ได้ฤกษ์ปล่อยรีวิว OPPO R1 หลังจากปล่อยให้แฟนเพจรอมานาน เนื่องด้วยภารกิจรุมเร้าเหลือเกิน
OPPO R1 เป็นหนึ่งในมือถือที่คนสนใจกันมาก เพราะวัสดุ ความสวยงาม และกล้องที่โฆษณาว่าเก่งในที่แสงน้อย …มาดูกันว่าใช้จริงเป็นยังไงบ้าง
สเป็ก OPPO R1
- CPU 4 core 1.3 GHz
- RAM 1 GB
- พื้นที่ 16 GB
- หน้าจอ 5 นิ้ว ความละเอียด 1280*720
- กล้อง 8 ล้าน F 2.0
- กล้องหน้า 5 ล้าน
- รองรับ 3G ทุกเครือข่าย
- มาพร้อม Color OS (แอนดรอย 4.2)
- น้ำหนัก 140 กรัม
- แบต 2410 mAh
- มีสีขาว+ทอง และสีดำ+เงิน
- รองรับ 2 ซิม
- ราคาประมาณ 12,900 บาท
จุดเด่นของ OPPO R1 นอกจากเรื่องวัสดุแล้วยังมีเรื่องของความบาง 7.1 มิลเมตร รองรับ 2 ซิม หน้าจอขนาด 5 นิ้วตามกระแสนิยม
ครั้งแรกที่ได้พบเจอ OPPO R1 ตัวเป็นๆ ทำให้ผมนึกถึงมือถือราคาราวๆหมื่น ที่วัสดุหรูหราของอีกค่ายคือ Huawei P6
จับมาวางเทียบกันอย่างกะฝาแฝดแหนะ แต่ที่ค่อนข้างแปลกตาก็คือถาดใส่ซิมที่มาแบบเรียงกันยาวๆ
การที่ R1 มาพร้อมกับ ColorOS ทำให้มีความสามารถเด่นๆเหมือนกับ N1 อย่างเช่นการสั่งงานระหว่างปิดหน้าจอ ได้แก่
- วาดรูป V เพื่อเปิดไฟฉาย
- วาดรูป O เพื่อเปิดกล้อง
- ลาก 2 นิ้วลงเพื่อเล่น-หยุดเพลง
- วาดรูป < หรือ > เพื่อเปลี่ยนเพลง
- เคาะ 2 ครั้งเพื่อเปิดหน้าจอ
หน้า lock screen นอกจากจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการปลดล็อกได้ ยังมี gimmick เล็กๆก็คือการกดปุ่ม home ค้างไว้จะเป็นการเปิดไฟฉายครับ
UI ในส่วนของ Dock ด้านล่างวางแอพได้สูงสุด 5 อัน และสามารถสลับตำแหน่งปุ่ม app drawer ได้
ส่วนการเรียกใช้งานแอพล่าสุด ต้องกดปุ่ม home 2 ครั้ง ซึ่งหลายคนไม่ชิน (ที่จริงมันก็คล้ายๆ HTC One นะ)
ในหน้าจอ recent apps ที่ผมชอบมาตลอดก็คือปุ่มปิดทุกแอพ และแม่กุญแจสำหรับป้องกันการเผลอปิดแอพนั้นๆ
OPPO มีลูกเล่นที่ชื่อว่า Exclusive space สำหรับฟังเพลง หรือถ่ายรูปด้วย UI สวยๆ ซึ่งความจริงมันก็คือ widget แบบเต็มหน้าจอนั่นแหละครับ
…แต่ทำเป็นเล่นไป เคยมีคนหลังไมค์มาหาผมว่าซื้อเพราะชอบ Exclusive space ตัวแผ่นเสียงเนี่ย!
แถบแจ้งเตือนด้านบนแยกการทำงานเป็น 2 ส่วน ถ้าลากลงตามปรกติจะเจอส่วนของ Quick Settings สำหรับตั้งค่าด่วนๆ และการแจ้งเตือนต่างๆ
แต่ถ้าลากลงจากมุมบนซ้าย จะเจอ Gesture Panel สำหรับวาดรูปเพื่อสั่งงานเครื่อง เช่นผมตั้งค่าวาดรูป M เพื่อเปิดเครื่องเล่นเพลง
ซึ่งส่วนนี้ผมขอชมว่า OPPO ทำมาค่อนข้างดี การตรวจจับค่อนข้างฉลาด เพราะเราสามารถลากเส้นไหนก่อนก็ได้ ขอแค่สุดท้ายเป็นรูปเดียวกัน
การตั้งค่าที่น่าสนใจ อย่างเช่น
- Mobile networks > 3G service สำหรับเลือกซิมที่จะใช้งาน 3G
- SIM card management สำหรับเปิด-ปิดการทำงานของซิม เสมือนว่าถอดซิมนั้นออกจากเครื่อง และเลือกได้ว่าจะให้ใช้เนทจากซิมไหน
- Storage เลือกได้ว่าจะติดตั้งแอพไว้ที่ไหน
- Gesture & Motion สำหรับสั่งงานด้วยท่าทาง หรือการวาด
- More > Timing power on/off สำหรับตั้งเวลาเปิด-ปิดเครื่อง
- Wallpaper and screenlock style > Screenlock style สำหรับเปลี่ยนรูปแบบการปลดล็อค
- Battery percentage แสดงจำนวนแบตเป็นตัวเลข %
- Carrier info แสดงโลโก้เครือข่าย
- Easy light ไฟแจ้งเตือน
ทีนี้มาขยายความในส่วนของ Gesture & Motion กันหน่อย สิ่งที่ทำได้ก็อย่างเช่น
- ลาก 3 นิ้วลงเพื่อจับภาพหน้าจอ
- ลาก 2 นิ้วขึ้น-ลง เพื่อปรับเสียง
- ขยุ้มนิ้วเพื่อเข้ากล้อง
- รองรับการใช้งานผ่านถุงมือ
- รับสายทันทีที่ยกแนบหู
ต่อมาก็คือเรื่อง Easy light ทีฟังดูก็คงเหมือนไฟแจ้งเตือนทั่วไป แต่มันไม่เชิงครับ
เพราะรุ่นนี้มีไฟแจ้งเตือนทั้งด้านหน้าและหลังของเครื่อง …เอาเป็นว่าจะวางคว่ำหรือหงายก็มองเห็นไฟแจ้งเตือนได้
ต่อมาก็เป็นเรื่องการใช้งานด้านการโทร ซึ่ง OPPO เป็นค่ายที่ทำเรื่องนี้ได้ประทับใจผมเสมอ
อย่างแรกคือมีปุ่มโทรออกแยกกันชัดเจนทั้ง 2 ซิม และมีโหมด Smart dual SIM สำหรับใช้งาน 2 ซิมพร้อมกัน เช่น ระหว่างโทรด้วยสายที่ 1 ก็สามารถรับสายซ้อนจากซิมที่ 2 ได้
(ทางเทคนิคมันคือการโอนสาย ดังนั้นระหว่างการเปิดใช้งานโหมดนี้ จะมีคำเตือนว่าอาจมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น)
ต่อมาก็คือการโทรด่วน ที่หลายๆรุ่นตัดออกไปแล้ว และมีการแจ้งเตือนเมื่อปลายทางรับสาย เราจะได้ไม่ต้องถือเครื่องแนบหูไว้ระหว่างรอ
นอกจากนี้ยังมีโหมด Auto redial โทรซ้ำอัตโนมัติ และสถิติการใช้งานแต่ละซิม รวมทั้งการบล็อกเบอร์… ก็คือเรื่องการโทรค่อนข้างครอบคลุมครับ
แอพแนวเครื่องมือที่มีมาให้ก็อย่างเช่น ไฟฉาย เข็มทิศ และ Kingsoft Office สำหรับจัดการไฟล์เอกสาร
ส่วนที่ข้ามไม่ได้เลยก็คือระบบรักษาความปลอดภัย ที่น่าสนใจแบบจริงจังมีอยู่ 2 อย่างคือ
- App encryption สำหรับใส่รหัสล็อคแอพ
- Guest mode สำหรับซ่อนข้อมูลจากคนอื่น โดยแบ่งรหัสปลดล็อกเครื่องเป็น 2 ชุด เจ้าของเครื่องจะเห็นข้อมูลทุกอย่าง และรหัสสำหรับคนอื่นจะมองไม่เห็นข้อมูลที่เราซ่อนไว้
ส่วนของ Guest mode ผมว่าเหมาะกับการใช้จริงครับ เพราะชีวิตจริงแม้เราจะใส่รหัสไว้ เพื่อนเราก็มักจะขอให้เราปลดล็อกให้ สุดท้ายเค้าก็เข้าถึงข้อมูลเราได้ทุกอย่าง
แต่ถ้าใช้ Guest mode เค้าก็จะไม่เห็นรูป แอพ หรือข้อมูลที่เราซ่อนไว้
เรื่องดูหนังฟังเพลงก็จัดมาครบ เพราะรุ่นนี้มีวิทยุ FM มาให้ใช้งานด้วย ส่วนแอพดูหนังก็ล็อกหน้าจอ ป้องกันมือโดนระหว่างดูหนัง รวมทั้งย่อเป็นหน้าต่างเล็กๆ ไว้ดูระหว่างเปิดแอพอื่น
ส่วนแอพเล่นเพลงก็เลือกเพลงจาก folder ได้ และยังตั้งเวลาปิดเพลงได้ด้วย
การเล่นเกม ผมได้ทดสอบ Asphalt 8 ตามคำขอของแฟนเพจ ผลคือทำงานได้ลื่นดี ไม่มีกระตุกครับ
และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเอาคะแนน benchmark มาใส่ในรีวิว …ตามคำขอแฟนเพจอีกแล้ว แต่ผมแนะนำว่าใช้ดูประกอบการตัดสินใจ แต่อย่าไปยึดติดค่า benchmark ครับ
มาถึงจุดขายของรุ่นนี้ก็คือกล้อง ซึ่งความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ 8 ล้านแต่ถ่ายในอัตราส่วน 4:3 เท่านั้น ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้าน ความละเอียดการอัดคลิปสูงสุดที่ 720p ทั้งกล้องหน้าและหลัง
โหมดใช้งานมีแค่ 4 อย่าง แต่ครอบคลุม คือ Normal, HDR, Panorama, Beautify
ส่วนการทดสอบ ผมขอเทียบกับ N1 เนื่องจากใช้รุ่นนี้อยู่ครับ
ตัวอย่างรูป เทียบกับ OPPO N1 ซึ่งเป็นอัตราส่วน 16:9
เท่าที่ลองใช้งานกล้อง พบว่า R1 มี white balance ที่ใกล้เคียงของจริงมากกว่า N1
ส่วนการใช้งานในที่แสงน้อย ดูเหมือน N1 จะได้ภาพที่สว่างกว่า แต่ noise เยอะกว่า และภาพไม่คมชัดเท่า R1 …รวมๆแล้วเลยดูเหมือน R1 จะถ่ายรูปได้สวยกว่า N1
สรุป
จุดเด่นรุ่นนี้ก็คือวัสดุที่หรูหราเกินราคา กล้องก็น่าประทับใจ แต่ถ่ายอัตราส่วน 16:9 ไม่ได้ รวมทั้งอัดคลิปได้แค่ 720p ไม่ใช่ full hd
ส่วนข้อเสียก็ยังเป็นเรื่องเดิมๆของ OPPO ก็คือพื้นที่สำหรับติดตั้งแอพที่ให้มาน้อย เหลือให้ลงแอพไม่ถึง 4 GB แต่ยังดีที่สามารถตั้งค่าตำแหน่งการเก็บแอพไปไว้ในส่วนของ phone storage ได้ ทำให้ติดตั้งแอพได้มากขึ้น
เรื่องความเร็วก็เพียงพอกับการใช้งานจริง ทดสอบเล่นเกม 2-3 เกมก็ยังไม่เจออาการกระตุก
ถ้าชอบมือถือวัสดุดีๆ ในราคาหมื่นนิดๆ รุ่นนี้ถือว่าน่าสนใจมากครับ ลองไปจับเครื่องจริงก่อนตัดสินใจ
Source:
http://www.bacidea.com/review-oppo-r1.html (ดูภาพขนาดใหญ่จากลิ้งนี้)
ถ้าชอบก็ช่วยโหวตกระทู้ ไลค์เพจ
https://www.facebook.com/bacidea ให้กำลังใจผมหน่อยครับ
[SR] รีวิว OPPO R1 by bacidea
ได้ฤกษ์ปล่อยรีวิว OPPO R1 หลังจากปล่อยให้แฟนเพจรอมานาน เนื่องด้วยภารกิจรุมเร้าเหลือเกิน
OPPO R1 เป็นหนึ่งในมือถือที่คนสนใจกันมาก เพราะวัสดุ ความสวยงาม และกล้องที่โฆษณาว่าเก่งในที่แสงน้อย …มาดูกันว่าใช้จริงเป็นยังไงบ้าง
สเป็ก OPPO R1
- CPU 4 core 1.3 GHz
- RAM 1 GB
- พื้นที่ 16 GB
- หน้าจอ 5 นิ้ว ความละเอียด 1280*720
- กล้อง 8 ล้าน F 2.0
- กล้องหน้า 5 ล้าน
- รองรับ 3G ทุกเครือข่าย
- มาพร้อม Color OS (แอนดรอย 4.2)
- น้ำหนัก 140 กรัม
- แบต 2410 mAh
- มีสีขาว+ทอง และสีดำ+เงิน
- รองรับ 2 ซิม
- ราคาประมาณ 12,900 บาท
จุดเด่นของ OPPO R1 นอกจากเรื่องวัสดุแล้วยังมีเรื่องของความบาง 7.1 มิลเมตร รองรับ 2 ซิม หน้าจอขนาด 5 นิ้วตามกระแสนิยม
ครั้งแรกที่ได้พบเจอ OPPO R1 ตัวเป็นๆ ทำให้ผมนึกถึงมือถือราคาราวๆหมื่น ที่วัสดุหรูหราของอีกค่ายคือ Huawei P6
จับมาวางเทียบกันอย่างกะฝาแฝดแหนะ แต่ที่ค่อนข้างแปลกตาก็คือถาดใส่ซิมที่มาแบบเรียงกันยาวๆ
การที่ R1 มาพร้อมกับ ColorOS ทำให้มีความสามารถเด่นๆเหมือนกับ N1 อย่างเช่นการสั่งงานระหว่างปิดหน้าจอ ได้แก่
- วาดรูป V เพื่อเปิดไฟฉาย
- วาดรูป O เพื่อเปิดกล้อง
- ลาก 2 นิ้วลงเพื่อเล่น-หยุดเพลง
- วาดรูป < หรือ > เพื่อเปลี่ยนเพลง
- เคาะ 2 ครั้งเพื่อเปิดหน้าจอ
หน้า lock screen นอกจากจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการปลดล็อกได้ ยังมี gimmick เล็กๆก็คือการกดปุ่ม home ค้างไว้จะเป็นการเปิดไฟฉายครับ
UI ในส่วนของ Dock ด้านล่างวางแอพได้สูงสุด 5 อัน และสามารถสลับตำแหน่งปุ่ม app drawer ได้
ส่วนการเรียกใช้งานแอพล่าสุด ต้องกดปุ่ม home 2 ครั้ง ซึ่งหลายคนไม่ชิน (ที่จริงมันก็คล้ายๆ HTC One นะ)
ในหน้าจอ recent apps ที่ผมชอบมาตลอดก็คือปุ่มปิดทุกแอพ และแม่กุญแจสำหรับป้องกันการเผลอปิดแอพนั้นๆ
OPPO มีลูกเล่นที่ชื่อว่า Exclusive space สำหรับฟังเพลง หรือถ่ายรูปด้วย UI สวยๆ ซึ่งความจริงมันก็คือ widget แบบเต็มหน้าจอนั่นแหละครับ
…แต่ทำเป็นเล่นไป เคยมีคนหลังไมค์มาหาผมว่าซื้อเพราะชอบ Exclusive space ตัวแผ่นเสียงเนี่ย!
แถบแจ้งเตือนด้านบนแยกการทำงานเป็น 2 ส่วน ถ้าลากลงตามปรกติจะเจอส่วนของ Quick Settings สำหรับตั้งค่าด่วนๆ และการแจ้งเตือนต่างๆ
แต่ถ้าลากลงจากมุมบนซ้าย จะเจอ Gesture Panel สำหรับวาดรูปเพื่อสั่งงานเครื่อง เช่นผมตั้งค่าวาดรูป M เพื่อเปิดเครื่องเล่นเพลง
ซึ่งส่วนนี้ผมขอชมว่า OPPO ทำมาค่อนข้างดี การตรวจจับค่อนข้างฉลาด เพราะเราสามารถลากเส้นไหนก่อนก็ได้ ขอแค่สุดท้ายเป็นรูปเดียวกัน
การตั้งค่าที่น่าสนใจ อย่างเช่น
- Mobile networks > 3G service สำหรับเลือกซิมที่จะใช้งาน 3G
- SIM card management สำหรับเปิด-ปิดการทำงานของซิม เสมือนว่าถอดซิมนั้นออกจากเครื่อง และเลือกได้ว่าจะให้ใช้เนทจากซิมไหน
- Storage เลือกได้ว่าจะติดตั้งแอพไว้ที่ไหน
- Gesture & Motion สำหรับสั่งงานด้วยท่าทาง หรือการวาด
- More > Timing power on/off สำหรับตั้งเวลาเปิด-ปิดเครื่อง
- Wallpaper and screenlock style > Screenlock style สำหรับเปลี่ยนรูปแบบการปลดล็อค
- Battery percentage แสดงจำนวนแบตเป็นตัวเลข %
- Carrier info แสดงโลโก้เครือข่าย
- Easy light ไฟแจ้งเตือน
ทีนี้มาขยายความในส่วนของ Gesture & Motion กันหน่อย สิ่งที่ทำได้ก็อย่างเช่น
- ลาก 3 นิ้วลงเพื่อจับภาพหน้าจอ
- ลาก 2 นิ้วขึ้น-ลง เพื่อปรับเสียง
- ขยุ้มนิ้วเพื่อเข้ากล้อง
- รองรับการใช้งานผ่านถุงมือ
- รับสายทันทีที่ยกแนบหู
ต่อมาก็คือเรื่อง Easy light ทีฟังดูก็คงเหมือนไฟแจ้งเตือนทั่วไป แต่มันไม่เชิงครับ
เพราะรุ่นนี้มีไฟแจ้งเตือนทั้งด้านหน้าและหลังของเครื่อง …เอาเป็นว่าจะวางคว่ำหรือหงายก็มองเห็นไฟแจ้งเตือนได้
ต่อมาก็เป็นเรื่องการใช้งานด้านการโทร ซึ่ง OPPO เป็นค่ายที่ทำเรื่องนี้ได้ประทับใจผมเสมอ
อย่างแรกคือมีปุ่มโทรออกแยกกันชัดเจนทั้ง 2 ซิม และมีโหมด Smart dual SIM สำหรับใช้งาน 2 ซิมพร้อมกัน เช่น ระหว่างโทรด้วยสายที่ 1 ก็สามารถรับสายซ้อนจากซิมที่ 2 ได้
(ทางเทคนิคมันคือการโอนสาย ดังนั้นระหว่างการเปิดใช้งานโหมดนี้ จะมีคำเตือนว่าอาจมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น)
ต่อมาก็คือการโทรด่วน ที่หลายๆรุ่นตัดออกไปแล้ว และมีการแจ้งเตือนเมื่อปลายทางรับสาย เราจะได้ไม่ต้องถือเครื่องแนบหูไว้ระหว่างรอ
นอกจากนี้ยังมีโหมด Auto redial โทรซ้ำอัตโนมัติ และสถิติการใช้งานแต่ละซิม รวมทั้งการบล็อกเบอร์… ก็คือเรื่องการโทรค่อนข้างครอบคลุมครับ
แอพแนวเครื่องมือที่มีมาให้ก็อย่างเช่น ไฟฉาย เข็มทิศ และ Kingsoft Office สำหรับจัดการไฟล์เอกสาร
ส่วนที่ข้ามไม่ได้เลยก็คือระบบรักษาความปลอดภัย ที่น่าสนใจแบบจริงจังมีอยู่ 2 อย่างคือ
- App encryption สำหรับใส่รหัสล็อคแอพ
- Guest mode สำหรับซ่อนข้อมูลจากคนอื่น โดยแบ่งรหัสปลดล็อกเครื่องเป็น 2 ชุด เจ้าของเครื่องจะเห็นข้อมูลทุกอย่าง และรหัสสำหรับคนอื่นจะมองไม่เห็นข้อมูลที่เราซ่อนไว้
ส่วนของ Guest mode ผมว่าเหมาะกับการใช้จริงครับ เพราะชีวิตจริงแม้เราจะใส่รหัสไว้ เพื่อนเราก็มักจะขอให้เราปลดล็อกให้ สุดท้ายเค้าก็เข้าถึงข้อมูลเราได้ทุกอย่าง
แต่ถ้าใช้ Guest mode เค้าก็จะไม่เห็นรูป แอพ หรือข้อมูลที่เราซ่อนไว้
เรื่องดูหนังฟังเพลงก็จัดมาครบ เพราะรุ่นนี้มีวิทยุ FM มาให้ใช้งานด้วย ส่วนแอพดูหนังก็ล็อกหน้าจอ ป้องกันมือโดนระหว่างดูหนัง รวมทั้งย่อเป็นหน้าต่างเล็กๆ ไว้ดูระหว่างเปิดแอพอื่น
ส่วนแอพเล่นเพลงก็เลือกเพลงจาก folder ได้ และยังตั้งเวลาปิดเพลงได้ด้วย
การเล่นเกม ผมได้ทดสอบ Asphalt 8 ตามคำขอของแฟนเพจ ผลคือทำงานได้ลื่นดี ไม่มีกระตุกครับ
และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเอาคะแนน benchmark มาใส่ในรีวิว …ตามคำขอแฟนเพจอีกแล้ว แต่ผมแนะนำว่าใช้ดูประกอบการตัดสินใจ แต่อย่าไปยึดติดค่า benchmark ครับ
มาถึงจุดขายของรุ่นนี้ก็คือกล้อง ซึ่งความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ 8 ล้านแต่ถ่ายในอัตราส่วน 4:3 เท่านั้น ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้าน ความละเอียดการอัดคลิปสูงสุดที่ 720p ทั้งกล้องหน้าและหลัง
โหมดใช้งานมีแค่ 4 อย่าง แต่ครอบคลุม คือ Normal, HDR, Panorama, Beautify
ส่วนการทดสอบ ผมขอเทียบกับ N1 เนื่องจากใช้รุ่นนี้อยู่ครับ
ตัวอย่างรูป เทียบกับ OPPO N1 ซึ่งเป็นอัตราส่วน 16:9
เท่าที่ลองใช้งานกล้อง พบว่า R1 มี white balance ที่ใกล้เคียงของจริงมากกว่า N1
ส่วนการใช้งานในที่แสงน้อย ดูเหมือน N1 จะได้ภาพที่สว่างกว่า แต่ noise เยอะกว่า และภาพไม่คมชัดเท่า R1 …รวมๆแล้วเลยดูเหมือน R1 จะถ่ายรูปได้สวยกว่า N1
สรุป
จุดเด่นรุ่นนี้ก็คือวัสดุที่หรูหราเกินราคา กล้องก็น่าประทับใจ แต่ถ่ายอัตราส่วน 16:9 ไม่ได้ รวมทั้งอัดคลิปได้แค่ 720p ไม่ใช่ full hd
ส่วนข้อเสียก็ยังเป็นเรื่องเดิมๆของ OPPO ก็คือพื้นที่สำหรับติดตั้งแอพที่ให้มาน้อย เหลือให้ลงแอพไม่ถึง 4 GB แต่ยังดีที่สามารถตั้งค่าตำแหน่งการเก็บแอพไปไว้ในส่วนของ phone storage ได้ ทำให้ติดตั้งแอพได้มากขึ้น
เรื่องความเร็วก็เพียงพอกับการใช้งานจริง ทดสอบเล่นเกม 2-3 เกมก็ยังไม่เจออาการกระตุก
ถ้าชอบมือถือวัสดุดีๆ ในราคาหมื่นนิดๆ รุ่นนี้ถือว่าน่าสนใจมากครับ ลองไปจับเครื่องจริงก่อนตัดสินใจ
Source: http://www.bacidea.com/review-oppo-r1.html (ดูภาพขนาดใหญ่จากลิ้งนี้)
ถ้าชอบก็ช่วยโหวตกระทู้ ไลค์เพจ https://www.facebook.com/bacidea ให้กำลังใจผมหน่อยครับ