รู้ตัวพ่อญี่ปุ่นของ 9ทารกอุ้มบุญ ช็อควัยแค่24 แฉเผ่นมาเก๊าแล้ว ที่แท้เด็กอุ้มบุญมี12คน แต่ส่งกลับประเทศไป3 เร่งสอบสวนกรณี 9 ทารก
ส่วน กรณีที่นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าตรวจคอนโดมิเนียม ย่านลาดพร้าว ก่อนเจอ 9 ทารกอุ้มบุญซึ่งเกิดจากพ่อชาวญี่ปุ่นคนเดียวกัน พร้อมพี่เลี้ยงคอยดูเเลเด็กอีก 9 คน เเละหญิงตั้งครรภ์อีก 1 คน เหตุเกิดเมื่อค่ำวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา
ล่าสุดที่บช.น. พล.ต.ต.ชยุต ธนทวีรัชต์ รองผบช.น. ผู้รับผิดชอบการสืบสวนสอบสวนสำนวนดังกล่าว เปิดเผยว่า ขณะนี้ให้ฝ่ายสืบสวนและฝ่ายสอบสวนสน.ลาด พร้าว ลงพื้นที่ตรวจสอบหาข้อมูล ทั้งบุคคล สถานที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชัดเจน โดยถึงขณะนี้เรื่องดังกล่าวยังไม่เป็นคดีความ และกำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเข้าข่ายความผิดใดหรือไม่ เพราะต้องยอมรับว่ากฎหมายเรื่องการทำความผิดคดีอุ้มบุญในประเทศไทยไม่เคยมี เกิดขึ้นมาก่อน จึงต้องตรวจสอบพิสูจน์ให้ชัดเจน โดยขอเวลาให้ตำรวจทำงานเก็บข้อมูลก่อน
พล.ต.ต.ชยุตกล่าวต่อ ว่า ในส่วนนี้ยังต้องศึกษาอีกครั้งว่าเข้าข่ายเรื่องความผิดในการค้ามนุษย์หรือ ไม่ เพราะยังไม่ชัดเจนว่าเป็นเช่นไร ยินยอมหรือไม่ และหากต่อไปในอนาคตมีการซื้อขายอวัยวะด้วยความยินยอม เช่น ขายไต จะถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งต้องศึกษาส่วนนี้ เบื้องต้นยังไม่พบว่ามีผู้กระทำความผิด อีกทั้งคดีนี้ไม่ใช่แค่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง แต่มีแพทย์ และอื่นๆ ร่วมเกี่ยวข้องด้วยเพราะถือว่าเป็นกรณีพิเศษ แต่ก็เข้าข่ายว่าอาจผิดศีลธรรม ขณะนี้สอบปากคำผู้ที่เลี้ยงเด็กบ้างบางคน และที่สำคัญที่สุดจะทำอย่างไร เด็กทารกทั้ง 9 คน ต้องดำเนินการอย่างไร รวมถึงพ่อชาวญี่ปุ่นที่ต้องติดตามตัวมาสอบสวนให้ชัดเจน โดยในวันที่ 9 ส.ค. เวลา 10.00 น. จะประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีดังกล่าวที่ บช.น.ต่อไป
รู้ตัวแล้วเจ้าของน้ำเชื้อชาวญี่ปุ่น
ที่ สน.ลาดพร้าว พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 พร้อมด้วย พ.ต.อ.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบก.น.4 พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผกก.ดส. พ.ต.อ.สง่า กรรภิรมย์ ผกก.สส.บก.น.4 พ.ต.อ.วิทวัฒน์ ชินคำ ผกก.สน.ลาดพร้าว เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ร่วมประชุมเพื่อหาเเนวทางการสืบสวนโดยใช้เวลาในการประชุมกว่า 3 ชั่วโมง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการประชุม เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน บก.น.4 นำโดยพ.ต.อ.สง่า นำทีมติดตามกลุ่มเป้าหมายตามที่ ผู้หญิงซึ่งตั้งครรภ์ 6 เดือนให้การไว้ เพื่อจะเตรียมเข้าตรวจค้น ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ทราบตัวชายชาวญี่ปุ่น เจ้าของน้ำเชื้อเเล้ว ชื่อว่านายชิเกกะ มิตซูโตกิ
ที่แท้มีถึง 12 คน
ต่อมาเวลา 13.30 น. หลังการประชุมเสร็จสิ้น ทุกคนออกมาจากห้องประชุมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยพล.ต.ต.นัยวัฒน์ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ ขณะที่พ.ต.อ.วิทวัฒน์กล่าวว่า ในส่วนของสน.ให้ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่รับผิดชอบหาที่แหล่งพักในท้องที่ สน.ลาดพร้าว ว่ามีที่ไหนอีก นอกจากที่ซ.ลาดพร้าว 130
รายงาน ข่าวแจ้งว่า นายซิเกกะ มิตซูโตกิ อายุ 24 ปี ถือหนังสือเดินทางญี่ปุ่น เดินทางออกนอกประเทศไทยไปแล้ว เมื่อเวลา 02.00 ของวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะเดินทางไปยังมาเก๊า นอกจากนี้ยังได้ตรวจสอบเชิงลึกพบว่า นายซิเกกะ เข้าออกประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2555 ในระยะเวลาเพียง 2 ปี เดินทางเข้า-ออกถึง 65 ครั้ง ในแต่ละครั้งที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เข้าพักตามโรงแรมหรูหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร
รายงานข่าวจาก ชุดสืบสวนแจ้งว่า จากการตรวจสอบพบทารกของเครือข่ายนี้มีทั้งสิ้น 12 คน แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีการพาทารก 3 คนส่งกลับไปยังประเทศญี่ปุ่น กระทั่งตำรวจเข้าตรวจสอบคอนโดฯ ย่านลาดพร้าว และพบทารก 9 คน ซึ่งคาดว่าใช้เป็นสถานที่พักฟื้นและเตรียมส่งกลับประเทศเช่นเดียวกับทารกที่ ถูกส่งไปก่อนหน้านี้
ปวีณาห่วงเข้าข่ายค้ามนุษย์
ด้าน นางปวีณา ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี กล่าวถึงกรณีการอุ้มบุญเชิงพาณิชย์ว่า มีพลเมืองดีให้ข้อมูลกับทาง มูลนิธิปวีณาฯ ว่า มีการว่าจ้างผู้หญิงเพื่ออุ้มบุญโดยให้เงิน 350,000 บาท เมื่อท้องแล้วทุกเดือนจะได้รับเงินเดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 7 เดือน สิ่งที่น่าสงสัยที่สุดคือแม่ที่อุ้มบุญทุกคนจะต้องถูกผ่าท้องนำเด็กออก เมื่อครบ 7 เดือนเท่านั้น เมื่อแม่ฟื้นขึ้นมาก็จะไม่ได้เห็นหน้าลูกเลย เป็นที่น่าสังเกตว่าทำไมจะต้องผ่าท้องเมื่อท้องครบเพียง 7 เดือน ทำไมไม่รอถึง 9 เดือน และพลเมืองดีรายนี้ยังบอกอีกว่า จะมีการดูดไขสันหลังเด็กเพื่อนำไปทำสเต็มเซลล์ เพื่อนำไปขายนำไปใช้เพื่อเสริมความงาม นั่นก็หมายความว่าเด็กก็ต้องตาย
"วิธีการทำอุ้มบุญนั้น มีการทำกันเป็นขบวนการ ซึ่งจะคัดเลือกจ้างหญิงสาวที่จะมาอุ้มบุญโดยจะมีการโฆษณาผ่านทางเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก และอินเตอร์เน็ต รวมถึงมีการโฆษณาลงหนังสือพิมพ์โดยจะคัดเลือกหญิงสาวหน้าตาดี รวมถึงมีลักษณะ รูปร่าง ส่วนสูง ผิวพรรณและเกณฑ์อายุที่เหมาะสม คือประมาณ 20-27 ปี และยังมีการจำหน่ายน้ำเชื้อในราคาประมาณ 50,000 บาท และมีการซื้อเพื่อให้ผู้หญิงนำไปอุ้มบุญอีกด้วย นอกจากนี้สิ่งที่น่าสังเกตคือกรณีเด็กทั้ง 9 คนนั้นหน้าไม่เหมือนคนชาวเอเชียหรือคนญี่ปุ่น หรือหน้าไม่เหมือนกับบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อของเด็กทั้ง 9 คน แต่เด็กทั้ง 9 คนมีหน้าตาคล้ายหรือเหมือนกับเด็กโซนยุโรปมากกว่า ดังนั้นควรจะมีการตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นพ่อลูกกันจริงๆ" นางปวีณากล่าว
- See more at:
http://news.truelife.com/detail/3169053#sthash.TwwRxnZJ.dpuf
อยากรู้จังว่าเขาต้องการนำเด็กไปทำอะไรกันแน่ อายุขนาดนี้ มีลูกมากขนาดนี้
พ่อญี่ปุ่น9ทารกอุ้มบุญ อายุแค่24!! แฉเผ่นหนีมาเก๊า เผยที่แท้อุ้มบุญ12คน!!!
รู้ตัวพ่อญี่ปุ่นของ 9ทารกอุ้มบุญ ช็อควัยแค่24 แฉเผ่นมาเก๊าแล้ว ที่แท้เด็กอุ้มบุญมี12คน แต่ส่งกลับประเทศไป3 เร่งสอบสวนกรณี 9 ทารก
ส่วน กรณีที่นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าตรวจคอนโดมิเนียม ย่านลาดพร้าว ก่อนเจอ 9 ทารกอุ้มบุญซึ่งเกิดจากพ่อชาวญี่ปุ่นคนเดียวกัน พร้อมพี่เลี้ยงคอยดูเเลเด็กอีก 9 คน เเละหญิงตั้งครรภ์อีก 1 คน เหตุเกิดเมื่อค่ำวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา
ล่าสุดที่บช.น. พล.ต.ต.ชยุต ธนทวีรัชต์ รองผบช.น. ผู้รับผิดชอบการสืบสวนสอบสวนสำนวนดังกล่าว เปิดเผยว่า ขณะนี้ให้ฝ่ายสืบสวนและฝ่ายสอบสวนสน.ลาด พร้าว ลงพื้นที่ตรวจสอบหาข้อมูล ทั้งบุคคล สถานที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชัดเจน โดยถึงขณะนี้เรื่องดังกล่าวยังไม่เป็นคดีความ และกำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเข้าข่ายความผิดใดหรือไม่ เพราะต้องยอมรับว่ากฎหมายเรื่องการทำความผิดคดีอุ้มบุญในประเทศไทยไม่เคยมี เกิดขึ้นมาก่อน จึงต้องตรวจสอบพิสูจน์ให้ชัดเจน โดยขอเวลาให้ตำรวจทำงานเก็บข้อมูลก่อน
พล.ต.ต.ชยุตกล่าวต่อ ว่า ในส่วนนี้ยังต้องศึกษาอีกครั้งว่าเข้าข่ายเรื่องความผิดในการค้ามนุษย์หรือ ไม่ เพราะยังไม่ชัดเจนว่าเป็นเช่นไร ยินยอมหรือไม่ และหากต่อไปในอนาคตมีการซื้อขายอวัยวะด้วยความยินยอม เช่น ขายไต จะถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งต้องศึกษาส่วนนี้ เบื้องต้นยังไม่พบว่ามีผู้กระทำความผิด อีกทั้งคดีนี้ไม่ใช่แค่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง แต่มีแพทย์ และอื่นๆ ร่วมเกี่ยวข้องด้วยเพราะถือว่าเป็นกรณีพิเศษ แต่ก็เข้าข่ายว่าอาจผิดศีลธรรม ขณะนี้สอบปากคำผู้ที่เลี้ยงเด็กบ้างบางคน และที่สำคัญที่สุดจะทำอย่างไร เด็กทารกทั้ง 9 คน ต้องดำเนินการอย่างไร รวมถึงพ่อชาวญี่ปุ่นที่ต้องติดตามตัวมาสอบสวนให้ชัดเจน โดยในวันที่ 9 ส.ค. เวลา 10.00 น. จะประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีดังกล่าวที่ บช.น.ต่อไป
รู้ตัวแล้วเจ้าของน้ำเชื้อชาวญี่ปุ่น
ที่ สน.ลาดพร้าว พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 พร้อมด้วย พ.ต.อ.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบก.น.4 พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผกก.ดส. พ.ต.อ.สง่า กรรภิรมย์ ผกก.สส.บก.น.4 พ.ต.อ.วิทวัฒน์ ชินคำ ผกก.สน.ลาดพร้าว เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ร่วมประชุมเพื่อหาเเนวทางการสืบสวนโดยใช้เวลาในการประชุมกว่า 3 ชั่วโมง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการประชุม เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน บก.น.4 นำโดยพ.ต.อ.สง่า นำทีมติดตามกลุ่มเป้าหมายตามที่ ผู้หญิงซึ่งตั้งครรภ์ 6 เดือนให้การไว้ เพื่อจะเตรียมเข้าตรวจค้น ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ทราบตัวชายชาวญี่ปุ่น เจ้าของน้ำเชื้อเเล้ว ชื่อว่านายชิเกกะ มิตซูโตกิ
ที่แท้มีถึง 12 คน
ต่อมาเวลา 13.30 น. หลังการประชุมเสร็จสิ้น ทุกคนออกมาจากห้องประชุมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยพล.ต.ต.นัยวัฒน์ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ ขณะที่พ.ต.อ.วิทวัฒน์กล่าวว่า ในส่วนของสน.ให้ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่รับผิดชอบหาที่แหล่งพักในท้องที่ สน.ลาดพร้าว ว่ามีที่ไหนอีก นอกจากที่ซ.ลาดพร้าว 130
รายงาน ข่าวแจ้งว่า นายซิเกกะ มิตซูโตกิ อายุ 24 ปี ถือหนังสือเดินทางญี่ปุ่น เดินทางออกนอกประเทศไทยไปแล้ว เมื่อเวลา 02.00 ของวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะเดินทางไปยังมาเก๊า นอกจากนี้ยังได้ตรวจสอบเชิงลึกพบว่า นายซิเกกะ เข้าออกประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2555 ในระยะเวลาเพียง 2 ปี เดินทางเข้า-ออกถึง 65 ครั้ง ในแต่ละครั้งที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เข้าพักตามโรงแรมหรูหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร
รายงานข่าวจาก ชุดสืบสวนแจ้งว่า จากการตรวจสอบพบทารกของเครือข่ายนี้มีทั้งสิ้น 12 คน แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีการพาทารก 3 คนส่งกลับไปยังประเทศญี่ปุ่น กระทั่งตำรวจเข้าตรวจสอบคอนโดฯ ย่านลาดพร้าว และพบทารก 9 คน ซึ่งคาดว่าใช้เป็นสถานที่พักฟื้นและเตรียมส่งกลับประเทศเช่นเดียวกับทารกที่ ถูกส่งไปก่อนหน้านี้
ปวีณาห่วงเข้าข่ายค้ามนุษย์
ด้าน นางปวีณา ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี กล่าวถึงกรณีการอุ้มบุญเชิงพาณิชย์ว่า มีพลเมืองดีให้ข้อมูลกับทาง มูลนิธิปวีณาฯ ว่า มีการว่าจ้างผู้หญิงเพื่ออุ้มบุญโดยให้เงิน 350,000 บาท เมื่อท้องแล้วทุกเดือนจะได้รับเงินเดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 7 เดือน สิ่งที่น่าสงสัยที่สุดคือแม่ที่อุ้มบุญทุกคนจะต้องถูกผ่าท้องนำเด็กออก เมื่อครบ 7 เดือนเท่านั้น เมื่อแม่ฟื้นขึ้นมาก็จะไม่ได้เห็นหน้าลูกเลย เป็นที่น่าสังเกตว่าทำไมจะต้องผ่าท้องเมื่อท้องครบเพียง 7 เดือน ทำไมไม่รอถึง 9 เดือน และพลเมืองดีรายนี้ยังบอกอีกว่า จะมีการดูดไขสันหลังเด็กเพื่อนำไปทำสเต็มเซลล์ เพื่อนำไปขายนำไปใช้เพื่อเสริมความงาม นั่นก็หมายความว่าเด็กก็ต้องตาย
"วิธีการทำอุ้มบุญนั้น มีการทำกันเป็นขบวนการ ซึ่งจะคัดเลือกจ้างหญิงสาวที่จะมาอุ้มบุญโดยจะมีการโฆษณาผ่านทางเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก และอินเตอร์เน็ต รวมถึงมีการโฆษณาลงหนังสือพิมพ์โดยจะคัดเลือกหญิงสาวหน้าตาดี รวมถึงมีลักษณะ รูปร่าง ส่วนสูง ผิวพรรณและเกณฑ์อายุที่เหมาะสม คือประมาณ 20-27 ปี และยังมีการจำหน่ายน้ำเชื้อในราคาประมาณ 50,000 บาท และมีการซื้อเพื่อให้ผู้หญิงนำไปอุ้มบุญอีกด้วย นอกจากนี้สิ่งที่น่าสังเกตคือกรณีเด็กทั้ง 9 คนนั้นหน้าไม่เหมือนคนชาวเอเชียหรือคนญี่ปุ่น หรือหน้าไม่เหมือนกับบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อของเด็กทั้ง 9 คน แต่เด็กทั้ง 9 คนมีหน้าตาคล้ายหรือเหมือนกับเด็กโซนยุโรปมากกว่า ดังนั้นควรจะมีการตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นพ่อลูกกันจริงๆ" นางปวีณากล่าว
- See more at: http://news.truelife.com/detail/3169053#sthash.TwwRxnZJ.dpuf
อยากรู้จังว่าเขาต้องการนำเด็กไปทำอะไรกันแน่ อายุขนาดนี้ มีลูกมากขนาดนี้