เมื่อตอนต้นเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเมืองจีน
และเป็นธรรมดาครับ ที่จะต้องซื้อของฝากญาติ พี่น้อง หรือคนรู้จักที่เคารพ
ผมก็เลยคิดครับว่าจะซื้ออะไรดี ที่ไม่แพงมาก และใช้งานได้เหมาะสมกับผู้สูงวัย
(ใกล้วันสารทจีน และจะมีการรวมญาติผู้ใหญ่ เพื่อไปย้ายฮวงซุ้ยบรรพบุรุษ)
คำตอบที่ได้ของผม ก็คือ ซื้อกาน้ำชา เพราะตกใบละประมาณ 50-80 หยวน (250-400 บาท)
ผมเลยนับจำนวนญาติผู้สูงวัย และเลือกรุ่นที่เหมาะกับท่านทั้งหลาย เลยจัดมาเบาะๆ 8 ใบ
มีทั้งรุ่นที่เหมือนกันและแตกต่างกันไป ตามความชอบของผู้ให้และเหมาะกับผู้รับ
จนเมื่อวันเดินทางกลับ ถึงวันที่ 5 ตอนกลางคืน ผมก็ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเป็นที่ปลอดภัย
แต่ตอนกำลังจะผ่านด่านศุลกากร เจ้าหน้าที่ก็ให้นำกระเป๋าใหญ่มาผ่านเครื่องตรวจ
ก็ธรรมดาครับ เจอกาน้ำชา (ไม่เจอก็แปลกหล่ะ 555) ผมก็เปิดให้ดู และบอกเหตุผล
พร้อมทั้งราคาให้ดู ซึ่งรวมราคากาน้ำชาทั้งหมดประมาณ 2,500 บาทไทยครับ
ตามความเข้าใจของผม หากเป็นสินค้าที่นำมาใช้เองและเป็นของฝากญาติผู้ใหญ่
มูลค่าไม่ถึง 10,000 บาท ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก แต่คำตอบที่เจ้าหน้าที่ตอบ คือ
ที่ไม่ต้องเสียภาษีสำหรับสินค้าที่นำเข้า ต้องเป็นสินค้าที่นำมาใช้เองและไม่มากกว่า 1 ชิ้น
ส่วนของฝาก ถือว่าเป็นสินค้าที่ต้องเสียภาษี ไม่มีข้อยกเว้น
จากการเจรจาพูดคุยด้วยเหตุผลที่ไม่รู้เรื่อง และเวลาที่ผ่านพ้นไปอีก 1 วัน ทำให้ท้ายที่สุด
ผมก็ให้เจ้าหน้าที่ปรับตามระเบียบเพื่อจบปัญหา โดย กาน้ำชา ต้องเสียภาษี 20% ของสินค้า
พร้อมภาษีอีก 7% แต่เจ้าหน้าที่ก็ใจดีนะ ลดภาษี 7% ให้ เลยโดนปรับไปแค่ 500 บาท
(ทำได้ด้วยหรือ ???)
ประเด็นของเรื่องนี้ คือ การซื้อของฝาก ที่ไม่ใช่ของใช้ส่วนตัว และมากกว่า 1 ชิ้น
จะต้องเสียภาษีนำเข้า เพราะฉนั้นจากนี้ ใครจะซื้ออะไรฝากใคร ก็ต้องระวังให้ดีนะครับ
แม้ของที่ซื้อฝาก จะมีมูลค่าไม่มากก็ตาม (เป็นข้ออ้างอันดี ในการที่ไม่ซื้อของฝากใครเลย ^^)
ถึงแม้ว่า ก่อนหน้านี้จะมีผู้ใหญ่หลายท่านออกมาชี้แจงแล้วก็ตาม ก็ไม่เกี่ยวกันนะครับ
เพราะเจ้าหน้าที่ลากผมไปดูข้อความถึงกระดานเองเลย และถามผมว่าอ่านออกมั๊ย
ในช้อความก็เขียนชัดเจนว่าต้องเป็นสินค้าของใช้ส่วนตัว ของฝากยังไงก็ต้องเสียภาษี
เหตุผมที่ผมโดนจับและปรับ อาจจะเพราะผมดูเหมือนพ่อค้าที่อ่านหนังสือไม่ออก
และไม่รู้ว่าอะไรที่จะมีมูลค่ามากพอที่จะนำมาขายได้กำไรเยอะๆ ก็เป็นได้ครับ
เป็นประสบการณ์จริงจากการเดินทางที่มาเล่าสู่กันฟัง
อาจมีหลายมุมมอง และหลายเหตุผล ต่างกันไป
เพียงแต่ผมอยากแชร์ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับผม
ให้กับทุกคนได้รับรู้เป็นตัวอย่าง จะได้ระวังและไม่เกิดเหตุการณ์แบบผมครับ
ซื้อของฝากจากนอก ใครว่าไม่ต้องเสียภาษี ระวังจะโดนภาษีแบบผมนะครับ
และเป็นธรรมดาครับ ที่จะต้องซื้อของฝากญาติ พี่น้อง หรือคนรู้จักที่เคารพ
ผมก็เลยคิดครับว่าจะซื้ออะไรดี ที่ไม่แพงมาก และใช้งานได้เหมาะสมกับผู้สูงวัย
(ใกล้วันสารทจีน และจะมีการรวมญาติผู้ใหญ่ เพื่อไปย้ายฮวงซุ้ยบรรพบุรุษ)
คำตอบที่ได้ของผม ก็คือ ซื้อกาน้ำชา เพราะตกใบละประมาณ 50-80 หยวน (250-400 บาท)
ผมเลยนับจำนวนญาติผู้สูงวัย และเลือกรุ่นที่เหมาะกับท่านทั้งหลาย เลยจัดมาเบาะๆ 8 ใบ
มีทั้งรุ่นที่เหมือนกันและแตกต่างกันไป ตามความชอบของผู้ให้และเหมาะกับผู้รับ
จนเมื่อวันเดินทางกลับ ถึงวันที่ 5 ตอนกลางคืน ผมก็ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเป็นที่ปลอดภัย
แต่ตอนกำลังจะผ่านด่านศุลกากร เจ้าหน้าที่ก็ให้นำกระเป๋าใหญ่มาผ่านเครื่องตรวจ
ก็ธรรมดาครับ เจอกาน้ำชา (ไม่เจอก็แปลกหล่ะ 555) ผมก็เปิดให้ดู และบอกเหตุผล
พร้อมทั้งราคาให้ดู ซึ่งรวมราคากาน้ำชาทั้งหมดประมาณ 2,500 บาทไทยครับ
ตามความเข้าใจของผม หากเป็นสินค้าที่นำมาใช้เองและเป็นของฝากญาติผู้ใหญ่
มูลค่าไม่ถึง 10,000 บาท ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก แต่คำตอบที่เจ้าหน้าที่ตอบ คือ
ที่ไม่ต้องเสียภาษีสำหรับสินค้าที่นำเข้า ต้องเป็นสินค้าที่นำมาใช้เองและไม่มากกว่า 1 ชิ้น
ส่วนของฝาก ถือว่าเป็นสินค้าที่ต้องเสียภาษี ไม่มีข้อยกเว้น
จากการเจรจาพูดคุยด้วยเหตุผลที่ไม่รู้เรื่อง และเวลาที่ผ่านพ้นไปอีก 1 วัน ทำให้ท้ายที่สุด
ผมก็ให้เจ้าหน้าที่ปรับตามระเบียบเพื่อจบปัญหา โดย กาน้ำชา ต้องเสียภาษี 20% ของสินค้า
พร้อมภาษีอีก 7% แต่เจ้าหน้าที่ก็ใจดีนะ ลดภาษี 7% ให้ เลยโดนปรับไปแค่ 500 บาท
(ทำได้ด้วยหรือ ???)
ประเด็นของเรื่องนี้ คือ การซื้อของฝาก ที่ไม่ใช่ของใช้ส่วนตัว และมากกว่า 1 ชิ้น
จะต้องเสียภาษีนำเข้า เพราะฉนั้นจากนี้ ใครจะซื้ออะไรฝากใคร ก็ต้องระวังให้ดีนะครับ
แม้ของที่ซื้อฝาก จะมีมูลค่าไม่มากก็ตาม (เป็นข้ออ้างอันดี ในการที่ไม่ซื้อของฝากใครเลย ^^)
ถึงแม้ว่า ก่อนหน้านี้จะมีผู้ใหญ่หลายท่านออกมาชี้แจงแล้วก็ตาม ก็ไม่เกี่ยวกันนะครับ
เพราะเจ้าหน้าที่ลากผมไปดูข้อความถึงกระดานเองเลย และถามผมว่าอ่านออกมั๊ย
ในช้อความก็เขียนชัดเจนว่าต้องเป็นสินค้าของใช้ส่วนตัว ของฝากยังไงก็ต้องเสียภาษี
เหตุผมที่ผมโดนจับและปรับ อาจจะเพราะผมดูเหมือนพ่อค้าที่อ่านหนังสือไม่ออก
และไม่รู้ว่าอะไรที่จะมีมูลค่ามากพอที่จะนำมาขายได้กำไรเยอะๆ ก็เป็นได้ครับ
เป็นประสบการณ์จริงจากการเดินทางที่มาเล่าสู่กันฟัง
อาจมีหลายมุมมอง และหลายเหตุผล ต่างกันไป
เพียงแต่ผมอยากแชร์ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับผม
ให้กับทุกคนได้รับรู้เป็นตัวอย่าง จะได้ระวังและไม่เกิดเหตุการณ์แบบผมครับ