ย้อนไปเมื่อวันที่ OPPO เปิดตัว N1 คนส่วนใหญ่จดจำจุดเด่นคือกล้องหมุนได้ แต่มีคนอีกกลุ่มที่สนใจประเด็นที่ว่ามันสามารถติดตั้งรอม CyanogenMod ได้
สำหรับคนที่ไม่เคยซุกซนเล่นรอมดัดแปลง หรือไม่รู้จัก CyanogenMod (ผมขอเรียกสั้นๆว่า CM )
ผมขออธิบายรวบรัดว่ามันคือรอมที่ทำงานได้ลื่นไหลมาก และมีระยะเวลาอัพเดทที่ยาวนาน พูดง่ายๆว่ามือถือเครื่องไหนที่ตกรุ่น หรือโดนลอยแพ ถ้ารุ่นนั้นสามารถติดตั้ง CM ได้ ก็เรียกว่าต่อชะตาชีวิตได้อีก
แต่ปัญหาคือหลายๆรุ่นติดตั้ง CM ได้ก็จริง แต่การทำงานไม่สมบูรณ์ ฟีเจอร์ขาดหายทำให้ไม่น่าใช้เท่าที่ควร
ประเด็นคือ OPPO N1 เป็นรุ่นแรกที่จับมือกับผู้ผลิต CM ดังนั้นรุ่นนี้เลยมีฟีเจอร์ที่ค่อนข้างครบ และเป็นรุ่นที่ CM ภูมิใจเสนอมากๆ ลองดูจากคลิปนี้ได้
ในส่วนของสเป็ก เรียกว่ามันคือ N1 ที่ผมเคยรีวิวไว้ แต่ติดตั้งรอม CM มาจากโรงงาน ดังนั้นสเป็กและรูปร่างหน้าตาเหมือนกันหมดครับ
- CPU Snapdragon 600
- RAM 2 GB
- พื้นที่ 16 GB
- หน้าจอ 5.9 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1920 x 1080 (377 PPI)
- กล้อง 13 ล้าน f/2.0 พร้อมแฟลชคู่ ปรับหมุนได้ 206 องศา
- น้ำหนัก 213 กรัม
- แบต 3610 mAh
- มาพร้อม O-Click และ CyanogenMod
- ด้านบนเป็นกล้องที่หมุนได้ 206 องศา ซึ่งเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้
ด้านซ้ายเป็นถาดใส่ซิม ด้านขวาปุ่มปรับเสียง และปุ่มปิดเครื่อง ด้านล่างเป็นช่องเสียบต่างๆ
ด้านหลังที่เคสเว้นไว้ว่างๆ คือส่วนของ O-Touch ใช้ควบคุมเครื่องผ่านฝาหลัง
ด้านล่างเรียงจาก menu, home, back และถ้ากด home 2 ครั้งติดๆ จะเป็นการเรียก recent apps
ประเด็นคือเราสามารถตั้งค่า 3 ปุ่มล่างได้ เช่นเปลี่ยนปุ่ม menu เป็น recent apps ซึ่ง 3 ปุ่มนี้ในสถานะปรกติจะมองไม่เห็นปุ่มครับ
หน้า lock screen เมื่อแตะหน้าจอเพื่อปลดล็อก สามารถเข้า shortcut ที่เราตั้งไว้ได้
หน้า home screen แสดงผลได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
เมื่อกดปุ่ม app drawer เพื่อดูแอพทั้งหมด จะมี 2 แถบย่อยคือ apps และ widgets
ส่วนมุมบนขวาเป็นทางลัดเข้า google play
หน้าตาการแสดงผลของ recent apps เรียบง่าย และที่มุมบนขวามีปุ่มสำหรับปิดทุกแอพ
ที่น่าสนใจก็คือเราสามารถเปลี่ยนการทำงานของ 3 ปุ่มด้านล่างได้ เช่น เปลี่ยนปุ่ม menu ให้เป็น recent apps, กด menu ค้างเพื่อเปิด menu หรือการกด home 2 ครั้งเพื่อเข้า google now
เราสามารถตั้งค่าปุ่มเมื่ออยู่ในหน้า lock screen ได้ เช่น ตั้งค่าปุ่ม home กดค้างเพื่อเปิดไฟฉาย
และตั้งได้ว่าจะให้มีไฟที่ 3 ปุ่มล่างนานแค่ไหน หรือจะปิดไปเลยก็ได้
ซึ่งส่วนตัวผมชอบเป็นพิเศษ เพราะผมไม่ชอบให้ 3 ปุ่มล่างมีสัญลักษณ์ใดๆ เนื่องจากผมชอบดัดแปลงสลับด้านปุ่ม
ส่วนแถบ status bar ด้านบนก็แบ่งเป็นส่วนของการแจ้งเตือน และส่วนของการตั้งค่า quick settings ครับ
ซึ่งเราสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของแถบด้านบนได้มากมาย เช่น การแสดงนาฬิกา, แบต หรือจัดเรียงลำดับปุ่มใน quick settings
คำว่า Expanded desktop ที่เห็นนี่คือการซ่อนแถบ status bar ด้านบน แต่ทีเด็ดจริงๆคือ Gesture shortcuts มันเอาไว้สั่งงานตอนจอปิดอยู่ครับ มีให้ใช้ 4 คำสั่งคือ
- แตะ 2 ครั้งเพื่อเปิดจอ
- วาดตัว O เพื่อเข้ากล้อง
- วาดตัว V เพื่อเปิดไฟฉาย
- ในกรณีที่เปิดเพลงอยู่ ลาก 2 นิ้วในแนวตั้งเพื่อเล่น/หยุด ลากซ้าย/ขวาเพื่อเปลี่ยนเพลง
การตั้งค่าเสียงที่น่าสนใจคือ
- แยกความดังของเสียงแจ้งเตือนและเสียงริงโทนได้
- ตั้งเสียงริงโทนให้เริ่มจากเสียงเบา ไล่ไปดังได้
- เมื่อมีการแจ้งเตือน ระหว่างการโทร จะให้เครื่องสั่นหรือไม่
- Quiet hours ตั้งเวลาปิดการแจ้งเตือน
นอกจากนี้ยังมี DSP Manager หรือการปรับแต่ง equalizer ซึ่งปรับได้ละเอียดมาก และปรับเฉพาะอุปกรณ์ได้เช่น เสียงเมื่อใช้บลูทูธ, หูฟัง, ลำโพง หรือแม้แต่เสียงเมื่อใช้งานกับ dock
อีกส่วนที่มือถือส่วนใหญ่ตัดทิ้งไปแล้วก็คือเรื่องของ profile หรือการตั้งค่าสำเร็จรูป ให้เรียกใช้งานได้สะดวกขึ้น เช่น Work ตั้งให้เปิด Wi-Fi ปิด Bluetooth แต่ส่วนตัวผมปิดไว้ ไม่ได้ใช้ครับ
อีกเรื่องที่ CM นำเสนอก็คือเรื่องของ App security
- Privacy Guard ไว้ป้องกันแอพ ไม่ให้เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของเรา
- Blacklist สำหรับบล็อกเบอร์
- SMS message limit ช่วยป้องกันความผิดพลาดในการส่งข้อความรัวๆ
เรื่องของธีมนี่ก็มีให้โหลดทั้งฟรีและเสียเงิน ซึ่งส่วนตัวผมชอบเปลี่ยนไปใช้ธีมอื่นๆ เพราะรู้สึกว่าของ CM เดิมๆมันไม่สวย
วนกลับมาเรื่อง O-Touch นิดหน่อยครับ การลูบไล้ควบคุมผ่านแผ่นหลังขาวๆของ N1 มี 2 คำสั่ง
- กดค้างเพื่อเข้ากล้อง
- เมื่ออยู่ในโหมดกล้อง แตะ 2 ครั้งเพื่อถ่ายรูป
สำหรับอุปกรณ์เสริมที่ชื่อ O-Click ก็สามารถใช้งานกับ CM ได้เช่นกัน ...แต่ผมไม่ได้ลอง เนื่องจากลืมหยิบมาด้วย =_=
สิ่งที่ O-Click ทำได้ก็เหมือนๆกับบน Color rom คือ
- ใช้เป็นปุ่มกดถ่ายรูป
- กด 2 ครั้งเพื่อค้นหามือถือ โดยให้มือถือเล่นริงโทน
- แจ้งเตือนเมื่ออยู่ห่างจากมือถือ
เนื่องจาก N1 เครื่องนี้มาพร้อมกับ CM ดังนั้นมันเกิดมาพร้อมกับการปรับแต่งถึงห้องเครื่องกันเลย สามารถแก้ไขการทำงานของ CPU ได้... แต่มือใหม่ไม่ควรลองนะจ๊ะ
การโทรมีส่วนที่น่าสนใจคือ
- Flip action เมื่อคว่ำหน้าจอให้ปิดเสียง, วางสาย หรือไม่ทำอะไร
- สั่นเมื่อปลายทางรับสาย
- สั่นเมื่อมีสายซ้อน
- สั่นเมื่อวางสาย
- สั่นเมื่อโทรครบทุก 1 นาที
SMS ก็มีลูกเล่นเล็กน้อยคือปุ่ม enter สามารถเปลี่ยนเป็นปุ่ม emoji และข้างกล่องข้อความมีปุ่มเรียก emoji ทั้งหมดมาให้ใช้ได้
รุ่นนี้รองรับ USB OTG หรือว่าง่ายๆคือเอา flash drive มาเสียบตรงๆได้ ดังนั้น file manager ก็เลยมีส่วนของ USB storage ขึ้นมาให้ใช้งาน
สุดท้ายเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้ก็คือกล้อง ที่น่าสนใจก็คือมันมีโหมดการใช้งานมาให้ค่อนข้างครบ ต่างจาก CM ทั่วๆไป
- Enhance ด้วยโหมด HDR, Beautify, Slow shutter, Smart scene, scene
- ใช้ปุ่มเปิดเครื่อง หรือ O-Click แทนการกดถ่ายได้
- มี Burst mode สำหรับถ่ายภาพรัวๆ
- ถ่ายภาพนิ่ง, พาโนรามา และคลิป
มาดูตัวอย่างภาพถ่ายกันดีกว่า ซึ่งผมเปิด Smart scene ไว้ตลอดครับ
ทีนี้ลองเปิด Beautify คู่กับ Smart scene
แขนเนียนทันตา แต่หนามเม่นก็ยังคงดูแหลมคม ไม่โดนผลกระทบจากโหมดนี้
ถ้าพูดถึงการหมุนกล้อง คนส่วนใหญ่จะนึกถึงการแอบถ่าย แต่ผมนึกถึงมุมมองที่ถ่ายได้ยาก เช่นมุมเงยจากพื้นแบบนี้
ส่วน Slow shutter นอกจากจะไว้ถ่ายแสงไฟตอนกลางคืนได้ ยังช่วยให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นอีกด้วย
มาสรุปกันดีกว่า โดยรวมแล้วมันก็คือ CM รุ่นที่ใส่ความสามารถมาครบไม่ต่างจาก Color rom และปรับแต่งได้เยอะมาก
เรื่องสเป็กและความเร็ว ต้องบอกว่าสเป็กต่ำกว่าเรือธงค่ายอื่นก็จริง แต่ OPPO ทำออกมาได้ดีตั้งแต่ Color rom แล้ว ดังนั้น CM ก็เช่นกันครับ ลื่นมาก
จุดอ่อนของหลายๆรุ่นที่จับมาลง CM ก็คือกล้องง่อย แต่ N1 ทำงานได้ดีมากครับ
ส่วน O-Touch ควบคุมผ่านการลูบไล้แผ่นหลัง ส่วนตัวคิดว่าไม่สะดวกครับ แต่ O-Click เป็นอุปกรณ์เสริมที่ดีมาก
จุดที่น่าสังเกตก็คือ เกิดมาพร้อมกับ CM ก็จริง แต่ไม่ได้มาพร้อมกับรูทนะครับ อาจจะดูเป็นข้อด้อย แต่จริงๆแล้วมันมีข้อดีอยู่ เพราะว่าบางหน่วยงานเค้าไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องรูท
แต่ส่วนที่เป็นข้อเสียของรุ่นนี้ก็คือ ไม่มีไฟ LED สำหรับแจ้งเตือนครับ
ถ้าใครสนใจแต่หาซื้อ CM edition ไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหาครับ เพราะเอา N1 รุ่นปรกติมาติดตั้งได้ ...และนี่เป็นอีกจุดเด่นที่ทำให้หลายคนหันมาสนใจ N1 แม้ว่าราคาจะแรงไปนิดก็ตาม
ติดตามผลงานกันได้ที่
http://www.facebook.com/bacidea
และ
http://www.bacidea.com
[SR] รีวิว OPPO N1 CyanogenMod edition by bacidea
ย้อนไปเมื่อวันที่ OPPO เปิดตัว N1 คนส่วนใหญ่จดจำจุดเด่นคือกล้องหมุนได้ แต่มีคนอีกกลุ่มที่สนใจประเด็นที่ว่ามันสามารถติดตั้งรอม CyanogenMod ได้
สำหรับคนที่ไม่เคยซุกซนเล่นรอมดัดแปลง หรือไม่รู้จัก CyanogenMod (ผมขอเรียกสั้นๆว่า CM )
ผมขออธิบายรวบรัดว่ามันคือรอมที่ทำงานได้ลื่นไหลมาก และมีระยะเวลาอัพเดทที่ยาวนาน พูดง่ายๆว่ามือถือเครื่องไหนที่ตกรุ่น หรือโดนลอยแพ ถ้ารุ่นนั้นสามารถติดตั้ง CM ได้ ก็เรียกว่าต่อชะตาชีวิตได้อีก
แต่ปัญหาคือหลายๆรุ่นติดตั้ง CM ได้ก็จริง แต่การทำงานไม่สมบูรณ์ ฟีเจอร์ขาดหายทำให้ไม่น่าใช้เท่าที่ควร
ประเด็นคือ OPPO N1 เป็นรุ่นแรกที่จับมือกับผู้ผลิต CM ดังนั้นรุ่นนี้เลยมีฟีเจอร์ที่ค่อนข้างครบ และเป็นรุ่นที่ CM ภูมิใจเสนอมากๆ ลองดูจากคลิปนี้ได้
ในส่วนของสเป็ก เรียกว่ามันคือ N1 ที่ผมเคยรีวิวไว้ แต่ติดตั้งรอม CM มาจากโรงงาน ดังนั้นสเป็กและรูปร่างหน้าตาเหมือนกันหมดครับ
- CPU Snapdragon 600
- RAM 2 GB
- พื้นที่ 16 GB
- หน้าจอ 5.9 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1920 x 1080 (377 PPI)
- กล้อง 13 ล้าน f/2.0 พร้อมแฟลชคู่ ปรับหมุนได้ 206 องศา
- น้ำหนัก 213 กรัม
- แบต 3610 mAh
- มาพร้อม O-Click และ CyanogenMod
- ด้านบนเป็นกล้องที่หมุนได้ 206 องศา ซึ่งเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้
ด้านซ้ายเป็นถาดใส่ซิม ด้านขวาปุ่มปรับเสียง และปุ่มปิดเครื่อง ด้านล่างเป็นช่องเสียบต่างๆ
ด้านหลังที่เคสเว้นไว้ว่างๆ คือส่วนของ O-Touch ใช้ควบคุมเครื่องผ่านฝาหลัง
ด้านล่างเรียงจาก menu, home, back และถ้ากด home 2 ครั้งติดๆ จะเป็นการเรียก recent apps
ประเด็นคือเราสามารถตั้งค่า 3 ปุ่มล่างได้ เช่นเปลี่ยนปุ่ม menu เป็น recent apps ซึ่ง 3 ปุ่มนี้ในสถานะปรกติจะมองไม่เห็นปุ่มครับ
หน้า lock screen เมื่อแตะหน้าจอเพื่อปลดล็อก สามารถเข้า shortcut ที่เราตั้งไว้ได้
หน้า home screen แสดงผลได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
เมื่อกดปุ่ม app drawer เพื่อดูแอพทั้งหมด จะมี 2 แถบย่อยคือ apps และ widgets
ส่วนมุมบนขวาเป็นทางลัดเข้า google play
หน้าตาการแสดงผลของ recent apps เรียบง่าย และที่มุมบนขวามีปุ่มสำหรับปิดทุกแอพ
ที่น่าสนใจก็คือเราสามารถเปลี่ยนการทำงานของ 3 ปุ่มด้านล่างได้ เช่น เปลี่ยนปุ่ม menu ให้เป็น recent apps, กด menu ค้างเพื่อเปิด menu หรือการกด home 2 ครั้งเพื่อเข้า google now
เราสามารถตั้งค่าปุ่มเมื่ออยู่ในหน้า lock screen ได้ เช่น ตั้งค่าปุ่ม home กดค้างเพื่อเปิดไฟฉาย
และตั้งได้ว่าจะให้มีไฟที่ 3 ปุ่มล่างนานแค่ไหน หรือจะปิดไปเลยก็ได้
ซึ่งส่วนตัวผมชอบเป็นพิเศษ เพราะผมไม่ชอบให้ 3 ปุ่มล่างมีสัญลักษณ์ใดๆ เนื่องจากผมชอบดัดแปลงสลับด้านปุ่ม
ส่วนแถบ status bar ด้านบนก็แบ่งเป็นส่วนของการแจ้งเตือน และส่วนของการตั้งค่า quick settings ครับ
ซึ่งเราสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของแถบด้านบนได้มากมาย เช่น การแสดงนาฬิกา, แบต หรือจัดเรียงลำดับปุ่มใน quick settings
คำว่า Expanded desktop ที่เห็นนี่คือการซ่อนแถบ status bar ด้านบน แต่ทีเด็ดจริงๆคือ Gesture shortcuts มันเอาไว้สั่งงานตอนจอปิดอยู่ครับ มีให้ใช้ 4 คำสั่งคือ
- แตะ 2 ครั้งเพื่อเปิดจอ
- วาดตัว O เพื่อเข้ากล้อง
- วาดตัว V เพื่อเปิดไฟฉาย
- ในกรณีที่เปิดเพลงอยู่ ลาก 2 นิ้วในแนวตั้งเพื่อเล่น/หยุด ลากซ้าย/ขวาเพื่อเปลี่ยนเพลง
การตั้งค่าเสียงที่น่าสนใจคือ
- แยกความดังของเสียงแจ้งเตือนและเสียงริงโทนได้
- ตั้งเสียงริงโทนให้เริ่มจากเสียงเบา ไล่ไปดังได้
- เมื่อมีการแจ้งเตือน ระหว่างการโทร จะให้เครื่องสั่นหรือไม่
- Quiet hours ตั้งเวลาปิดการแจ้งเตือน
นอกจากนี้ยังมี DSP Manager หรือการปรับแต่ง equalizer ซึ่งปรับได้ละเอียดมาก และปรับเฉพาะอุปกรณ์ได้เช่น เสียงเมื่อใช้บลูทูธ, หูฟัง, ลำโพง หรือแม้แต่เสียงเมื่อใช้งานกับ dock
อีกส่วนที่มือถือส่วนใหญ่ตัดทิ้งไปแล้วก็คือเรื่องของ profile หรือการตั้งค่าสำเร็จรูป ให้เรียกใช้งานได้สะดวกขึ้น เช่น Work ตั้งให้เปิด Wi-Fi ปิด Bluetooth แต่ส่วนตัวผมปิดไว้ ไม่ได้ใช้ครับ
อีกเรื่องที่ CM นำเสนอก็คือเรื่องของ App security
- Privacy Guard ไว้ป้องกันแอพ ไม่ให้เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของเรา
- Blacklist สำหรับบล็อกเบอร์
- SMS message limit ช่วยป้องกันความผิดพลาดในการส่งข้อความรัวๆ
เรื่องของธีมนี่ก็มีให้โหลดทั้งฟรีและเสียเงิน ซึ่งส่วนตัวผมชอบเปลี่ยนไปใช้ธีมอื่นๆ เพราะรู้สึกว่าของ CM เดิมๆมันไม่สวย
วนกลับมาเรื่อง O-Touch นิดหน่อยครับ การลูบไล้ควบคุมผ่านแผ่นหลังขาวๆของ N1 มี 2 คำสั่ง
- กดค้างเพื่อเข้ากล้อง
- เมื่ออยู่ในโหมดกล้อง แตะ 2 ครั้งเพื่อถ่ายรูป
สำหรับอุปกรณ์เสริมที่ชื่อ O-Click ก็สามารถใช้งานกับ CM ได้เช่นกัน ...แต่ผมไม่ได้ลอง เนื่องจากลืมหยิบมาด้วย =_=
สิ่งที่ O-Click ทำได้ก็เหมือนๆกับบน Color rom คือ
- ใช้เป็นปุ่มกดถ่ายรูป
- กด 2 ครั้งเพื่อค้นหามือถือ โดยให้มือถือเล่นริงโทน
- แจ้งเตือนเมื่ออยู่ห่างจากมือถือ
เนื่องจาก N1 เครื่องนี้มาพร้อมกับ CM ดังนั้นมันเกิดมาพร้อมกับการปรับแต่งถึงห้องเครื่องกันเลย สามารถแก้ไขการทำงานของ CPU ได้... แต่มือใหม่ไม่ควรลองนะจ๊ะ
การโทรมีส่วนที่น่าสนใจคือ
- Flip action เมื่อคว่ำหน้าจอให้ปิดเสียง, วางสาย หรือไม่ทำอะไร
- สั่นเมื่อปลายทางรับสาย
- สั่นเมื่อมีสายซ้อน
- สั่นเมื่อวางสาย
- สั่นเมื่อโทรครบทุก 1 นาที
SMS ก็มีลูกเล่นเล็กน้อยคือปุ่ม enter สามารถเปลี่ยนเป็นปุ่ม emoji และข้างกล่องข้อความมีปุ่มเรียก emoji ทั้งหมดมาให้ใช้ได้
รุ่นนี้รองรับ USB OTG หรือว่าง่ายๆคือเอา flash drive มาเสียบตรงๆได้ ดังนั้น file manager ก็เลยมีส่วนของ USB storage ขึ้นมาให้ใช้งาน
สุดท้ายเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้ก็คือกล้อง ที่น่าสนใจก็คือมันมีโหมดการใช้งานมาให้ค่อนข้างครบ ต่างจาก CM ทั่วๆไป
- Enhance ด้วยโหมด HDR, Beautify, Slow shutter, Smart scene, scene
- ใช้ปุ่มเปิดเครื่อง หรือ O-Click แทนการกดถ่ายได้
- มี Burst mode สำหรับถ่ายภาพรัวๆ
- ถ่ายภาพนิ่ง, พาโนรามา และคลิป
มาดูตัวอย่างภาพถ่ายกันดีกว่า ซึ่งผมเปิด Smart scene ไว้ตลอดครับ
ทีนี้ลองเปิด Beautify คู่กับ Smart scene
แขนเนียนทันตา แต่หนามเม่นก็ยังคงดูแหลมคม ไม่โดนผลกระทบจากโหมดนี้
ถ้าพูดถึงการหมุนกล้อง คนส่วนใหญ่จะนึกถึงการแอบถ่าย แต่ผมนึกถึงมุมมองที่ถ่ายได้ยาก เช่นมุมเงยจากพื้นแบบนี้
ส่วน Slow shutter นอกจากจะไว้ถ่ายแสงไฟตอนกลางคืนได้ ยังช่วยให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นอีกด้วย
มาสรุปกันดีกว่า โดยรวมแล้วมันก็คือ CM รุ่นที่ใส่ความสามารถมาครบไม่ต่างจาก Color rom และปรับแต่งได้เยอะมาก
เรื่องสเป็กและความเร็ว ต้องบอกว่าสเป็กต่ำกว่าเรือธงค่ายอื่นก็จริง แต่ OPPO ทำออกมาได้ดีตั้งแต่ Color rom แล้ว ดังนั้น CM ก็เช่นกันครับ ลื่นมาก
จุดอ่อนของหลายๆรุ่นที่จับมาลง CM ก็คือกล้องง่อย แต่ N1 ทำงานได้ดีมากครับ
ส่วน O-Touch ควบคุมผ่านการลูบไล้แผ่นหลัง ส่วนตัวคิดว่าไม่สะดวกครับ แต่ O-Click เป็นอุปกรณ์เสริมที่ดีมาก
จุดที่น่าสังเกตก็คือ เกิดมาพร้อมกับ CM ก็จริง แต่ไม่ได้มาพร้อมกับรูทนะครับ อาจจะดูเป็นข้อด้อย แต่จริงๆแล้วมันมีข้อดีอยู่ เพราะว่าบางหน่วยงานเค้าไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องรูท
แต่ส่วนที่เป็นข้อเสียของรุ่นนี้ก็คือ ไม่มีไฟ LED สำหรับแจ้งเตือนครับ
ถ้าใครสนใจแต่หาซื้อ CM edition ไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหาครับ เพราะเอา N1 รุ่นปรกติมาติดตั้งได้ ...และนี่เป็นอีกจุดเด่นที่ทำให้หลายคนหันมาสนใจ N1 แม้ว่าราคาจะแรงไปนิดก็ตาม
ติดตามผลงานกันได้ที่
http://www.facebook.com/bacidea
และ
http://www.bacidea.com