หลังจากได้ interview กับฝ่าย HR ทางโทรศัพท์ เอาไว้แล้ว ขั้นต่อไปคือทาง HR จะให้เข้าไปสัมภาษณ์กับเจ้าของบริษัทเลย
เกริ่นก่อนน่ะ ที่เรามาสัมภาษเพราะมีเพื่อนที่เป็นญาติกับเจ้าของบริษัทนี้ แนะนำบอกว่าเราเหมาะกับตำแหน่งนี้มากๆ และเราไม่ได้ทันเช็คลักษณะงานกับคุณสมบัติผุ้สมัครเอาไว้ซักเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้เราไม่รู้มาก่อนว่า ตำแหน่งนี้มีวันหยุดให้พนักงาน 6 วัน ต่อเดือน เข้าใจว่าเป็น 8 วันเหมือนกับงานที่ทำอยู่
ใน resume เราเรียกเงินเดือนไว้ที่ 45k และเมื่อได้ interview กับ HR ทางโทรศัพท์ ก็ถามเรื่องทั่วไป เช่น งานที่ทำอยู่ทำอะไร ทำไมออกจากงานที่แรก ทำไมคิดจะออกจากงานปัจจุบัน ประมาณนี้ เสร็จแล้วก้มาถึง 2 คำถามสำคัญ
- เรื่องวันหยุด เค้าถามเราว่าเราไม่หยุดเสาร์ -อาทิดได้มั้ย เพราะลักษณะงานนี้ต้องตกลงผลัดกับคนในทีม เช่น สัปดาห์นี้อาจได้หยุดวันเสาร์ สัปดาห์ต่อไปได้หยุดวันอาทิด แล้วก็มีวันหยุด 6 วัน เราก้ตอบไปว่าถ้าตกลงกันในทีมได้ก็ไม่น่ามีปัญหาค่ะ
- เค้าคอนเฟิมกับเราว่าเรียกเงินเดือน 45 k นี่เป็นเงินเดือนฟิค ? หรือหมายถึงรวมค่าคอมด้วย เนื่องจากที่เราคิดไว้ก็คือ ปีนี้เราต้องการเงินเดือน 45k ที่เรียกไปคิดแค่นั้นแหล่ะ ไม่ได้คิดว่าที่นี่จะมีระบบให้เงินพวกค่าคอมอย่างไร เลยบอกเค้าไปว่า 45k หมายถึงโดยรวมค่ะ คือรวมค่าคอมด้วย
หลังจากนั้น ทาง HR ก็แจ้งว่า จริงๆ แล้วตำแหน่งฐานเงินเดือนไม่ได้ตามที่เรียก 45k น่ะ แต่จะมีค่า commission ให้เมื่อปิดการขายได้ สรุปแล้วก็น่าจะได้เกินที่เรียกมาน่ะ
บอกเพิ่มก่อนว่า ตำแหน่งนี้ชื่อตำแหน่ง consultant แต่จริงๆ แล้วก็คือ sale ที่ปิดการขายในคลินิกแพทย์แห่งหนึ่ง เป็นแพทย์ทางเลือกที่มีการ treatment ด้วยสารอาหาร และอื่นๆ เค้า request คนที่มีความรู้เฉพาะทางมากว่าคลินิกแพทย์แบบสวยงาม ทาง HR ก็บอกเรามาด้วยว่าที่นี่ก็มีคนเยอะเพราะเค้าไม่เข้าใจในผลิตภัณฑ์
เราเรียนจบ food science จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับงานแบบนี้หรอกน่ะ แต่เราเคยได้เข้าไปทำงานที่แรกที่คลินิกแพทย์ทางเลือกคล้ายๆ กันประสบการ 3 ปี ในตำแหน่ง nutrition คาดว่าอันนี้คงเป็นสิ่งที่ทำให้เค้าสนใจ resume เรา คงมองว่าเราเข้าใจตัวผลิตภัณฑ์ดี
เนื่องจากเป็นการ interview ทางโทรศัทพ์ (แอบออกมาคุยนอก office) เราไม่ทันได้ตั้งรับว่า ในเมื่อมันเป็นการทำงานมากกว่าที่เราคิดไว้ 2 วันต่อเดือน ซึ่ง (หยุดเพียง 6 วันต่อเดือน)
- แน่นอน ทำให้เวลาในชีวิตที่เราเคยได้หยุดพักผ่อนหายไป 2 วัน เรามองว่าไม่น้อย ถ้าคิดเป็นเงินแล้วเทียบจาก 45k + 2 วัน (วันละประมาณ 2000 เทียบบัญญัติไตรยางค์ธรรมดา) ดังนั้นเงินเดือนที่เราควรเรียก น่าจะเป็น 49k ต่อเดือน
- ไม่ได้หยุดเสาร์-อาทิด ก็ทำให้ตารางเวลาเราไม่ว่างตรงกับครอบครัว มองว่าทำให้เราต้องปรับเวลา
เย็นวันนั้นหลังจากลองคิดดูใหม่แล้ว ก็ว่าจะต่อรองกับ HR ใหม่ ด้วยฐานเงินเดือนฟิคที่ 45000 + ค่าคอมมิสชั่น (ในรายละเอียดว่าค่าคอมกี่ % และ ต่อเดือนค่าคอมโดยรวมประมาณเท่าไหร่ เราก็ยังไม่รู้)
ก็เลยอยากถามกูรูด้านนี้ว่า
- ในวันสัมภาษณ์กับผู้บริหาร หากเราเปลี่ยนจากที่ interview ทางกับ HR เอาไว้ จาก 45k includeค่าคอม เป็น 45k exclude ค่าคอม โดยให้เหตุผลว่าตอนเรียกเงินเดือน ไม่ทราบว่าเป็นการทำงานที่มีวันหยุด 6 วัน เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นมั้ย เจ้าของบริษัทจะมองเราไม่ดีหรือไม่ มองว่าเราคิดจุกจิกเกินไป หรือจะมองว่าเรากลับคำหรือไม่
- หรือเราควรจะโทรไปคุยกับฝ่าย HR อีกที เพื่อเคลียรเรื่องเงินเดือนก่อนที่จะสัมภาษณ์ในวันพฤหัสนี้กับเจ้าของบริษัท ปล. ไม่ค่อยกล้าโทรเพราะพี่ HR คนนี้ลาคลอดอยู่ แต่เค้าก็ทำงานโดยการ interview applicant ทางโทรศัพท์
ถามต่อน่ะ เมื่อเรายืนยันขอเงินเดือน 45k exclude ค่าคอมแล้ว หากมีการต่อรอง เราคิดว่ามี 2 เรื่องที่เค้าจะต่อรองเราได้ คือ
1. เรื่องภาษา เราได้ภาษาอังกฤษ และญี่ปุ่น แต่อยู่ในระดับไม่ excellent แล้วงานที่ไปสมัครนี่จัดเป็นงานบริการที่ใช้ภาษาเยอะ อาจจะเป็นข้อที่เค้าต่อรองเราได้ว่าเรายังไม่เก่งพอ
2. ฐานเงินเดือนเราที่ปัจจุบันตอนนี้อยุ่เพียง 35k อาจทำให้เค้าแย้งมาว่าทำไมมาเรียกที่นี่สูงจัง
ส่วนในมุมที่เรามองว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เราต่อรองเค้าได้ คือ
1. เรื่องที่ทาง HR บอกเรามาว่ามีคนออกเยอะเพราะไม่เข้าใจในโปรดักส์ เราก็มองว่าเป็นข้อได้เปรียบเหนือคนอื่น เนื่องจาก Background การศึกษา และประสบการณ์การทำงานในวงการธุรกิจ healthcare นี้ 6 ปีของเรา แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งนี้ sale ซะทีเดียว แต่มั่นใจว่ารอบรู้เพียงพอที่จะทำตำแหน่งนี้ได้
2. ภาษา หากมองว่าตำแหน่งนี้หาคนที่มี background ที่เหมาะสมยากแล้ว ก็ยิ่งหาคนที่มี background +รู้ภาษาญีปุ่นได้ยากมากขึ้นอีก พอเราได้ภาษาญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นภาษาที่ 3 เค้ายิ่งน่าจะพิจารณาเรามากว่าคนอื่น (คลินิกกำลังขยายสู่ตลาดคนญี่ปุ่น)
หากเค้าต่อรองเราด้วยข้อ 1 คือภาษาที่อาจจะยังไม่ดีพอสำหรับงานบริการ เราคิดว่าเราอธิบายได้ เช่น เรื่องความคลอ่งของภาษาเกิดจากการได้ใช้ทุกวัน เราใช้ grammar ได้ดีในการสื่อสารกับบริษัทแม่ทาง e-mail และลูกค้า แม้จะยังไม่คล่องในการฟัง พูด แต่คิดว่าใช้เวลาไม่นานที่จะคล่องได้เมื่อได้เข้ามาทำงานที่ต้องใช้ภาษาทุกวัน
แต่ถ้าโดนแย้งข้อ 2 เรื่องฐานเดิมต่ำจากที่เก่า เราอธิบายแบบนี้ได้มั้ยค่ะ
ตอนที่ออกจากที่แรก มาเป็นที่ 2 เราเรียกเงินเดือนเท่าเดิม อันเนื่องมาจากมองว่างานที่แรกมีข้อจำกัดหลายอย่างที่เราจะโตขึ้นไปได้ในองค์กรนั้น (เตรียมคำตอบไว้แล้วว่าข้อจำกัดนั้นคือเพราะอะไร) จึงตัดสินใจออกมาหาประสบการณ์ในที่ที่ 2 และตอนนั้นมีความคิดว่าขอให้ได้ประสบการณ์ เงินไม่สำคัญเท่าไหร่ในความคิดตอนนั้น ทำให้มาลุยงานในที่ที่ 2 ซึ่งเราทำงานเยอะมากจริงๆ และหลายด้านมากด้วย เรียกว่าใช้ทั้ง backgroundความรู้เฉพาะทาง ประสบการณ์มา apply ในงาน marketing อย่างเต็มที่
(งานที่ 2 เราทำงาน marketing ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ เป็นบริษัทต่างชาติ ที่มีสาขาในไทย) แต่ด้วยโครงสร้างการขึ้นเงินเดือนแล้วมันก็มีข้อจำกัด ภายใน 3 ปี เราได้เงินเดือนขึ้นคิดเป็น 29% ซึ่งก็เรียกว่าบริษัทก็ขึ้นให้พอสมควร แต่เราก็ยังคิดว่าทุกวันนี้เราทำงานโดยใช้ควมรุ้ความสามารถมากกว่ารายได้ที่ได้รับ เพราะทั้งหมดนี้เกิดจากความผิดพลาดในการเรียกฐานเงินเดือนต่ำในการสมัครเข้าที่ที่ 2
ถามผุ้รู้นะค่ะ ประโยคที่ว่า คิดว่าทุกวันนี้เราทำงานโดยใช้ควมรุ้ความสามารถมากกว่ารายได้ที่ได้รับ มันดูโอ้อวด ท้าทายเกินไปมั้ย องค์กรที่กำลังจะสมัครนี้เป็นองค์กรไทย ไม่แน่ใจว่าจะใช้คำตรงๆ แบบนี้ได้มั้ย จุดประสงค์เพื่อที่จะอธิบายว่าทำไมเราถึงเรียกเงินเดือนสูงกว่าที่เดิมนี้มาก
ปล. เรื่องเรียกฐานเงินเดือนตำ่ในที่ที่สองนี่เป็นเรื่องที่เราเสียใจมากอยู่ตอนนี้ เพราะมองว่าเป็นความผิดพลาดที่ส่งผลให้ทางเดินรายได้เราชะงักไปเลย 3 ปี ความรู้สึกจริงๆ ของเราก็คือ เงินเดือน 35K ของเราเวลานี้ คือเงินเดือนที่เราควรเรียกเพื่อ start จากที่ที่ 2 ตอนนั้นเด็กเกินไปจริงๆ กลัวจะไม่ได้เปลี่ยนงาน กลัวว่าลักษณะงานที่ใหม่ไม่เหมือนที่เคยทำมา มองว่าตัวเองขาดประสบการณ์ในตำแหน่งงานใหม่จึงให้เค้าต่อรองมาได้ขนาดนี้ จริงๆ แล้วควรจะรู้ด้วยว่า ไม่มีใครยอมมาทำงานด้วยเงินเดือนเท่าเดิมหรอก การย้ายที่ทำงานแม้จะหวังประสบการณ์ แต่ก็ควรเรียกมากกว่าเงินเดือนเดิม 20-30% ควรเชื่อในความสามารถตัวเองมากกว่านี้ และพอเข้ามาก็ได้รับรู้ว่าประสบการณ์ที่เรามี แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งงานที่สมัคร แต่มันเป็นความรุ้เฉพาะทางที่เรานำมาใช้ในงานใหม่อย่างเต็มที่ในราคาแสนถูก และเชื่อว่าบริษัทที่สองนี้หาถูกกว่าเราไม่ได้ด้วยเมื่อเทียบกับผลงาน 3 ปีที่ผ่านมา
และนี่เป็นที่มาที่เราไม่อยากให้ที่ใหม่นี้ต่อราคาเราได้อีก
หากมีใครแนะนำเราได้ในเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากที่ถาม จักขอบคุณไว้ล่วงหน้าเลยนะค่ะ ขอบคุณที่อ่านกระทู้ยาวเหยียด
ถามกูรูด้านการต่อรองเงินเดือน และการสัมภาษณ์งาน รวมถึงผุ้ที่อยู่ในสาย HR ขอความคิดเห็นหน่อยค่ะ
เกริ่นก่อนน่ะ ที่เรามาสัมภาษเพราะมีเพื่อนที่เป็นญาติกับเจ้าของบริษัทนี้ แนะนำบอกว่าเราเหมาะกับตำแหน่งนี้มากๆ และเราไม่ได้ทันเช็คลักษณะงานกับคุณสมบัติผุ้สมัครเอาไว้ซักเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้เราไม่รู้มาก่อนว่า ตำแหน่งนี้มีวันหยุดให้พนักงาน 6 วัน ต่อเดือน เข้าใจว่าเป็น 8 วันเหมือนกับงานที่ทำอยู่
ใน resume เราเรียกเงินเดือนไว้ที่ 45k และเมื่อได้ interview กับ HR ทางโทรศัพท์ ก็ถามเรื่องทั่วไป เช่น งานที่ทำอยู่ทำอะไร ทำไมออกจากงานที่แรก ทำไมคิดจะออกจากงานปัจจุบัน ประมาณนี้ เสร็จแล้วก้มาถึง 2 คำถามสำคัญ
- เรื่องวันหยุด เค้าถามเราว่าเราไม่หยุดเสาร์ -อาทิดได้มั้ย เพราะลักษณะงานนี้ต้องตกลงผลัดกับคนในทีม เช่น สัปดาห์นี้อาจได้หยุดวันเสาร์ สัปดาห์ต่อไปได้หยุดวันอาทิด แล้วก็มีวันหยุด 6 วัน เราก้ตอบไปว่าถ้าตกลงกันในทีมได้ก็ไม่น่ามีปัญหาค่ะ
- เค้าคอนเฟิมกับเราว่าเรียกเงินเดือน 45 k นี่เป็นเงินเดือนฟิค ? หรือหมายถึงรวมค่าคอมด้วย เนื่องจากที่เราคิดไว้ก็คือ ปีนี้เราต้องการเงินเดือน 45k ที่เรียกไปคิดแค่นั้นแหล่ะ ไม่ได้คิดว่าที่นี่จะมีระบบให้เงินพวกค่าคอมอย่างไร เลยบอกเค้าไปว่า 45k หมายถึงโดยรวมค่ะ คือรวมค่าคอมด้วย
หลังจากนั้น ทาง HR ก็แจ้งว่า จริงๆ แล้วตำแหน่งฐานเงินเดือนไม่ได้ตามที่เรียก 45k น่ะ แต่จะมีค่า commission ให้เมื่อปิดการขายได้ สรุปแล้วก็น่าจะได้เกินที่เรียกมาน่ะ
บอกเพิ่มก่อนว่า ตำแหน่งนี้ชื่อตำแหน่ง consultant แต่จริงๆ แล้วก็คือ sale ที่ปิดการขายในคลินิกแพทย์แห่งหนึ่ง เป็นแพทย์ทางเลือกที่มีการ treatment ด้วยสารอาหาร และอื่นๆ เค้า request คนที่มีความรู้เฉพาะทางมากว่าคลินิกแพทย์แบบสวยงาม ทาง HR ก็บอกเรามาด้วยว่าที่นี่ก็มีคนเยอะเพราะเค้าไม่เข้าใจในผลิตภัณฑ์
เราเรียนจบ food science จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับงานแบบนี้หรอกน่ะ แต่เราเคยได้เข้าไปทำงานที่แรกที่คลินิกแพทย์ทางเลือกคล้ายๆ กันประสบการ 3 ปี ในตำแหน่ง nutrition คาดว่าอันนี้คงเป็นสิ่งที่ทำให้เค้าสนใจ resume เรา คงมองว่าเราเข้าใจตัวผลิตภัณฑ์ดี
เนื่องจากเป็นการ interview ทางโทรศัทพ์ (แอบออกมาคุยนอก office) เราไม่ทันได้ตั้งรับว่า ในเมื่อมันเป็นการทำงานมากกว่าที่เราคิดไว้ 2 วันต่อเดือน ซึ่ง (หยุดเพียง 6 วันต่อเดือน)
- แน่นอน ทำให้เวลาในชีวิตที่เราเคยได้หยุดพักผ่อนหายไป 2 วัน เรามองว่าไม่น้อย ถ้าคิดเป็นเงินแล้วเทียบจาก 45k + 2 วัน (วันละประมาณ 2000 เทียบบัญญัติไตรยางค์ธรรมดา) ดังนั้นเงินเดือนที่เราควรเรียก น่าจะเป็น 49k ต่อเดือน
- ไม่ได้หยุดเสาร์-อาทิด ก็ทำให้ตารางเวลาเราไม่ว่างตรงกับครอบครัว มองว่าทำให้เราต้องปรับเวลา
เย็นวันนั้นหลังจากลองคิดดูใหม่แล้ว ก็ว่าจะต่อรองกับ HR ใหม่ ด้วยฐานเงินเดือนฟิคที่ 45000 + ค่าคอมมิสชั่น (ในรายละเอียดว่าค่าคอมกี่ % และ ต่อเดือนค่าคอมโดยรวมประมาณเท่าไหร่ เราก็ยังไม่รู้)
ก็เลยอยากถามกูรูด้านนี้ว่า
- ในวันสัมภาษณ์กับผู้บริหาร หากเราเปลี่ยนจากที่ interview ทางกับ HR เอาไว้ จาก 45k includeค่าคอม เป็น 45k exclude ค่าคอม โดยให้เหตุผลว่าตอนเรียกเงินเดือน ไม่ทราบว่าเป็นการทำงานที่มีวันหยุด 6 วัน เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นมั้ย เจ้าของบริษัทจะมองเราไม่ดีหรือไม่ มองว่าเราคิดจุกจิกเกินไป หรือจะมองว่าเรากลับคำหรือไม่
- หรือเราควรจะโทรไปคุยกับฝ่าย HR อีกที เพื่อเคลียรเรื่องเงินเดือนก่อนที่จะสัมภาษณ์ในวันพฤหัสนี้กับเจ้าของบริษัท ปล. ไม่ค่อยกล้าโทรเพราะพี่ HR คนนี้ลาคลอดอยู่ แต่เค้าก็ทำงานโดยการ interview applicant ทางโทรศัพท์
ถามต่อน่ะ เมื่อเรายืนยันขอเงินเดือน 45k exclude ค่าคอมแล้ว หากมีการต่อรอง เราคิดว่ามี 2 เรื่องที่เค้าจะต่อรองเราได้ คือ
1. เรื่องภาษา เราได้ภาษาอังกฤษ และญี่ปุ่น แต่อยู่ในระดับไม่ excellent แล้วงานที่ไปสมัครนี่จัดเป็นงานบริการที่ใช้ภาษาเยอะ อาจจะเป็นข้อที่เค้าต่อรองเราได้ว่าเรายังไม่เก่งพอ
2. ฐานเงินเดือนเราที่ปัจจุบันตอนนี้อยุ่เพียง 35k อาจทำให้เค้าแย้งมาว่าทำไมมาเรียกที่นี่สูงจัง
ส่วนในมุมที่เรามองว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เราต่อรองเค้าได้ คือ
1. เรื่องที่ทาง HR บอกเรามาว่ามีคนออกเยอะเพราะไม่เข้าใจในโปรดักส์ เราก็มองว่าเป็นข้อได้เปรียบเหนือคนอื่น เนื่องจาก Background การศึกษา และประสบการณ์การทำงานในวงการธุรกิจ healthcare นี้ 6 ปีของเรา แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งนี้ sale ซะทีเดียว แต่มั่นใจว่ารอบรู้เพียงพอที่จะทำตำแหน่งนี้ได้
2. ภาษา หากมองว่าตำแหน่งนี้หาคนที่มี background ที่เหมาะสมยากแล้ว ก็ยิ่งหาคนที่มี background +รู้ภาษาญีปุ่นได้ยากมากขึ้นอีก พอเราได้ภาษาญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นภาษาที่ 3 เค้ายิ่งน่าจะพิจารณาเรามากว่าคนอื่น (คลินิกกำลังขยายสู่ตลาดคนญี่ปุ่น)
หากเค้าต่อรองเราด้วยข้อ 1 คือภาษาที่อาจจะยังไม่ดีพอสำหรับงานบริการ เราคิดว่าเราอธิบายได้ เช่น เรื่องความคลอ่งของภาษาเกิดจากการได้ใช้ทุกวัน เราใช้ grammar ได้ดีในการสื่อสารกับบริษัทแม่ทาง e-mail และลูกค้า แม้จะยังไม่คล่องในการฟัง พูด แต่คิดว่าใช้เวลาไม่นานที่จะคล่องได้เมื่อได้เข้ามาทำงานที่ต้องใช้ภาษาทุกวัน
แต่ถ้าโดนแย้งข้อ 2 เรื่องฐานเดิมต่ำจากที่เก่า เราอธิบายแบบนี้ได้มั้ยค่ะ
ตอนที่ออกจากที่แรก มาเป็นที่ 2 เราเรียกเงินเดือนเท่าเดิม อันเนื่องมาจากมองว่างานที่แรกมีข้อจำกัดหลายอย่างที่เราจะโตขึ้นไปได้ในองค์กรนั้น (เตรียมคำตอบไว้แล้วว่าข้อจำกัดนั้นคือเพราะอะไร) จึงตัดสินใจออกมาหาประสบการณ์ในที่ที่ 2 และตอนนั้นมีความคิดว่าขอให้ได้ประสบการณ์ เงินไม่สำคัญเท่าไหร่ในความคิดตอนนั้น ทำให้มาลุยงานในที่ที่ 2 ซึ่งเราทำงานเยอะมากจริงๆ และหลายด้านมากด้วย เรียกว่าใช้ทั้ง backgroundความรู้เฉพาะทาง ประสบการณ์มา apply ในงาน marketing อย่างเต็มที่
(งานที่ 2 เราทำงาน marketing ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ เป็นบริษัทต่างชาติ ที่มีสาขาในไทย) แต่ด้วยโครงสร้างการขึ้นเงินเดือนแล้วมันก็มีข้อจำกัด ภายใน 3 ปี เราได้เงินเดือนขึ้นคิดเป็น 29% ซึ่งก็เรียกว่าบริษัทก็ขึ้นให้พอสมควร แต่เราก็ยังคิดว่าทุกวันนี้เราทำงานโดยใช้ควมรุ้ความสามารถมากกว่ารายได้ที่ได้รับ เพราะทั้งหมดนี้เกิดจากความผิดพลาดในการเรียกฐานเงินเดือนต่ำในการสมัครเข้าที่ที่ 2
ถามผุ้รู้นะค่ะ ประโยคที่ว่า คิดว่าทุกวันนี้เราทำงานโดยใช้ควมรุ้ความสามารถมากกว่ารายได้ที่ได้รับ มันดูโอ้อวด ท้าทายเกินไปมั้ย องค์กรที่กำลังจะสมัครนี้เป็นองค์กรไทย ไม่แน่ใจว่าจะใช้คำตรงๆ แบบนี้ได้มั้ย จุดประสงค์เพื่อที่จะอธิบายว่าทำไมเราถึงเรียกเงินเดือนสูงกว่าที่เดิมนี้มาก
ปล. เรื่องเรียกฐานเงินเดือนตำ่ในที่ที่สองนี่เป็นเรื่องที่เราเสียใจมากอยู่ตอนนี้ เพราะมองว่าเป็นความผิดพลาดที่ส่งผลให้ทางเดินรายได้เราชะงักไปเลย 3 ปี ความรู้สึกจริงๆ ของเราก็คือ เงินเดือน 35K ของเราเวลานี้ คือเงินเดือนที่เราควรเรียกเพื่อ start จากที่ที่ 2 ตอนนั้นเด็กเกินไปจริงๆ กลัวจะไม่ได้เปลี่ยนงาน กลัวว่าลักษณะงานที่ใหม่ไม่เหมือนที่เคยทำมา มองว่าตัวเองขาดประสบการณ์ในตำแหน่งงานใหม่จึงให้เค้าต่อรองมาได้ขนาดนี้ จริงๆ แล้วควรจะรู้ด้วยว่า ไม่มีใครยอมมาทำงานด้วยเงินเดือนเท่าเดิมหรอก การย้ายที่ทำงานแม้จะหวังประสบการณ์ แต่ก็ควรเรียกมากกว่าเงินเดือนเดิม 20-30% ควรเชื่อในความสามารถตัวเองมากกว่านี้ และพอเข้ามาก็ได้รับรู้ว่าประสบการณ์ที่เรามี แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งงานที่สมัคร แต่มันเป็นความรุ้เฉพาะทางที่เรานำมาใช้ในงานใหม่อย่างเต็มที่ในราคาแสนถูก และเชื่อว่าบริษัทที่สองนี้หาถูกกว่าเราไม่ได้ด้วยเมื่อเทียบกับผลงาน 3 ปีที่ผ่านมา
และนี่เป็นที่มาที่เราไม่อยากให้ที่ใหม่นี้ต่อราคาเราได้อีก
หากมีใครแนะนำเราได้ในเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากที่ถาม จักขอบคุณไว้ล่วงหน้าเลยนะค่ะ ขอบคุณที่อ่านกระทู้ยาวเหยียด