เมื่อตอนที่ OPPO N1 เปิดตัวก็สร้างกระแสด้วยจุดเด่นคือกล้องที่หมุนได้ พร้อมกับการสั่งงานผ่าน O-Click และสามารถติดตั้ง CyanogedMod ได้แบบเป็นทางการรุ่นแรก
และคราวนี้ OPPO N1 ถูกย่อส่วนพร้อมลดสเป็กตามกระแสนิยม แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดีขึ้นแบบที่ผมไม่เคยเจอบนรุ่นอื่นของ OPPO ...ที่น่าสนใจคือเรื่องนี้ไม่ได้ถูกหยิบมาโฆษณาซะด้วย
สเป็ก OPPO N1 mini
- CPU Snapdragon 400 ( 1.6 GHz )
- RAM 2 GB
- พื้นที่ 16 GB
- หน้าจอ 5 นิ้ว แบบ IPS ความละเอียด HD ( 293 PPI )
- กล้อง 13 ล้าน หมุนได้ 195 องศา
- แบต 2140 mAh
- น้ำหนัก 150 กรัม
- ราคา 12,990 บาท
แม้ว่ารุ่นนี้จะไม่รองรับ 4G LTE แต่เรื่องการเชื่อมต่ออื่นๆ ก็ครบถ้วนดีทั้ง USB OTG, NFC, Bluetooth 4.0 ส่วนรูปร่างหน้าตา มันก็คือ N1 ย่อส่วนนั่นแหละครับ
ที่ผมชอบกว่าเดิมก็คือขนาดที่กระชับมือมากกว่าแต่ก่อน ส่วนหน้าจอแม้จะไม่ใช่ Full HD แต่ก็เพียงพอกับการใช้งานจริง และหน้าจอแบบ IPS ทำให้ภาพรวมออกมาดูดีเลยทีเดียว
ระบบปฏิบัติการยังคงเป็น android 4.3 ที่มีการปรับแต่งในแบบฉบับของ OPPO ภายใต้ชื่อ ColorOS
ลูกเล่นเล็กๆ ที่หลายคนชอบก็คือ Exclusive space ...ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ มันก็คือ widget แบบเต็มหน้าจอ ซึ่งตอนนี้มี 2 อันคือ
- Photo space ที่จะทำการถ่ายรูปและนำมาร้อยเรียงตามเวลา
- Music space ที่สามารถลากหัวอ่านไปวางที่แผ่นเสียงเพื่อเล่นเพลง
การทำงานของ 3 ปุ่มล่าง ก็คือ
- กด menu ค้างเพื่อเรียก recent apps
- กด home ค้างเพื่อเรียก Google Now
ซึ่งในส่วนของ recent apps ยังคงมีปุ่ม clear all สำหรับปิดทุกแอพ และมีปุ่ม lock สำหรับป้องกันการเผลอปิดแอพนั้นๆ
แถบแจ้งเตือนด้านบนถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ ถ้าลากจากมุมบนขวา จะเป็นการตั้งค่าด่วนและการแจ้งเตือน ที่ผมชอบคือด้านล่างมีการแจ้งปริมาณเนทที่ใช้
แต่ถ้าลากจากมุมบนซ้ายจะเป็นการสั่งงานด้วยการวาดรูป ซึ่งสามารถตั้งค่าคำสั่งได้เอง เช่น วาดรูป F เพื่อเปิดเฟซบุ๊ค หรือวาดรูปหัวใจเพื่อโทรหาแฟน แต่ถ้าเราไม่ชอบตัว Gesture panel นี้ ก็สามารถปิดมันได้ครับ
ในการตั้งค่าที่น่าสนใจก็อย่างเช่น NFC มีส่วนจัดการ tag สามารถเขียนคำสั่งลงไปใน NFC tag ได้โดยไม่ต้องหาแอพมาติดตั้งเพิ่ม
และระบบรักษาความปลอดภัยที่น่าสนใจอย่างเช่น
- Guest mode แยกสัดส่วนเพื่อให้คนอื่นใช้งานได้ โดยไม่มายุ่งเกี่ยวกับข้อมูลของเรา
- App encryption ใส่รหัสล็อกเฉพาะบางแอพ
- Notification center เลือกได้ว่าจะให้แอพไหนแจ้งเตือนได้บ้าง
- Data Saving ป้องกันเนทรั่ว ด้วยการเลือกว่าจะให้แอพไหนทำงานอยู่เบื้องหลัง
- Permission Monitor ไว้ตรวจสอบว่าแอพไหนเรียกใช้ข้อมูลอะไรบนเครื่อง
และส่วนที่เด่นที่สุดของ ColorOS ก็คือ Gesture & motion ที่สามารถสั่งงานได้แม้ปิดหน้าจอ เช่น วาด V ระหว่างปิดจอ เพื่อเปิดไฟฉาย, ลาก 2 นิ้วลงระหว่างใช้งาน เพื่อปรับเสียง, รับสายด้วยการยกมาแนบหู
แต่ที่น่าสนใจคือการแตะหน้าจอ 2 ครั้ง เพื่อเปิดใช้งาน และกด home 2 ครั้งเพื่อปิดจอ
และสิ่งที่ผมเกริ่นไว้ตอนต้นก็คือการแบ่งพื้นที่ภายในตัวเครื่อง คือ N1 mini สามารถติดตั้งแอพได้ทั้ง 16 GB ที่มี ไม่ได้แบ่งไว้แค่ 3-4 GB แบบรุ่นอื่นของ OPPO
ผมได้ทดสอบติดตั้งเกมใหญ่ๆ อย่าง Asphalt 8, Wild blood และ Iesabel รวมๆ แล้วมีขนาดประมาณ 4.5 GB ก็สามารถทำได้ ซึ่งถ้าเป็นรุ่นก่อนหน้านี้คงต้องมีการ move app กันแล้ว ( ดีใจน้ำตาไหล )
สำหรับคะแนน Benchmark ก็อยู่ในระดับกลางๆ และจากการทดสอบเล่นเกม Wild blood และ Asphalt 8 ก็ลื่นไหลไม่มีกระตุก
สิ่งที่ O-Click ทำได้ก็คือ
- ใช้เป็นรีโมทสำหรับกดถ่ายรูป
- กด 2 ครั้ง เพื่อให้มือถือเล่นริงโทน สำหรับค้นหามือถือ
- เล่นริงโทนเมื่อหลุดจากระยะ ป้องกันการลืม
- มีไฟแจ้งเตือนที่ O-Click เมื่อมีข้อความหรือสายเรียกเข้า
การดูหนังก็สามารถล็อกหน้าจอ ป้องกันมือโดนระหว่างดูหนัง รวมทั้งปัดนิ้วขึ้น-ลง เพื่อปรับความสว่างกับระดับเสียง และย่อเป็นหน้าต่างเล็กๆ ไว้เปิดพร้อมกับทำอย่างอื่นได้
ประเด็นเรื่องลำโพงที่อยู่ด้านล่าง ใช้จริงเสียงดังมาก ส่วนคุณภาพอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้ใสหรือแน่นอะไรมาก
ระบบธีมที่มีให้เลือกเปลี่ยนได้ โดยไม่เสียความสามารถเหมือนกับการเปลี่ยน launcher
เรื่องราวเล็กๆ ที่ผมชอบก็คือการโทรออกรวมหน้า dial pad กับ call log ไว้ด้วยกัน ทำให้สะดวกในการดูประวัติการโทร และทำการโทรซ้ำ
จุดเด่นจากรุ่นก่อนๆ ก็ยังมีมาครบ เช่น การ block เบอร์, สั่นเมื่อปลายทางรับสาย และโทรซ้ำอัตโนมัติ
ส่วนที่เด่นที่สุดของรุ่นนี้ก็คือกล้อง แม้ว่า N1 mini ให้กล้องมาแค่อันเดียวแต่หมุนได้ ทำให้สามารถถ่ายรูปในมุมมองที่สนุกมากขึ้น และการที่หมุนได้ก็เสมือนมีกล้องหน้า 13 ล้านพร้อมไฟแฟลช
แม้ว่าตามสเป็กกล้องคือ 13 ล้าน แต่สามารถถ่ายภาพที่ความละเอียด 24 ล้านได้ด้วยโหมด Ultra-HD ที่ไม่ใช่แค่ความละเอียดที่มากขึ้น เพราะมันเป็นการนำ 6 รูปมาประมวลผลให้ได้รูปที่สวยขึ้นด้วย เช่นการช่วยลด noise ในที่แสงน้อย
ในการใช้งาน Ultra-HD จะมีการประมวลผลหลังจากถ่ายเสร็จ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 5 วินาที แต่ช่วงประมวลผล ไม่ต้องถือกล้องค้างไว้ครับ
โหมด HDR เป็นอีกโหมดที่ทำได้ดี และถูกนำมาใช้บ่อยในการถ่ายย้อนแสง หรือรูปที่มีความต่างของแสงมากๆ ก็ใช้เวลาประมวลผลราว 3 วินาที
ที่เป็นพระเอกแบบที่ค่ายอื่นทำไม่ได้ก็คือ Slow shutter ได้ 32 วินาที มีไว้ช่วยการถ่ายแสงไฟกลางคืนให้เป็นเส้น หรือถ่ายน้ำพุและน้ำตกให้เป็นสายสวยๆ
หรือจะใช้กับที่แสงน้อย ให้รูปดูสว่างก็ทำได้ดีกว่ามือถือทุกรุ่นที่ผมเคยลอง
แต่มือต้องนิ่งมาก ไม่งั้นภาพเบลอครับ
และจุดเด่นอีกอย่างคือ Beautify ของค่ายนี้ที่ได้รับการยอมรับว่าทำให้หน้าสวยเนียนและดูสมจริง
เมื่อใช้ selfie คู่กับ O-Click ก็ช่วยให้การถ่ายรูปง่ายขึ้นเยอะ ( อยู่ในมือน้องเค้า )
ที่จริงแล้วยังมีโหมดอื่นๆ คือ
- Panorama สำหรับถ่ายภาพกว้างๆ
- Audio photo ที่ทำการบันทึกเสียงลงไปในภาพนิ่งสูงสุด 10 วินาที
- GIF ไว้ถ่ายภาพนิ่ง 20 ช็อตมาเรียงต่อกันเป็นภาพขยับ
และที่หลายคนเข้าใจผิดก็คือ Super Zoom แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ Ultra-HD หรือโหมดพิเศษ แต่มันคือระบบ digital zoom ที่พัฒนาให้ดีกว่าคู่แข่ง
แสงแฟลชเมื่อเทียบกับแฟลชคู่จาก HTC One M8 ก็ถือว่า OPPO N1 mini ค่อนข้างสว่าง
กล้องที่หมุนได้ ก็ทำให้ได้มุมแปลกๆ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมชอบเอามาถ่ายมุมเงยจากพื้น เพราะรุ่นอื่นทำแบบนี้ไม่ได้
ในการใช้งานจริงถือว่าทำได้น่าประทับใจ ทั้งความสวยงาม สีสันที่ใกล้เคียงของจริง มุมองศาของกล้องที่หมุนได้ การสั่งถ่ายรูปผ่าน O-Click รวมทั้งการอัดคลิปที่กดถ่ายภาพนิ่งระหว่างอัดได้
แต่ประเด็นคือ บางโหมดไม่สามารถตั้งอัตราส่วนเป็น 16:9 และบังคับเป็น 4:3 อย่างเช่น Beautify, Ultra-HD
สรุป
เมื่อก่อนถ้ามีงบหมื่นนิดๆ ผมจะแนะนำให้ซื้อ HTC Desire 816 ที่มีจุดเด่นเรื่องลำโพงคู่ แต่ตอนนี้ต้องเพิ่มตัวเลือกไปอีกหนึ่งคือ OPPO N1 mini ที่มีจุดเด่นเรื่องกล้องชนิดที่ว่าเด่นเกินราคา
เอาเป็นว่าถ้ามีงบราวหมื่น และเป็นคนรักการถ่ายรูป ผมแนะนำ OPPO N1 mini ครับ
*** ข้อมูล ColorOS อ่านเพิ่มได้ที่
http://www.bacidea.com/hello-color-os.html
ดูรูปขนาดใหญ่ที่
http://www.bacidea.com/review-oppo-n1-mini.html
ติดตามพูดคุยกันได้ที่
http://www.facebook.com/bacidea ครับผม
[SR] รีวิว OPPO N1 mini by bacidea
เมื่อตอนที่ OPPO N1 เปิดตัวก็สร้างกระแสด้วยจุดเด่นคือกล้องที่หมุนได้ พร้อมกับการสั่งงานผ่าน O-Click และสามารถติดตั้ง CyanogedMod ได้แบบเป็นทางการรุ่นแรก
และคราวนี้ OPPO N1 ถูกย่อส่วนพร้อมลดสเป็กตามกระแสนิยม แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดีขึ้นแบบที่ผมไม่เคยเจอบนรุ่นอื่นของ OPPO ...ที่น่าสนใจคือเรื่องนี้ไม่ได้ถูกหยิบมาโฆษณาซะด้วย
สเป็ก OPPO N1 mini
- CPU Snapdragon 400 ( 1.6 GHz )
- RAM 2 GB
- พื้นที่ 16 GB
- หน้าจอ 5 นิ้ว แบบ IPS ความละเอียด HD ( 293 PPI )
- กล้อง 13 ล้าน หมุนได้ 195 องศา
- แบต 2140 mAh
- น้ำหนัก 150 กรัม
- ราคา 12,990 บาท
แม้ว่ารุ่นนี้จะไม่รองรับ 4G LTE แต่เรื่องการเชื่อมต่ออื่นๆ ก็ครบถ้วนดีทั้ง USB OTG, NFC, Bluetooth 4.0 ส่วนรูปร่างหน้าตา มันก็คือ N1 ย่อส่วนนั่นแหละครับ
ที่ผมชอบกว่าเดิมก็คือขนาดที่กระชับมือมากกว่าแต่ก่อน ส่วนหน้าจอแม้จะไม่ใช่ Full HD แต่ก็เพียงพอกับการใช้งานจริง และหน้าจอแบบ IPS ทำให้ภาพรวมออกมาดูดีเลยทีเดียว
ระบบปฏิบัติการยังคงเป็น android 4.3 ที่มีการปรับแต่งในแบบฉบับของ OPPO ภายใต้ชื่อ ColorOS
ลูกเล่นเล็กๆ ที่หลายคนชอบก็คือ Exclusive space ...ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ มันก็คือ widget แบบเต็มหน้าจอ ซึ่งตอนนี้มี 2 อันคือ
- Photo space ที่จะทำการถ่ายรูปและนำมาร้อยเรียงตามเวลา
- Music space ที่สามารถลากหัวอ่านไปวางที่แผ่นเสียงเพื่อเล่นเพลง
การทำงานของ 3 ปุ่มล่าง ก็คือ
- กด menu ค้างเพื่อเรียก recent apps
- กด home ค้างเพื่อเรียก Google Now
ซึ่งในส่วนของ recent apps ยังคงมีปุ่ม clear all สำหรับปิดทุกแอพ และมีปุ่ม lock สำหรับป้องกันการเผลอปิดแอพนั้นๆ
แถบแจ้งเตือนด้านบนถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ ถ้าลากจากมุมบนขวา จะเป็นการตั้งค่าด่วนและการแจ้งเตือน ที่ผมชอบคือด้านล่างมีการแจ้งปริมาณเนทที่ใช้
แต่ถ้าลากจากมุมบนซ้ายจะเป็นการสั่งงานด้วยการวาดรูป ซึ่งสามารถตั้งค่าคำสั่งได้เอง เช่น วาดรูป F เพื่อเปิดเฟซบุ๊ค หรือวาดรูปหัวใจเพื่อโทรหาแฟน แต่ถ้าเราไม่ชอบตัว Gesture panel นี้ ก็สามารถปิดมันได้ครับ
ในการตั้งค่าที่น่าสนใจก็อย่างเช่น NFC มีส่วนจัดการ tag สามารถเขียนคำสั่งลงไปใน NFC tag ได้โดยไม่ต้องหาแอพมาติดตั้งเพิ่ม
และระบบรักษาความปลอดภัยที่น่าสนใจอย่างเช่น
- Guest mode แยกสัดส่วนเพื่อให้คนอื่นใช้งานได้ โดยไม่มายุ่งเกี่ยวกับข้อมูลของเรา
- App encryption ใส่รหัสล็อกเฉพาะบางแอพ
- Notification center เลือกได้ว่าจะให้แอพไหนแจ้งเตือนได้บ้าง
- Data Saving ป้องกันเนทรั่ว ด้วยการเลือกว่าจะให้แอพไหนทำงานอยู่เบื้องหลัง
- Permission Monitor ไว้ตรวจสอบว่าแอพไหนเรียกใช้ข้อมูลอะไรบนเครื่อง
และส่วนที่เด่นที่สุดของ ColorOS ก็คือ Gesture & motion ที่สามารถสั่งงานได้แม้ปิดหน้าจอ เช่น วาด V ระหว่างปิดจอ เพื่อเปิดไฟฉาย, ลาก 2 นิ้วลงระหว่างใช้งาน เพื่อปรับเสียง, รับสายด้วยการยกมาแนบหู
แต่ที่น่าสนใจคือการแตะหน้าจอ 2 ครั้ง เพื่อเปิดใช้งาน และกด home 2 ครั้งเพื่อปิดจอ
และสิ่งที่ผมเกริ่นไว้ตอนต้นก็คือการแบ่งพื้นที่ภายในตัวเครื่อง คือ N1 mini สามารถติดตั้งแอพได้ทั้ง 16 GB ที่มี ไม่ได้แบ่งไว้แค่ 3-4 GB แบบรุ่นอื่นของ OPPO
ผมได้ทดสอบติดตั้งเกมใหญ่ๆ อย่าง Asphalt 8, Wild blood และ Iesabel รวมๆ แล้วมีขนาดประมาณ 4.5 GB ก็สามารถทำได้ ซึ่งถ้าเป็นรุ่นก่อนหน้านี้คงต้องมีการ move app กันแล้ว ( ดีใจน้ำตาไหล )
สำหรับคะแนน Benchmark ก็อยู่ในระดับกลางๆ และจากการทดสอบเล่นเกม Wild blood และ Asphalt 8 ก็ลื่นไหลไม่มีกระตุก
สิ่งที่ O-Click ทำได้ก็คือ
- ใช้เป็นรีโมทสำหรับกดถ่ายรูป
- กด 2 ครั้ง เพื่อให้มือถือเล่นริงโทน สำหรับค้นหามือถือ
- เล่นริงโทนเมื่อหลุดจากระยะ ป้องกันการลืม
- มีไฟแจ้งเตือนที่ O-Click เมื่อมีข้อความหรือสายเรียกเข้า
การดูหนังก็สามารถล็อกหน้าจอ ป้องกันมือโดนระหว่างดูหนัง รวมทั้งปัดนิ้วขึ้น-ลง เพื่อปรับความสว่างกับระดับเสียง และย่อเป็นหน้าต่างเล็กๆ ไว้เปิดพร้อมกับทำอย่างอื่นได้
ประเด็นเรื่องลำโพงที่อยู่ด้านล่าง ใช้จริงเสียงดังมาก ส่วนคุณภาพอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้ใสหรือแน่นอะไรมาก
ระบบธีมที่มีให้เลือกเปลี่ยนได้ โดยไม่เสียความสามารถเหมือนกับการเปลี่ยน launcher
เรื่องราวเล็กๆ ที่ผมชอบก็คือการโทรออกรวมหน้า dial pad กับ call log ไว้ด้วยกัน ทำให้สะดวกในการดูประวัติการโทร และทำการโทรซ้ำ
จุดเด่นจากรุ่นก่อนๆ ก็ยังมีมาครบ เช่น การ block เบอร์, สั่นเมื่อปลายทางรับสาย และโทรซ้ำอัตโนมัติ
ส่วนที่เด่นที่สุดของรุ่นนี้ก็คือกล้อง แม้ว่า N1 mini ให้กล้องมาแค่อันเดียวแต่หมุนได้ ทำให้สามารถถ่ายรูปในมุมมองที่สนุกมากขึ้น และการที่หมุนได้ก็เสมือนมีกล้องหน้า 13 ล้านพร้อมไฟแฟลช
แม้ว่าตามสเป็กกล้องคือ 13 ล้าน แต่สามารถถ่ายภาพที่ความละเอียด 24 ล้านได้ด้วยโหมด Ultra-HD ที่ไม่ใช่แค่ความละเอียดที่มากขึ้น เพราะมันเป็นการนำ 6 รูปมาประมวลผลให้ได้รูปที่สวยขึ้นด้วย เช่นการช่วยลด noise ในที่แสงน้อย
ในการใช้งาน Ultra-HD จะมีการประมวลผลหลังจากถ่ายเสร็จ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 5 วินาที แต่ช่วงประมวลผล ไม่ต้องถือกล้องค้างไว้ครับ
โหมด HDR เป็นอีกโหมดที่ทำได้ดี และถูกนำมาใช้บ่อยในการถ่ายย้อนแสง หรือรูปที่มีความต่างของแสงมากๆ ก็ใช้เวลาประมวลผลราว 3 วินาที
ที่เป็นพระเอกแบบที่ค่ายอื่นทำไม่ได้ก็คือ Slow shutter ได้ 32 วินาที มีไว้ช่วยการถ่ายแสงไฟกลางคืนให้เป็นเส้น หรือถ่ายน้ำพุและน้ำตกให้เป็นสายสวยๆ
หรือจะใช้กับที่แสงน้อย ให้รูปดูสว่างก็ทำได้ดีกว่ามือถือทุกรุ่นที่ผมเคยลอง
แต่มือต้องนิ่งมาก ไม่งั้นภาพเบลอครับ
และจุดเด่นอีกอย่างคือ Beautify ของค่ายนี้ที่ได้รับการยอมรับว่าทำให้หน้าสวยเนียนและดูสมจริง
เมื่อใช้ selfie คู่กับ O-Click ก็ช่วยให้การถ่ายรูปง่ายขึ้นเยอะ ( อยู่ในมือน้องเค้า )
ที่จริงแล้วยังมีโหมดอื่นๆ คือ
- Panorama สำหรับถ่ายภาพกว้างๆ
- Audio photo ที่ทำการบันทึกเสียงลงไปในภาพนิ่งสูงสุด 10 วินาที
- GIF ไว้ถ่ายภาพนิ่ง 20 ช็อตมาเรียงต่อกันเป็นภาพขยับ
และที่หลายคนเข้าใจผิดก็คือ Super Zoom แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ Ultra-HD หรือโหมดพิเศษ แต่มันคือระบบ digital zoom ที่พัฒนาให้ดีกว่าคู่แข่ง
แสงแฟลชเมื่อเทียบกับแฟลชคู่จาก HTC One M8 ก็ถือว่า OPPO N1 mini ค่อนข้างสว่าง
กล้องที่หมุนได้ ก็ทำให้ได้มุมแปลกๆ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมชอบเอามาถ่ายมุมเงยจากพื้น เพราะรุ่นอื่นทำแบบนี้ไม่ได้
ในการใช้งานจริงถือว่าทำได้น่าประทับใจ ทั้งความสวยงาม สีสันที่ใกล้เคียงของจริง มุมองศาของกล้องที่หมุนได้ การสั่งถ่ายรูปผ่าน O-Click รวมทั้งการอัดคลิปที่กดถ่ายภาพนิ่งระหว่างอัดได้
แต่ประเด็นคือ บางโหมดไม่สามารถตั้งอัตราส่วนเป็น 16:9 และบังคับเป็น 4:3 อย่างเช่น Beautify, Ultra-HD
สรุป
เมื่อก่อนถ้ามีงบหมื่นนิดๆ ผมจะแนะนำให้ซื้อ HTC Desire 816 ที่มีจุดเด่นเรื่องลำโพงคู่ แต่ตอนนี้ต้องเพิ่มตัวเลือกไปอีกหนึ่งคือ OPPO N1 mini ที่มีจุดเด่นเรื่องกล้องชนิดที่ว่าเด่นเกินราคา
เอาเป็นว่าถ้ามีงบราวหมื่น และเป็นคนรักการถ่ายรูป ผมแนะนำ OPPO N1 mini ครับ
*** ข้อมูล ColorOS อ่านเพิ่มได้ที่ http://www.bacidea.com/hello-color-os.html
ดูรูปขนาดใหญ่ที่ http://www.bacidea.com/review-oppo-n1-mini.html
ติดตามพูดคุยกันได้ที่ http://www.facebook.com/bacidea ครับผม