เมื่อครอบครัวเจอสภาวะวิกฤตชั้นควรทำเช่นไร

กระทู้คำถาม
ก่อนอื่นขอเล่าพื้นเดิมของครอบครัวก่อนนะคะ
ดิฉันเป็นลูกชาวนา เติบโตมากับการทำนา
ช่วยงานบ้านพ่อแม่ทุกอย่าง
รับจ้างพ่อแม่(นี่คือการสอนที่ดีอย่างนึงของพ่อแม่
ถ้าอยากได้อะไรต้องหาเงินเอง)
ทำงานสวนผัก(รับจ้างเก็บผัก)ทำตั้งแต่จำความได้
เพราะพ่อกับแม่เริ่มจากศูนย์จึงอยากสอนลูกให้รู้จักใช้เงิน
ชีวิตจึงสำผัสความลำบากมาแต่เด็ก
แต่พ่อกับแม่ก็ส่งเสียดิฉันและพี่สาวจนจบมหาวิทยาลัย
ชีวิตต้องดิ้นรนมาตลอดไม่เคยได้อะไรมาง่ายแม้แต่ตอนหางาน
ก็เดินสายสัมภาษงานตั้งแต่เรียนจบหาอยู่เกือบๆปีถึงจะได้งาน
พอเริ่มมีงานก็เริ่มเก็บเงินพร้อมกับแฟนที่คบกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย
ชีวิตก็เหมือนดูดีไม่มีปัญหา ต่อไปจะขอเล่าพื้นเพของแฟน
แฟนเป็นลูกชายคนเดียวชีวิตไม่เคยมีอุปสรรค เรียนจบก็ได้ทำงานเลย
พ่อแม่เค้าก็เลี้ยงมาแบบไม่เคยให้ลำบาก แต่แฟนก็เป็นคน
ที่ทำอะไรก็มีเหตุผลนะ
มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตเราสองคนกับแฟนคุยกันเรื่องแต่งาน
เพราะก็คบกันมาได้6ปีแล้วอีกอย่างแม่เราก็สุขภาพไม่ดีด้วย
กลัวว่าแกจะอยู่ไม่ถึงวันที่เรามีความสุข
พอตกลงกันได้ก็มีการสู่ขอเตรียมงานอยู่หนึ่งปีถึงได้แต่ง
เงินสินสอดของหมั้นพ่อแม่เรายกให้เราทุกอย่าง
โดยที่พ่อแม่แฟนมาพูดกับแฟนเราและเราว่าถ้าได้สินสอดแล้ว
ต้องเอามาให้เค้า เราก็รู้สึกไม่ดีนะแต่ก็โอเคอันนั้นคือเค้าออกให้
เราก็คืนไปแต่พ่อแม่เราไม่รู้(สินสอดคือเงินสามแสนทองสิบบาท)
เราก็โอนเงินคืนให้พ่อแม่แฟนไป(คือพ่อแม่เราให้เงินสินสอด
+เงินซองตอนงานหลังหักค่าโต๊ะจีนมาเกือบๆสี่แสน)
สี่แสนพอทำงานเก็บเงินไปซักพักธุรกิจที่พ่อกับแม่แฟนทำเกิดปัญหา
เงินไม่พอเค้าก็ขอยืมเราสองคนมีเงินเก็บอยู่สองแสนก็โอนให้เค้าไป
พอต่อมาเราท้อง(ยังไม่ได้แพลนว่าจะมีแต่พอดีน้องมา)
แล้วเกิดภาวะแท้งคุกคาม+พ่อกับแม่แฟนเคยบอกว่าจะให้เราละแฟน
ไปช่วยทำธุรกิจทางนั้นก็ให้เราออกจากงาน
ซึ่งเราลาออกมาก่อนแฟนประมาณเกือบสองเดือน
พอย้ายไปช่วยทางบ้านแฟนทำธุรกิจ
ทางแม่แฟนก็บอกว่าถ้ามีเงินมาหมุนในร้านกิจการก็จะดี
ซึ่งจริงๆเราก็เห็นแหละว่าของขายดีจริง
เราก็เลยไปกู้ญาติผู้ใหญ่ของเรามาให้สี่แสน
เอาเงินมาลงทุนในร้าน แต่มันเริ่มมีปัญหาตรงที่
ทางบ้านแฟนอยากให้เรากับแฟนมารับช่วงต่อ
แต่ปรากฎว่าพอถึงเวลาทำงานเราสองคนกับแฟนเห็นว่าควร
ปรับเปลี่ยนวิธีทำงานภายในร้าน
เช่นควรมีการทำบัญชีการเงินชัดเจน แบ่งหน้าที่กันชัดเจน
ว่าใครจะทำอะไร การจัดการเงินภายในร้านควรแยกชัดเจน
ให้ทุกคนมีเงินเดือนไม่ควรนำเงินใช้ส่วนตัวมารวมกับเงินของร้าน
แต่ทางพ่อแฟนก็ไม่ยอมเค้าจะเป็นคนจัดการเองทั้งหมด
ซึ่งมันทำให้เงินภายในร้านติดลบเพราะบางทีก็ซื้อของมา
เกินความจำเป็น ราคาขายก็ตั้งตามใจ เวลาลูกค้ามาซื้อ
อยากลดก็ลดซะจนแทบขาดทุนบอกว่าจะได้เป็นลูกค้ากัน
ทำให้แฟนกับพ่อแฟนมีปัญหากันหลายครั้ง
กับระบบการทำงานที่ไม่เป็นระบบของพ่อ
จนสุดท้ายแฟนเราไปมีปัญหากับลูกค้าที่สนิทกับพ่อแฟน
จนถึงขั้นแทบจะต่อยกันเราจึงปรึกษากับแฟนว่า
ให้คุยกับพ่อแม่ว่าที่จะให้ไปทำอีกร้านดีกว่าไหม
เพราะตอนก่อนออกจากงานก็บอกแต่แรกว่าจะให้ไปทำร้านนั้น
พอแฟนเราคุยทางพ่อแม่แฟนก็โมโหหาว่าเราอ่อนประสบการณ์
จะออกไปทำเองได้อย่างไรแฟนเราก็เครียดมาก
จนหัวหน้าที่ทำงานเก่าเค้ารู้เรื่องจึงชักชวนให้กลับไปทำที่เดิม
จึงมาบอกพ่อแม่แฟนว่าจะกลับมาทำที่เดิมพร้อมกับเอาเราและลูกมาด้วย
ทางพ่อแม่แฟนก็โกรธหาว่าเราทิ้งพ่อแม่แล้วกลับมาทำงานคนเดียว
จะไปรอดได้ยังไงก็บอกว่าอยากไปก็ไปแต่พ่อกับแม่จะไม่ช่วยอะไรแล้ว
แต่พอถึงเวลาจะมาทำจริงทางพ่อแม่แฟนก็ให้รถเก๋งมาใช้หนึ่งคัน
พร้อมกับมาส่ง (ลืมเล่าว่าก่อนจะกลับมาทำงานแฟนได้ไปกู้ธนาคาร
ให้พ่อแฟนเพื่อมาใช้จ่ายในร้านเป็นเงินอีกประมาณเกือบสี่ล้าน)
ส่วนเงินที่เรายืมญาติมาให้ทางพ่อแม่แฟนก็บอกว่าจะทะยอยคืนให้
(ก็ทะยอยคืนสองสามเดือนแสนนึง)จนเราเริ่มอยู่ตัวก็คิดที่จะซื้อบ้าน
ซึ่งจริงๆก็เป็นคำแนะนำของพ่อแม่แฟนตั้งแต่แรกว่าถ้าคิด
จะอยู่ที่นี่ถาวรก็ควรซื้อบ้านหรือคอนโดซะเพราะจะได้ไม่เสียค่าเช่าฟรี
ตอนย้ายกลับมาทำงานใหม่ๆก็ไปจองคอนโดใกล้ที่ทำงานไว้
แต่ระหว่างรอทำเรื่องกู้ก็พักอยู่หอแล้วลูกของเรางอแง
เพราะเคยอยู่บ้านที่มีพื้นที่มาก่อนจึงไม่ชอบที่จะอยู่แต่ห้องแคบๆ
ประกอบกับถ้าเราผ่อนคอนโดก็ตกเดือนละประมาณ12,000
จึงเปลี่ยนใจขายใบจองแล้วหาซื้อบ้านแทน
ระหว่างหาซื้อบ้านก็เลยไปหาบ้านเช่าอยู่
เพราะตอนย้ายกลับมาทีแรกมาพักอยู่กับพี่สาวเราที่ทำงานอยู่
บริเวณเดียวกับที่แฟนเราทำงาน
เราก็เลยตกลงว่าหาบ้านเช่าอยู่(เพราะถ้าเช่าหอก็ค่าเช่า+ค่าน้ำไฟสองห้อง
ก็หมื่นกว่าบาทงั้นอยู่บ้านน่าจะโอเคกว่า)
เราก็หาบ้านเช่าได้แถวที่ทำงานของพี่เราซึ่งไม่ไกลจากที่ทำงานแฟนมาก
เช่าอยู่ได้6เดือนเจอบ้านในหมู่บ้านที่เช่าเค้าขายบ้าน
ราคาไม่แพง+บ้านสภาพดีจึงให้แฟนยื่นกู้ซื้อบ้าน
จนผ่านโอนบ้านเรียบร้อย(เงินค่าโอนบ้านก็พ่อของเราให้มาอีกหนึ่งแสน)
พอโอนเสร็จเรามีเงินเหลือประมาณ70000ก็กะว่าต่อเติมห้องครัว
ประมาณ20000ระหว่างทำบ้านอยู่
แม่แฟนก็ขอยืมเงินอีกบอกว่าเดือนนึงจะคืน
เราก็โอนให้ไปส่วนค่าของที่ทำบ้านเราจึงใช้บัตรเครดิตรูดไป
ส่วนค่าจ้างพ่อเราออกให้
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านมาเกือบปีทางนั้นก็ยังไม่มีเงินคืน
เงินส่วนที่ต้องคืนญาติเราก็ยังไม่ครบขาดอีกสองแสน
เราก็รับไว้เอง จนเราเห็นว่าทางนั้นเค้าแย่
รถที่ให้มาเค้าก็เอาไปเข้าไฟแนนซ์
เราอยากช่วยจึงบอกให้เอารถกลับไปขายซะ
ทางนั้นก็ไม่ขายบอกว่ากลัวหลาน(ลูกเรา)ไม่มีรถใช้(ตอนนนี้ลูกเราพึ่งเข้าโรงเรียน)
เราก็บอกให้ทางแม่แฟนมาอยู่ด้วยขายรถซะคันนึง
แล้วให้แม่แฟนดูแลหลานแทนแล้วเราจะออกไปหางานทำ
แต่ทางนั้นก็ไม่ยอมมาบอกว่าลำบากใจ
เราก็โอเคงั้นเดี๋ยวเราหาที่ฝากเลี้ยงลูกเองก็ได้
เพราะแฟนทำงานคนเดียวทั้งค่าบ้านค่ารถค่าเทอมลูกไม่ไหวแน่
ตอนนี้เรายังหางานไม่ได้พอเงินไม่พอจึงต้องขอพ่อเราใช้
ซึ่งบางทีเราไม่กล้าขอแต่พ่อเราก็รู้ก็ให้เอง
ให้ผ่านลูกเราบ้างให้กับเราตรงๆบ้าง
จนเราละอายใจ แต่เราก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง
จนทำให้ทางบ้านแฟนทั้งญาติของแฟนก็หาว่าพ่อเราไม่ช่วยอะไร
เราเลยและก็ว่าเราซื้อบ้านราคาสูงเกินบ้านใหญ่เกินมั่งแหละ
คือโทดว่าที่มีปัญหาการเงินนี่เพราะเราคนเดียว
พอมีปัญหาก็หาว่าทางเค้าตอนแรกไม่เห็นว่าน่าจะรีบซื้อบ้าน
พอซื้อมาก็มีปัญหา
ขอแจงเรื่องเงินนะคะ
เงินเดือนแฟนเราประมาณ22000-23000
ได้โบนัสทุกสามเดือนอีกครั้งละประมาณหมื่นถึงสองหมื่น
พี่สาวเราช่วยค่าใช้จ่ายอีกเดือนละ7000
ค่าผ่อนบ้าน-18000
ค่าผ่อนรถ-13000
ค่าน้ำไฟประมาน3000
แล้วก็มาติดค่าบัตรเครดิตตอนซื้อของทำบ้านอีกเดือนละ12000
เห็นกันไหมค่ะว่ารายรับไม่พอกับรายจ่าย
ตรงส่วนนี้พ่อเราช่วยทั้งนั้น
ช่วยมานานเป็นปี
คือหลายคนอาจจะมองว่าค่าใช้จ่ายเกินตัวไปไหม
แต่อยากบอกว่ามันไม่ได้เกิดจากตัวเราเอง
ค่าบัตรเครดิตจริงๆไม่ควรมีถ้าเราไม่โอนเงินไปให้
ค่ารถก็ไม่ควรมีเพราะจริงๆรถมันก็ผ่อนหมดไปแล้ว
บวกกับเราก็ให้เงินทางพ่อแม่แฟนไปเยอะแล้ว
แต่เราก็เข้าใจเค้าว่าตอนนี้เค้าแย่ก็เลยพยายามช่วย
ทางนั้นก็พูดตลอดว่าถ้าเค้ามีเค้าก็ไม่รบกวนเราหรอก
เราก็ช่วยสุดๆและยิ่งตอนนี้ทางพ่อแฟนไม่สามารถใช้หนี้ที่แฟนเคยกู้ให้
จนมีหมายศาลมาที่บ้าน เราก็กลัวโดนฟ้องล้มละลาย(ไม่รู้ว่าจะคิดมากไปเปล่าแต่ก็อยากกันไว้ก่อน)
จึงปรึกษากับพ่อแล้วให้พ่อเอาที่ที่บ้านพ่อไปเข้าธนาคาร
แล้วมาโป๊ะบ้านที่เราอยู่แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อพ่อเรา
จนถึงตอนนี้เราคุยกับแม่แฟนว่าให้มาช่วยเลี้ยงลูกให้
เราจะให้ค่าจ้าง เพราะเราจะได้ไปทำงาน
ทางแม่แฟนก็ไม่อยากมาบอกเราว่าถ้ารถส่งไม่ไหวก็เอาคืน
พอเราจะคืนจริงก็หาว่าเราอยากได้รถใหม่(พ่อเราจะออกให้เพราะเราต้อง
กลับบ้านบ่อยพาพ่อไปหาหมอ)
ตอนนี้เราเลยกลายเป็นางมารร้ายในสายตาฝั่งญาติแฟน
เป็นคนสร้างปัญหาทั้งหมดต่อไปนี้เราควรจะทำอย่างไรดี
ทุกวันนี้เราก็เอาของลูกมาขายบ้างขายเครื่องสำอางค์บ้าง
อะไรเป็นเงินเราทำทุกอย่าง แต่รู้สึกว่าชีวิตตอนนี้
มันตกต่ำมากเครียดและละอายใจอย่างบอกไม่ถูก
เราโชคดีที่พ่อแม่เราทำงานหาเงินเก็บไว้เยอะ
ทำให้เค้าไม่ต้องคอยพึ่งเราแต่กลับเป็นเราที่ไปพึ่งเค้าตลอด
จากเหตุการณ์ตอนนี้สอนให้เรารู้ว่าไม่มีใครรักเราเท่าพ่อแม่จริงๆ
และอีกเรื่องคือถ้ามีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง
จากครอบครัวที่มีความสุขก็กลายเป็นมีปัญหาขึ้นมาได้
รบกวนหากใครมีแนวทางที่ดีช่วยแนะนำด้วยนะคะ

ปล.เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรก หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะคะ
ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
ปล.2 งานก็ยังหาอยู่ค่ะ รายจ่ายทุกอย่างอันไหนประหยัดได้เราประหยัด
แต่ตอนนี้ติดตรงที่หาคนเลี้ยงลูกไม่ได้
ที่พอมีเราก็ต้องจ้างรถรับส่งเดือนละ8000
ไปอยู่after school อีกเดือนละ~9000
ซึ่งเรามองว่ามันสูงไปหักลบเงินเดือนที่จะได้จะทำให้จะไม่เหลือ
เราจึงยังลังเลอยู่ที่จะออกไปทำงานเพราะถ้าออกไปทำงานแล้ว
ไม่ทำให้มีรายได้เพิ่มก็รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์
ปล.3ขอขอบคุณทุกความเห็นล่วงหน้าค่ะ
ปล.4กระทู้ยาวหน่อยขอโทษด้วยค่ะพอดีมันอัดอั้นมาก
ไม่รู้จะพูดกับใครหรือปรึกษาใครเพราะบางเรื่องพูดไปมันไม่ดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่