 460 แห่ง และภูมิภาค 1,545 แห่ง มีนักเรียนที่เรียนกวดวิชา 453,881 คน คิดเป็น 12% ของจำนวนนักเรียนระดับมัธยมศึกษาทั้งหมด ส่วนมูลค่าตลาดธุรกิจกวดวิชานั้น ในปี 2556 อยู่ที่ประมาณ 7,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท และจะเติบโตไปสู่ 8,189 ล้านบาทในปี 2558 หรือเติบโตเฉลี่ย 5.4% ต่อปี คาดว่ามีปัจจัยหนุนมาจากการเพิ่มราคาค่าเรียน และจำนวนนักเรียนที่เรียนกวดวิชาเพิ่มขึ้น
สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกวดวิชา เช่น ผู้เรียนคาดว่าจะทำให้ผลการเรียนดีขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการสอบได้ ใช้เตรียมตัวสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ต้องการเทคนิคการทำข้อสอบ และไม่เชื่อมั่นในคุณภาพของสถาบันอุดมศึกษา ส่วนผลกระทบจากการกวดวิชา เช่น ค่าใช้จ่ายในการเรียนกวดวิชาต่อเทอมค่อนข้างสูง ผู้เรียนต้องออกนอกบ้าน และสถาบันกวดวิชาไม่เน้นสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ส่วนข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหากวดวิชา เช่น ต้องพัฒนาศักยภาพของสถานศึกษาให้เท่าเทียมกัน สร้างแรงจูงใจให้นักเรียนตั้งใจเรียนในห้องเรียน และปรับระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย หรือเข้าศึกษาต่อในระดับชั้นต่างๆ
อย่างไรก็ตามที่ประชุมมอบให้ สนย. ไปศึกษาวิจัยประเด็นดังกล่าวในเชิงลึกอีกครั้ง รวมทั้งให้ไปศึกษากรณีโรงเรียนที่เปิดสอนกวดวิชา หรือสอนพิเศษในช่วงเย็น หรือเสาร์-อาทิตย์ให้แก่นักเรียนด้วย ว่ามีการสอนอะไร อย่างไร และครูมีการกั๊กวิชาในห้องเรียนหรือไม่ โดยให้เร่งสรุปผลเสนอในการประชุมปฏิบัติการ เพื่อระดมความคิดเห็นกำหนดยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาการกวดวิชาต้นเดือนกันยายน
มติชน
สงสัยประเด็นเพิ่มคือ ความคุ้มค่าของผู้เรียนเอง ตั้งใจไปเรียนหรือไปตามกระแส เรียนแล้วผลการเรียนดีขึ้นไหม (พ่อแม่และผู้เรียนน่าจะประเมินกันเองได้) ไปเรียนก็นั่งดูจากวีดีโอ แจกชีตทำข้อสอบหรือสอนแบบตัวต่อตัว แต่ละสำนักมีเปอร์เซ็นต์อัตราส่วนผู้ติวที่สอบติดหรือประสบผลการเรียนเท่าไร
แบบอย่างของนักเรียนที่เรียนในห้องเรียนและศึกษาเพิ่มเติมเองโดยไม่ต้องติวให้เสียเงินทองมีมากแค่ไหนครับ
ผลวิจัยการกวดวิชาปริญญานิพนธ์ และวิทยานิพนธ์ ในช่วงปี 2545-2557
โดยผลการสังเคราะห์พบว่า มีผู้ประกอบการธุรกิจกวดวิชา ทั้งโรงเรียนกวดวิชา และติวเตอร์อิสระรายใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2555 ประเทศไทยมีโรงเรียนกวดวิชา 2,005 แห่ง แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 460 แห่ง และภูมิภาค 1,545 แห่ง มีนักเรียนที่เรียนกวดวิชา 453,881 คน คิดเป็น 12% ของจำนวนนักเรียนระดับมัธยมศึกษาทั้งหมด ส่วนมูลค่าตลาดธุรกิจกวดวิชานั้น ในปี 2556 อยู่ที่ประมาณ 7,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท และจะเติบโตไปสู่ 8,189 ล้านบาทในปี 2558 หรือเติบโตเฉลี่ย 5.4% ต่อปี คาดว่ามีปัจจัยหนุนมาจากการเพิ่มราคาค่าเรียน และจำนวนนักเรียนที่เรียนกวดวิชาเพิ่มขึ้น
สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกวดวิชา เช่น ผู้เรียนคาดว่าจะทำให้ผลการเรียนดีขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการสอบได้ ใช้เตรียมตัวสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ต้องการเทคนิคการทำข้อสอบ และไม่เชื่อมั่นในคุณภาพของสถาบันอุดมศึกษา ส่วนผลกระทบจากการกวดวิชา เช่น ค่าใช้จ่ายในการเรียนกวดวิชาต่อเทอมค่อนข้างสูง ผู้เรียนต้องออกนอกบ้าน และสถาบันกวดวิชาไม่เน้นสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ส่วนข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหากวดวิชา เช่น ต้องพัฒนาศักยภาพของสถานศึกษาให้เท่าเทียมกัน สร้างแรงจูงใจให้นักเรียนตั้งใจเรียนในห้องเรียน และปรับระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย หรือเข้าศึกษาต่อในระดับชั้นต่างๆ
อย่างไรก็ตามที่ประชุมมอบให้ สนย. ไปศึกษาวิจัยประเด็นดังกล่าวในเชิงลึกอีกครั้ง รวมทั้งให้ไปศึกษากรณีโรงเรียนที่เปิดสอนกวดวิชา หรือสอนพิเศษในช่วงเย็น หรือเสาร์-อาทิตย์ให้แก่นักเรียนด้วย ว่ามีการสอนอะไร อย่างไร และครูมีการกั๊กวิชาในห้องเรียนหรือไม่ โดยให้เร่งสรุปผลเสนอในการประชุมปฏิบัติการ เพื่อระดมความคิดเห็นกำหนดยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาการกวดวิชาต้นเดือนกันยายน
มติชน
สงสัยประเด็นเพิ่มคือ ความคุ้มค่าของผู้เรียนเอง ตั้งใจไปเรียนหรือไปตามกระแส เรียนแล้วผลการเรียนดีขึ้นไหม (พ่อแม่และผู้เรียนน่าจะประเมินกันเองได้) ไปเรียนก็นั่งดูจากวีดีโอ แจกชีตทำข้อสอบหรือสอนแบบตัวต่อตัว แต่ละสำนักมีเปอร์เซ็นต์อัตราส่วนผู้ติวที่สอบติดหรือประสบผลการเรียนเท่าไร
แบบอย่างของนักเรียนที่เรียนในห้องเรียนและศึกษาเพิ่มเติมเองโดยไม่ต้องติวให้เสียเงินทองมีมากแค่ไหนครับ