คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
ตอนอายุ 18-19
เคยขึ้นรถเมล์ไม่มีตังจ่ายขาดอีก 1.50 บาท
เคยกินข้าววันนึง 2 มื๊อ
เคยซื้อข้าวมื้อละ 15 บาท
เคยขาดเงินอีก 2 บาท จะซื้อข้าวจานละ 30 ได้
เคยนั่งมองคนอื่นกินข้าวแล้วได้แต่กลืนน้ำลาย
เคยนั่งรถเมล์กลับห้อง 5 ทุ่มทุกวัน
เคยนั่งรถมอไซด์ ต่อด้วยรถเมล์ ต่อด้วย bts ที่เอกมัย เปลี่ยนขบวนที่สยาม ต่อไป วงเวียนใหญ่ ต่อด้วยรถเมล์ เพื่อไปทำงานที่เดอะมอลล์ท่าพระ
เคยน้อยใจโชคชะตาร้องให้บนรถเมล์ น้ำตาไหลพรากกก
สำหรับคนอื่นนี่มันเป็นเรื่องลำบาก แต่ไม่น่าเชื่อว่าช่วงชีวิตนั้นกลับมีความสุขที่สุดนะ
ส่งผลให้ปัจจุบัน
เป็นคนชอบความอันตราย ความท้าทาย ความเสี่ยง ความวุ่นวายทุกรูปแบบ
กลับเข้ามาอ่านอีกทีคนเยอะเลยยย อ่านกระทู้นี้แล้วมีกำลังใจเยอะเลยค่ะ
เล่าเพิ่ม**
การกินข้าว 2 มื้อของเรา ตื่น 6 โมงเช้า นั่งวินต่อเรือ แล้วก็เดินอีก 2 กิโล ไม่มีตังขึ้นวินต่อ แวะซื้อข้าวเหนียวหมูโปะ 15 บาท หรือซื้อหมูปิ้ง 2 ไม้ข้าวเหนียวห่อ มื้อแรก 11.00 มื้อสอง 19.00 โดยประมาณค่ะ เคยซื้อน้ำขวดใหญ่(ตอนนั้นจำเป็นในห้างไม่มีที่กดน้ำ)อยู่ได้ทั้งอาทิตย์ ตอนกลับ เดินกลับ 2 กิโล รอรถเมล์ต่อถึงห้องเที่ยงคืน
เคยต้องไปทำงานไกลๆนั่งรถเมล์วันละเกือบ 3 ชม. มีวันนึงนั่งผิดสายไปลงที่ไหนก็ไม่รู้ ตลาดอะไรซักอย่าง เดินไปเรื่อยๆเกือบ 5 กิโล มองไปเจอป้ายรถเมล์ ดีใจมากก นั่งรอรถเมล์คนเดียวอีก 2 ชม. รถเมล์มาตอนตี 2 คิดว่าวันนั้นจะไม่ได้กลับห้องซะแล้ว น้ำตาจะไหล กลัวก็กลัวตังก็ไม่มีขึ้นแทกซี่ เลยต้องรอรถเมล์
***เพิ่มเติมเหตุการณ์บนรถเมล์ ร้องให้น้ำตาไหลพรากแบบสะอื้นเลยล่ะ ปอ.40 ตอน 5 ทุ่ม คนแน่นขนัด 5555 อายไหม ไม่นะตอนนั้นสุดๆแล้วจริงๆ คนเข้ามาปลอบมาถามเต็มแต่ ณ จุดนั้น ไม่สนใจอะไรแล้ว ใจคิดถึงแต่ครอบครัว
จริงๆมีอีกเยอะนะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตน่ะ
แต่เท่าที่อ่านของคนอื่นแล้ว ของเราชิวๆไปเลย
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเผชิญหน้ากับทุกปัญหานะคะ ปัญหาทุกอย่างมีทางออก
ขอบคุณตัวเองที่ไม่เคยยอมแพ้ ไม่เคยดูถูกตัวเองเลยสักครั้ง ถึงแม้เคยหลงทางไปบ้าง แต่ก็สามารถกลับมาเดินทางเดิมได้แล้ว
ความคิดในหัวตอนนี้คือต้องรวย ต้องเป็นเจ้าคนนายคน ครอบครัวต้องสุขสบายและมันต้องไม่ใช่แค่ความคิด
สู้ๆ นะคะทุกคน
เคยขึ้นรถเมล์ไม่มีตังจ่ายขาดอีก 1.50 บาท
เคยกินข้าววันนึง 2 มื๊อ
เคยซื้อข้าวมื้อละ 15 บาท
เคยขาดเงินอีก 2 บาท จะซื้อข้าวจานละ 30 ได้
เคยนั่งมองคนอื่นกินข้าวแล้วได้แต่กลืนน้ำลาย
เคยนั่งรถเมล์กลับห้อง 5 ทุ่มทุกวัน
เคยนั่งรถมอไซด์ ต่อด้วยรถเมล์ ต่อด้วย bts ที่เอกมัย เปลี่ยนขบวนที่สยาม ต่อไป วงเวียนใหญ่ ต่อด้วยรถเมล์ เพื่อไปทำงานที่เดอะมอลล์ท่าพระ
เคยน้อยใจโชคชะตาร้องให้บนรถเมล์ น้ำตาไหลพรากกก
สำหรับคนอื่นนี่มันเป็นเรื่องลำบาก แต่ไม่น่าเชื่อว่าช่วงชีวิตนั้นกลับมีความสุขที่สุดนะ
ส่งผลให้ปัจจุบัน
เป็นคนชอบความอันตราย ความท้าทาย ความเสี่ยง ความวุ่นวายทุกรูปแบบ
กลับเข้ามาอ่านอีกทีคนเยอะเลยยย อ่านกระทู้นี้แล้วมีกำลังใจเยอะเลยค่ะ
เล่าเพิ่ม**
การกินข้าว 2 มื้อของเรา ตื่น 6 โมงเช้า นั่งวินต่อเรือ แล้วก็เดินอีก 2 กิโล ไม่มีตังขึ้นวินต่อ แวะซื้อข้าวเหนียวหมูโปะ 15 บาท หรือซื้อหมูปิ้ง 2 ไม้ข้าวเหนียวห่อ มื้อแรก 11.00 มื้อสอง 19.00 โดยประมาณค่ะ เคยซื้อน้ำขวดใหญ่(ตอนนั้นจำเป็นในห้างไม่มีที่กดน้ำ)อยู่ได้ทั้งอาทิตย์ ตอนกลับ เดินกลับ 2 กิโล รอรถเมล์ต่อถึงห้องเที่ยงคืน
เคยต้องไปทำงานไกลๆนั่งรถเมล์วันละเกือบ 3 ชม. มีวันนึงนั่งผิดสายไปลงที่ไหนก็ไม่รู้ ตลาดอะไรซักอย่าง เดินไปเรื่อยๆเกือบ 5 กิโล มองไปเจอป้ายรถเมล์ ดีใจมากก นั่งรอรถเมล์คนเดียวอีก 2 ชม. รถเมล์มาตอนตี 2 คิดว่าวันนั้นจะไม่ได้กลับห้องซะแล้ว น้ำตาจะไหล กลัวก็กลัวตังก็ไม่มีขึ้นแทกซี่ เลยต้องรอรถเมล์
***เพิ่มเติมเหตุการณ์บนรถเมล์ ร้องให้น้ำตาไหลพรากแบบสะอื้นเลยล่ะ ปอ.40 ตอน 5 ทุ่ม คนแน่นขนัด 5555 อายไหม ไม่นะตอนนั้นสุดๆแล้วจริงๆ คนเข้ามาปลอบมาถามเต็มแต่ ณ จุดนั้น ไม่สนใจอะไรแล้ว ใจคิดถึงแต่ครอบครัว
จริงๆมีอีกเยอะนะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตน่ะ
แต่เท่าที่อ่านของคนอื่นแล้ว ของเราชิวๆไปเลย
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเผชิญหน้ากับทุกปัญหานะคะ ปัญหาทุกอย่างมีทางออก
ขอบคุณตัวเองที่ไม่เคยยอมแพ้ ไม่เคยดูถูกตัวเองเลยสักครั้ง ถึงแม้เคยหลงทางไปบ้าง แต่ก็สามารถกลับมาเดินทางเดิมได้แล้ว
ความคิดในหัวตอนนี้คือต้องรวย ต้องเป็นเจ้าคนนายคน ครอบครัวต้องสุขสบายและมันต้องไม่ใช่แค่ความคิด
สู้ๆ นะคะทุกคน
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
เคยตอนบวช พึ่งสึกมาใหม่ๆ ยังไม่รู้จะเอายังไงดีกับชีวิต มีเงินติดตัวอยู่ 3 พันกว่าบาท
นำไปลงทุนซื้อแว่นมาขาย ตามตลาดนัด ระหว่างรอสัมภาษณ์งานประจำที่ต่างๆ
เอาเงินที่มีอยู่ทั้งหมดไปลงทุน เพื่อที่จะนำมาขายวันอาทิตย์
ปรากฏว่าลืมคิดเผื่อค่าเช่าล็อคไป ก็นั่งลุ้นว่าให้ขายได้ก่อนซักอันนึง แล้วเจ้าของตลาดค่อยเดินมาเก็บ
แต่เจ้าของร้านก็มาเก็บซะก่อน บอกไปว่าไม่มีจ่ายๆ โดนเจ้าของตลาดไล่อย่างกับหมูกับหมาเลยครับ
เก็บแผง ขับรถกลับห้องมา ยางแตก จอดแอบไว้ข้างถนน เดินกลับหอ ประมาณ 10 กิโล ฝนตกอีก มีเงินติดตัว อยู่ 3 บาท
กดน้ำเปล่าดื่มลูบท้องไปพลางๆคืนนั้น รุ่งเช้าตื่นมา ต้องไปปะยางรถ ต้องมีค่าเช่าแผง ทำยังไงดี??
ก็เลยยกไมโครเวฟ รุ่นดึกดำบรรพ์ (หนักมาก) เดินไปกว่า 7 กิโลบนถนนใหญ่สายเอเชีย เพื่อไปจำนำ
ไปถึงร้าน เขาไม่รับจำนำ อ้อนวอนเขาตั้งนาน สรุปเขาจะช่วยซื้อขาดเลย 100 บาท ก็ตัดสินใจขายๆไป (นึกในใจคืนนี้จะเอาอะไรต้มมาม่ากิน)
เดินกลับไปที่รถที่จอดไว้เมื่อคืน เข็นรถไปปะยาง 130 บาท (ติดร้านเขาไว้ 30 บาท) แล้วออกไปขายของที่ตลาดนัดแห่งใหม่ (โปรโมชั่นฟรีค่าเช่าล็อค)
วันนั้นหลังจากที่ขายแว่น เปิดบิลแรกได้มา 80 บาท น้ำตาไหลเลยครับ
มาจนถึงทุกวันนี้ เวลาเจอปัญหาอะไรใหญ่ๆหนักเข้ามา ก็จะนึกถึงเหตุการณ์นี้ เพื่อเตือนสติตัวเองอยู่เสมอว่า "อย่ายอมแพ้ !!"
ปัจจุบันอายุ 27 ปี เป็น Sales & Marketing Manager อยู่บริษัทต่างชาติ รายได้รวมๆประมาณ 70000 กว่าบาท ก็เพราะคำว่า "อย่ายอมแพ้" คำนี้แหละครับ
สู้ๆนะครับ ทุกๆคน
แก้คำผิดครับ
นำไปลงทุนซื้อแว่นมาขาย ตามตลาดนัด ระหว่างรอสัมภาษณ์งานประจำที่ต่างๆ
เอาเงินที่มีอยู่ทั้งหมดไปลงทุน เพื่อที่จะนำมาขายวันอาทิตย์
ปรากฏว่าลืมคิดเผื่อค่าเช่าล็อคไป ก็นั่งลุ้นว่าให้ขายได้ก่อนซักอันนึง แล้วเจ้าของตลาดค่อยเดินมาเก็บ
แต่เจ้าของร้านก็มาเก็บซะก่อน บอกไปว่าไม่มีจ่ายๆ โดนเจ้าของตลาดไล่อย่างกับหมูกับหมาเลยครับ
เก็บแผง ขับรถกลับห้องมา ยางแตก จอดแอบไว้ข้างถนน เดินกลับหอ ประมาณ 10 กิโล ฝนตกอีก มีเงินติดตัว อยู่ 3 บาท
กดน้ำเปล่าดื่มลูบท้องไปพลางๆคืนนั้น รุ่งเช้าตื่นมา ต้องไปปะยางรถ ต้องมีค่าเช่าแผง ทำยังไงดี??
ก็เลยยกไมโครเวฟ รุ่นดึกดำบรรพ์ (หนักมาก) เดินไปกว่า 7 กิโลบนถนนใหญ่สายเอเชีย เพื่อไปจำนำ
ไปถึงร้าน เขาไม่รับจำนำ อ้อนวอนเขาตั้งนาน สรุปเขาจะช่วยซื้อขาดเลย 100 บาท ก็ตัดสินใจขายๆไป (นึกในใจคืนนี้จะเอาอะไรต้มมาม่ากิน)
เดินกลับไปที่รถที่จอดไว้เมื่อคืน เข็นรถไปปะยาง 130 บาท (ติดร้านเขาไว้ 30 บาท) แล้วออกไปขายของที่ตลาดนัดแห่งใหม่ (โปรโมชั่นฟรีค่าเช่าล็อค)
วันนั้นหลังจากที่ขายแว่น เปิดบิลแรกได้มา 80 บาท น้ำตาไหลเลยครับ
มาจนถึงทุกวันนี้ เวลาเจอปัญหาอะไรใหญ่ๆหนักเข้ามา ก็จะนึกถึงเหตุการณ์นี้ เพื่อเตือนสติตัวเองอยู่เสมอว่า "อย่ายอมแพ้ !!"
ปัจจุบันอายุ 27 ปี เป็น Sales & Marketing Manager อยู่บริษัทต่างชาติ รายได้รวมๆประมาณ 70000 กว่าบาท ก็เพราะคำว่า "อย่ายอมแพ้" คำนี้แหละครับ
สู้ๆนะครับ ทุกๆคน
แก้คำผิดครับ
ความคิดเห็นที่ 40
ที่บ้านข้าราชการทั้งบ้าน พ่อแม่มีเงินให้เรียน แต่ไม่มี่ให้เล่น
เข้า มธ. เพื่อนทั้งกลุ่มมีฐานะ เราด้อยสุด
อยากได้อะไรก็ทำเอาเอง อยากได้กระเป๋าใส่หนังสือ ซื้อผ้า ซื้อหนังมาเย็บเอง
ไอ้เพื่อนเศรษฐี บอก เฮ้ยเก่ง ทำให้บ้างดี กลายเป็นปมเด่นไป
ตัดกระโปรงบ้าบอใส่เอง ย้อมสีรองเท้าผ้าใบ ทำทุกอย่างตามใจฝัน (เพราะทุนน้อย)
เพื่อนที่รวยที่สุดมาบอกตอนแก่ว่า อิจฉาแกตั้งแต่เรียนแล้ว
แกมั่นมาก และมีความสุขในตัวเองเสมอ
มานึกตอนนี้ เป็นเพราะเราไม่เคยเปรียบเทียบกับคนอื่น เลยไม่ทุรนทุราย
มีทุนแค่ไหน ก็พลิกแพลง เล่นสนุกกันมัน กลายเป็นปมเด่นไป
เข้า มธ. เพื่อนทั้งกลุ่มมีฐานะ เราด้อยสุด
อยากได้อะไรก็ทำเอาเอง อยากได้กระเป๋าใส่หนังสือ ซื้อผ้า ซื้อหนังมาเย็บเอง
ไอ้เพื่อนเศรษฐี บอก เฮ้ยเก่ง ทำให้บ้างดี กลายเป็นปมเด่นไป
ตัดกระโปรงบ้าบอใส่เอง ย้อมสีรองเท้าผ้าใบ ทำทุกอย่างตามใจฝัน (เพราะทุนน้อย)
เพื่อนที่รวยที่สุดมาบอกตอนแก่ว่า อิจฉาแกตั้งแต่เรียนแล้ว
แกมั่นมาก และมีความสุขในตัวเองเสมอ
มานึกตอนนี้ เป็นเพราะเราไม่เคยเปรียบเทียบกับคนอื่น เลยไม่ทุรนทุราย
มีทุนแค่ไหน ก็พลิกแพลง เล่นสนุกกันมัน กลายเป็นปมเด่นไป
ความคิดเห็นที่ 54
ต่อ/
ผมก็สดุ้งตื่น เชื่อไหมคนไม่เคยกินอาหาร มา 6 วัน แต่มีแรงเหมือนไม่ป่วยเลย แต่พอเข้าไปส่องกระจกดู
หน้าขาวเผือก เหมือนคนตายเลย ที่แขน และขามีอาการเหมือนเป็นเหน็บ ช่วงนั้นประมาณ 6 โมงเช้ากว่า ไม่รีรอไป
ตลาด ไปซื้อหมากพูล ผ้าไตรจีวร แล้วเครื่องทำบุญ (ผู้อ่านอาจจะงงผมเอาเงินมาจากไหน ผมเอาทองไปจำนำ ได้เงิน
มาหลายพันบาท) แล้วถามร้านสังฆภัณฑ์ ว่าวัดไหนทำศังฆทาน ต่อชะตาชีวิตบ้าง เขาบอกมีวัดหนึ่ง แล้ววาดแแผนที่
เชื่อไหม ผมขับวนหาอยู่ 4-5 ชม. ไม่เจอ ไปถามทางก็ขับไปก็ไม่เจอ จนไปวัดอื่นๆ พระที่ทำพิฑีด้านนี้ก็ไม่มีอีก
เวรกรรมอะไรของผมแล้ว จนแล้วจนรอดไม่รู้จะทำอย่างไร ผมร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรไม่อายใครเลย คิดถึงลูก โทรไป
หาคนเลี้ยงก็ไม่ติด โทรไปหาแม่ของเขาก็ปิดโทรศัพท์ โทรไปหาเพื่อน ก็ไม่ติด ห่วงลูกอย่างสุด ครั้งจะขับไปหาลูก 4 ชม
เป็นอย่างต่ำ ต้องมืดก่อนแน่เลย ตอนนี้ก้ บ่ายโมงกว่าแล้ว
ผมยกมือท่วมขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหมือนตอนที่ผมจะขาย
บ้าน สุดท้ายก็๋ได้เจอวัดนั้น แล้ทำพิธีทัน ตอนออกวัดกลับมาถึงบ้านใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง อย่างนี้เขาเรียก ว่ากรรมบังตา
แน่เลย พอมาถึงบ้านอาบน้ำ อาบท่า ทานข้าวมื้อที่อร่อยที่สุด เพราะมันอาจเป็นมือสุดท้ายในชีวิต พร้อมเขียนพินัยกรรม
1 ฉบับ แล้วขับรถไปหาลูกสาว พอไปเจอลูกสาวน้ำตาไหลเลย กอดลูกสาว ตอนนั้นลูกสาวผอม ตัวเหลือง คนเลี้ยงบอก
ว่า 2-3 วันนี้ งอแงตลอด ไม่หลับไม่นอน ไม่กินอะไรอะไร เลยวันนี้พาไปหาหมอ จากนั้นก็มอบพินัยกรรมฝากฝังเรื่องผมไว้
กับคนเลี้ยง ถ้าพรุ่งนี้ผมไม่มาหาให้เอาพินัยกรรมนี้ไปให้เพื่อนผม เขาจะจัดการให้ แล้วอย่างไรถ้าเป็นไปได้ผมฝากลูก
สาวไว้ก่อนน่ะ
จากนั้นขับรถไปชายทะเลบางแสน นั่งอยู่บนเก้าอี้สธารณะริมหาดที่เขาจัดไว้ จนถึงเช้า ปรากฎว่าผมไม่ตาย
ผมดีใจมากๆๆๆ จากนั้นผมก็เจอแต่สิ่งดีๆ ได้ตำแหน่งราชการคืน ได้ซื้อบ้าน 1หลังทั้งๆที่ติดบูโร เพราะสวัสดิการ
และที่สำคัญ ได้เอาลูกมาเลี้ยงต้งแต่ 2 ขวบ ครึ่ง จนถึง 6 ขวบกว่า ชีวิตมีความสุขดี เพราะได้ทำตามสัญญาคือช่วย
ชาวบ้านอย่างไม่คิดอะไร ดูแลมารดา เจ้านายให้ตำแหน่งเจริญก้าวหน้าก็ไม่รับ ขอเพียงได้อยู่กับลูกสาว ได้เห็นหน้า
ลูกสาว แค่นี้ก็พอแล้ว เพราะถ้าช่วงที่สุดแห่งชีวิตคือหายไปแล้ว เงินทอง ลาภยศ ฐาบรรดาศักดิ์ มันไม่สำคัญเลย
*****ที่เล่ามาชีวิตผมคงตกต่ำสุดๆ แล้ว คือถึงขั้นเกือบเสียชีวิต แต่รอดมาได้ ดังนั้น ความดี และสัจจะ
คุณธรรมเป็สิ่งที่ยั่งยืนมากกว่าอื่นใด
ปล. สิ่งที่ผมเล่ามาเหมือนนิยาย แต่นิยายฉบับคนที่เจ็บปวดก็คือผม
ผมไม่เก็บมันไว้ หรือถือมันไว้ เพียงแต่ให้กระตุ้นเตือน ว่าอย่าประมาทกับชีวิต
ถ้ายังไม่เคย ถือยังไม่ได้ทำอะไรก็ รีบทำ ก่อนจะสาย คงไม่มีใครโชคดีเหมือนผมน่ะครับ
---จบ---
------
ผมก็สดุ้งตื่น เชื่อไหมคนไม่เคยกินอาหาร มา 6 วัน แต่มีแรงเหมือนไม่ป่วยเลย แต่พอเข้าไปส่องกระจกดู
หน้าขาวเผือก เหมือนคนตายเลย ที่แขน และขามีอาการเหมือนเป็นเหน็บ ช่วงนั้นประมาณ 6 โมงเช้ากว่า ไม่รีรอไป
ตลาด ไปซื้อหมากพูล ผ้าไตรจีวร แล้วเครื่องทำบุญ (ผู้อ่านอาจจะงงผมเอาเงินมาจากไหน ผมเอาทองไปจำนำ ได้เงิน
มาหลายพันบาท) แล้วถามร้านสังฆภัณฑ์ ว่าวัดไหนทำศังฆทาน ต่อชะตาชีวิตบ้าง เขาบอกมีวัดหนึ่ง แล้ววาดแแผนที่
เชื่อไหม ผมขับวนหาอยู่ 4-5 ชม. ไม่เจอ ไปถามทางก็ขับไปก็ไม่เจอ จนไปวัดอื่นๆ พระที่ทำพิฑีด้านนี้ก็ไม่มีอีก
เวรกรรมอะไรของผมแล้ว จนแล้วจนรอดไม่รู้จะทำอย่างไร ผมร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรไม่อายใครเลย คิดถึงลูก โทรไป
หาคนเลี้ยงก็ไม่ติด โทรไปหาแม่ของเขาก็ปิดโทรศัพท์ โทรไปหาเพื่อน ก็ไม่ติด ห่วงลูกอย่างสุด ครั้งจะขับไปหาลูก 4 ชม
เป็นอย่างต่ำ ต้องมืดก่อนแน่เลย ตอนนี้ก้ บ่ายโมงกว่าแล้ว
ผมยกมือท่วมขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหมือนตอนที่ผมจะขาย
บ้าน สุดท้ายก็๋ได้เจอวัดนั้น แล้ทำพิธีทัน ตอนออกวัดกลับมาถึงบ้านใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง อย่างนี้เขาเรียก ว่ากรรมบังตา
แน่เลย พอมาถึงบ้านอาบน้ำ อาบท่า ทานข้าวมื้อที่อร่อยที่สุด เพราะมันอาจเป็นมือสุดท้ายในชีวิต พร้อมเขียนพินัยกรรม
1 ฉบับ แล้วขับรถไปหาลูกสาว พอไปเจอลูกสาวน้ำตาไหลเลย กอดลูกสาว ตอนนั้นลูกสาวผอม ตัวเหลือง คนเลี้ยงบอก
ว่า 2-3 วันนี้ งอแงตลอด ไม่หลับไม่นอน ไม่กินอะไรอะไร เลยวันนี้พาไปหาหมอ จากนั้นก็มอบพินัยกรรมฝากฝังเรื่องผมไว้
กับคนเลี้ยง ถ้าพรุ่งนี้ผมไม่มาหาให้เอาพินัยกรรมนี้ไปให้เพื่อนผม เขาจะจัดการให้ แล้วอย่างไรถ้าเป็นไปได้ผมฝากลูก
สาวไว้ก่อนน่ะ
จากนั้นขับรถไปชายทะเลบางแสน นั่งอยู่บนเก้าอี้สธารณะริมหาดที่เขาจัดไว้ จนถึงเช้า ปรากฎว่าผมไม่ตาย
ผมดีใจมากๆๆๆ จากนั้นผมก็เจอแต่สิ่งดีๆ ได้ตำแหน่งราชการคืน ได้ซื้อบ้าน 1หลังทั้งๆที่ติดบูโร เพราะสวัสดิการ
และที่สำคัญ ได้เอาลูกมาเลี้ยงต้งแต่ 2 ขวบ ครึ่ง จนถึง 6 ขวบกว่า ชีวิตมีความสุขดี เพราะได้ทำตามสัญญาคือช่วย
ชาวบ้านอย่างไม่คิดอะไร ดูแลมารดา เจ้านายให้ตำแหน่งเจริญก้าวหน้าก็ไม่รับ ขอเพียงได้อยู่กับลูกสาว ได้เห็นหน้า
ลูกสาว แค่นี้ก็พอแล้ว เพราะถ้าช่วงที่สุดแห่งชีวิตคือหายไปแล้ว เงินทอง ลาภยศ ฐาบรรดาศักดิ์ มันไม่สำคัญเลย
*****ที่เล่ามาชีวิตผมคงตกต่ำสุดๆ แล้ว คือถึงขั้นเกือบเสียชีวิต แต่รอดมาได้ ดังนั้น ความดี และสัจจะ
คุณธรรมเป็สิ่งที่ยั่งยืนมากกว่าอื่นใด
ปล. สิ่งที่ผมเล่ามาเหมือนนิยาย แต่นิยายฉบับคนที่เจ็บปวดก็คือผม
ผมไม่เก็บมันไว้ หรือถือมันไว้ เพียงแต่ให้กระตุ้นเตือน ว่าอย่าประมาทกับชีวิต
ถ้ายังไม่เคย ถือยังไม่ได้ทำอะไรก็ รีบทำ ก่อนจะสาย คงไม่มีใครโชคดีเหมือนผมน่ะครับ
---จบ---
------
ความคิดเห็นที่ 28
ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่ตั้งกระทู้แบบนี้ขึ้นมาครับ
ชอบ...เพราะให้กำลังใจได้ดี อย่างน้อยมันก็ทำให้เราคิดได้ว่า เราคิดว่าเราลำบากแล้ว แต่ยังมีคนที่ลำบากกว่าเราอีกเยอะ
ของผมเจออยู่ 2 ช่วงครับ ช่วงแรกคือตอนเป็นเด็ก รู้สึกจะประมาณ ป.1 ผมมีพ่อที่เจ้าชู้มาก เค้าออกไปเที่ยวและออกไปหาผู้หญิงคนอื่นทุกคืน (มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่นไม่รู้ตั้งกี่คน) พอกลับมาถึงบ้านดึกๆ แม่ถามว่าไปไหนมาก็บอกว่าอย่ามายุ่ง เรื่องของเค้า พอแม่ผมถามต่อไปอีกเค้าก็อาละวาดทั้งคำพูด ด่าแม่ผมแบบไม่เกรงใจคนข้างบ้าน แถมยังตบตีแม่ต่อหน้าผมกับพี่ชายที่นอนคลุมโปงอยู่บนเตียงเงียบๆ ไม่กล้ายุ่ง เพราะกลัวครับ เหตุการณ์เป็นแบบนี้ทุกคืนจนแม่ผมทนไม่ไหว เค้าบอกพ่อผมว่าหย่ากันเถอะ พ่อผมก็ยิ้มเหมือนกำลังรอให้แม่พูดคำนี้อยู่
หลังจากหย่ากัน แม่ผมก็กลายเป็นคนติดเหล้า ออกไปกินเหล้ากับเพื่อนที่อยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งทุกคืน กลับมาก็นอนร้องห่มร้องไห้ ผมกับพี่ชายก็ไม่รู้จะทำยังไง เด็กขนาดนั้นมันนึกคำปลอบใจไม่ออกหรอกครับ ต่อมาไม่นาน เหตุการณ์ร้ายแรงกว่านั้นก็เกิดขึ้นกับแม่ผม ท่านประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตครับ ผมที่กำลังจะขึ้น ป.3 ร้องไห้จนน้ำตาแทบไม่เหลือ เพราะคิดว่าตอนนั้นไม่เหลือใครอีกแล้ว พี่ชายผมก็เหมือนกัน ทั้งที่มานึกย้อนดูแล้ว ผมยังเหลือป้าที่เป็นพี่สาวของแม่อยู่ และก็เพราะป้านี่แหละครับที่เป็นคนทำให้ชีวิตผมกับพี่ชายไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก ท่านเลี้ยงดูผมกับพี่ชายแล้วก็ลูกชายของตัวเองอีกคนนึงมาด้วยตัวคนเดียว (ทั้งๆ ที่สามีเค้าก็ออกไปมีเมียน้อยและอาศัยอยู่กับเมียน้อยคนนั้น นานๆ ทีถึงกลับบ้าน แถมยังไม่เคยรับผิดชอบเรื่องเงินช่วยเหลืออะไรป้าผมเลย)
ช่วงที่สอง เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี่เอง (ตอนนี้ผมอายุ 34 ปีครับ มีงานทำ และหาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว) จู่ๆ ผมก็เกิดนึกถึงพ่อขึ้นมาซะงั้น ก็เลยไปหาเค้าถึงบ้าน แต่เกิดอะไรขึ้นรู้มั้ยครับ พอเจอหน้าผมเท่านั้นล่ะ เค้ากลับไล่ผมออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมาทันที ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยคิดจะไปรบกวนเรื่องเงินหรือขอความช่วยเหลืออะไรเค้าเลย มันเป็นแค่ความรู้สึกโหยหาและผูกพันธ์ตามประสาพ่อลูกสายเลือดเดียวกันเท่านั้น ก็เลยว่าจะไปเยี่ยมยามถามข่าวอะไรประมาณนี้ ส่วนเรื่องในอดีต แม้มันจะยังเป็นแผลในใจไม่เคยลบเลือนหายไปไหน แต่ผมก็ให้อภัยเค้าแล้วล่ะ...เสียความรู้สึกมากจริงๆ ครับ ตอนนี้มานั่งนึกดู ผมคงมีแค่พ่อแต่ไร้ซึ่งความผูกพันธ์ใดๆ แล้ว
ชอบ...เพราะให้กำลังใจได้ดี อย่างน้อยมันก็ทำให้เราคิดได้ว่า เราคิดว่าเราลำบากแล้ว แต่ยังมีคนที่ลำบากกว่าเราอีกเยอะ
ของผมเจออยู่ 2 ช่วงครับ ช่วงแรกคือตอนเป็นเด็ก รู้สึกจะประมาณ ป.1 ผมมีพ่อที่เจ้าชู้มาก เค้าออกไปเที่ยวและออกไปหาผู้หญิงคนอื่นทุกคืน (มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่นไม่รู้ตั้งกี่คน) พอกลับมาถึงบ้านดึกๆ แม่ถามว่าไปไหนมาก็บอกว่าอย่ามายุ่ง เรื่องของเค้า พอแม่ผมถามต่อไปอีกเค้าก็อาละวาดทั้งคำพูด ด่าแม่ผมแบบไม่เกรงใจคนข้างบ้าน แถมยังตบตีแม่ต่อหน้าผมกับพี่ชายที่นอนคลุมโปงอยู่บนเตียงเงียบๆ ไม่กล้ายุ่ง เพราะกลัวครับ เหตุการณ์เป็นแบบนี้ทุกคืนจนแม่ผมทนไม่ไหว เค้าบอกพ่อผมว่าหย่ากันเถอะ พ่อผมก็ยิ้มเหมือนกำลังรอให้แม่พูดคำนี้อยู่
หลังจากหย่ากัน แม่ผมก็กลายเป็นคนติดเหล้า ออกไปกินเหล้ากับเพื่อนที่อยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งทุกคืน กลับมาก็นอนร้องห่มร้องไห้ ผมกับพี่ชายก็ไม่รู้จะทำยังไง เด็กขนาดนั้นมันนึกคำปลอบใจไม่ออกหรอกครับ ต่อมาไม่นาน เหตุการณ์ร้ายแรงกว่านั้นก็เกิดขึ้นกับแม่ผม ท่านประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตครับ ผมที่กำลังจะขึ้น ป.3 ร้องไห้จนน้ำตาแทบไม่เหลือ เพราะคิดว่าตอนนั้นไม่เหลือใครอีกแล้ว พี่ชายผมก็เหมือนกัน ทั้งที่มานึกย้อนดูแล้ว ผมยังเหลือป้าที่เป็นพี่สาวของแม่อยู่ และก็เพราะป้านี่แหละครับที่เป็นคนทำให้ชีวิตผมกับพี่ชายไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก ท่านเลี้ยงดูผมกับพี่ชายแล้วก็ลูกชายของตัวเองอีกคนนึงมาด้วยตัวคนเดียว (ทั้งๆ ที่สามีเค้าก็ออกไปมีเมียน้อยและอาศัยอยู่กับเมียน้อยคนนั้น นานๆ ทีถึงกลับบ้าน แถมยังไม่เคยรับผิดชอบเรื่องเงินช่วยเหลืออะไรป้าผมเลย)
ช่วงที่สอง เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี่เอง (ตอนนี้ผมอายุ 34 ปีครับ มีงานทำ และหาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว) จู่ๆ ผมก็เกิดนึกถึงพ่อขึ้นมาซะงั้น ก็เลยไปหาเค้าถึงบ้าน แต่เกิดอะไรขึ้นรู้มั้ยครับ พอเจอหน้าผมเท่านั้นล่ะ เค้ากลับไล่ผมออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมาทันที ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยคิดจะไปรบกวนเรื่องเงินหรือขอความช่วยเหลืออะไรเค้าเลย มันเป็นแค่ความรู้สึกโหยหาและผูกพันธ์ตามประสาพ่อลูกสายเลือดเดียวกันเท่านั้น ก็เลยว่าจะไปเยี่ยมยามถามข่าวอะไรประมาณนี้ ส่วนเรื่องในอดีต แม้มันจะยังเป็นแผลในใจไม่เคยลบเลือนหายไปไหน แต่ผมก็ให้อภัยเค้าแล้วล่ะ...เสียความรู้สึกมากจริงๆ ครับ ตอนนี้มานั่งนึกดู ผมคงมีแค่พ่อแต่ไร้ซึ่งความผูกพันธ์ใดๆ แล้ว
แสดงความคิดเห็น
คุณเคยลำบากสุดๆ หรือตกต่ำแบบไหนบ้าง