สวัสดีค่ะพี่ๆเพื่อนทุกคนค่ะ ก่อนหน้านี้ออมเคยได้รีวิวประสบการณ์ การปั่นจักรยานครั้งแรก เป็นทริปจาก กรุงเทพ-เพชรบูรณ์ ที่ไปด้วยใจ แม้ไร้ประสบการณ์ค่ะ
http://ppantip.com/topic/32244245/comment111
แต่วันนี้ออมจะมารีวิวทริปสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความทรงจำที่ฝากรอยแผลไว้จนถึง ณ ตอนนี้ (ยังไม่หายเลย555)
ก่อนจะเล่า ก็ขอบอกทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ ว่าเรื่องนี้เกิดจากความโง่เขลา ห้าว และไร้ซึ่งความระมัดระวังของออมเอง ใครใครด่า ด่าได้ ใครใครเตือน เตือนได้ ใครใคร่อยากจะกระทืบ ขอร้องอย่าเพิ่งตอนนี้นะคะ เพราะยังระบมอยุ่เลย (น่าสมน้ำหน้าจริงๆ) 555 เอาละค่ะ ลองอ่านแล้วติติงตามชอบได้เลยคร่า-----
ช่วงวันหยุดยาว เข้าพรรษา เลยกะว่าจะพามะขามไปปั่นเล่นนอกเมืองซักกะหน่อย ความจริงแล้วออมก็กะจะปั่นไปเลย แต่ด้วยความที่เป็นช่วงมรสุมเข้า ประกอบกับคุณแฟนแสนจะเป็นห่วง (แน่เรอะ) ก็เลยยกมะขามกับยีราฟขึ้นแพนด้า (รถตู้)ออกนอกเมืองกันเล้ยย (ขอกราบประทานอภัยกับทุกท่านที่คิดว่า เห้ย
สิงสาราสัตว์เยอะแยะแท้วะ เดี๊ยวยีราฟ เดี๋ยวแพนด้า คือว่าออมกับแฟนมักจะตั้งชื่อรถน่ะค่ะ เราคิดตรงกันว่าพวกเค้าไม่ใช่สิ่งของไร้ชีวิตจิตใจ เรารักพวกเค้า ต้องดูแลกัน เป็นเพื่อนกัน.... )
เราออกเดินทางยามค่ำของวันศุกร์ค่ะ ถนนหนทางมืดสนิท ยิ่งออกนอกเมืองเท่าไรแสงของดวงไฟก็น้อยลงตาม แต่สัมผัสได้ถึงความเย็นของต้นไม้และธรรมชาติ ตลอด 2 ข้างทาง
ทางน่าปั่นมากๆ
12-07-57 : เช้านี้ที่นอกเมือง
แก็งสเตอร์ร่วมทริปต่างตื่นเช้า หากิจกรรมทำ อาทิ ชมนก ชมไม้ ดูปลา ตามประสาคนเมืองที่นานๆจะได้อยู่กับธรรมชาติซักที รอเวลาสายๆ ก็เตรียมตัวไปกินข้าวกัน โดยที่เอาจักรยานไปด้วย โดยเรากะว่ากินข้าวเสร็จเราจะไปเที่ยวอุทยานไทยประจันกันแล้วขากลับออกมาจะปั่นจักรยานกลับกัน
ระยะทางไม่ไกลมากค่ะ แต่พอเข้าไปในอุทยานแล้วนั้น
.... หวนระลึกถึงทางเข้างานดนตรีที่เพชรบูรณ์ในบัดดล หินภูเขาน้อยใหญ่เต็มไหล่ทางไปหมด คุณแฟนเราก็บ้าระห่ำเช่นกันค่ะ พารถตู้เล็กโตโยต้าไลฟ์เอส ล้อเล็กบดเข้าไปจนถึงด้านในจนได้ (คุณแฟนและผองเพื่อนเคยมาเป็นประจำครั้งเป็นวัยสะรุ่นกัน)
มีบวชป่าด้วยค่ะ
ป่าเขาลำเนาไพร เอิงเงย
จขกท.ดูกลมกลืนกับป่ามั้ยคะ55
มะขามพร้อม !!!
เราก็ร้องเล่นดนตรีกันเรื่อยเปื่อยค่ะ บรรยากาศธรรมชาติมาก
.
...ดูเหมือนเรื่องดำเนินไปได้ด้วยดีใช่มั้ยคะ แต่
แต่ แต่ แต่....เหมือนเช่นเคยค่ะ ถ้าไม่ตื่นเต้น คงไม่ใช่ออมสิน 5555
จากครั้งก่อนที่รอดทางเขาหฤโหดโครตมันส์มาได้ ก็กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ว่า “ข้านี่ล่ะ ผู้พิชิตขุนเขา” 55
ป่าวค่ะคิดเหมือนเดิมล่ะค่ะ คือคิดว่าตัวเอง “โชคดี” คงไม่มีอะไร ก็เลยชวนคุณแฟนเอาจักรยานมาปั่นตั้งแต่ในอุทยานโลด
แต่คุณแฟนต้องขับรถค่ะ ก็เลยส่งเพื่อนมาปั่นกับเราแทน ด้วยความเพลิดเพลินกับธรรมชาติไปหน่อย เลยลืมหมวกกันน็อคไว้ในรถตู้ ไม่ได้เอามาใส่ค่ะ
เรากับเพื่อนแฟนเลยออกตัวก่อน ทิ้งแก็งชายรถตู้ไว้ด้านหลัง ที่เหมือนจะมีปัญหากับเนินเขา ที่สูงปั่นจนปวดขา
พอถึงครึ่งทาง ก็สเตปเดิม ชันมาก ก็ลงมาเข็น
เราปั่นกันมาพักนึง รถตู้ก็ไม่มาซักที ตอนนี้ฉันเริ่มคิดถึงหมวกกันน็อคแล้ว และอีกอย่าง คือ ฉันเริ่มรู้สึก
....กลัว เพราะมีหลายจังหวะมาก ที่หินลื่นๆพาจักรยานให้มุ่งออกไปทางริมเขา เกือบตกเขา เกือบล้ม และรู้สึก
ล้อปัดไปมาไม่เกาะพื้นเอาซะเลย อาจเป็นเพราะไม่ใช่จักรยานสำหรับปั่นทางเขา ดอกยางจึงไม่มีมากเหมือนจักรยานของพ่อ
แวะพักนิดหน่อยระหว่างทาง
เราปั่นกันจนมาถึงจุดชมวิว ซึ่งฉันจำได้ว่า อีกไม่ไกลจะหลุดออกจากเขตอุทยานแล้ว จึงหยุดพูดคุย นั่งพักกัน และบอกให้รอรถตู้ของชาวแก็งออกมาก่อน เพราะฉันอยากได้หมวกกันน็อค (ปั่นมาตั้งนานแล้วเนี่ยนะ)
จุดชมวิว
จุดชมวิวอีกจุดมุม
พักใหญ่ เสียงเครื่องยนต์ที่คุ้นเคยก็ใกล้เข้ามา ฉันร้องเรียกให้รถหยุด ก่อนจะขอหมวกกันน็อคใส่ ฉันถามเพื่อนแฟนว่าไม่ใส่หมวกหรอ เค้าไม่ใส่ ฉันจึงเอาหมวกกันน็อค แบบพวกเล่นกีฬา BMX มาใส่ พี่ๆในรถบอกไม่เอาหมวกอีกแบบหรอดูเข้ากันกว่า (เป็นหมวกใส่ไว้สวยๆ สไตล์วินเทจ ซึ่งปกติฉันใส่ใบนี้)
“เอาใบนี้ดีกว่า เซฟกว่า” ฉันตอบกลับไป โดยที่ไม่ได้คิดอะไร
เพื่อนแฟนปั่นนำไปก่อนด้วยท่าทางทะเล้น ฉันก็ปั่นตามไป และปล่อยให้แก็งรถตู้ตามหลัง ฉันปั่นตรงไปประมาณ 500 เมตร ก็ถึงทางเลี้ยวขวา
..........พอเลี้ยวขวาเท่านั้นล่ะ ถึงกับผงะ ตอนนั้นนึกในใจ “ชิบหาไม่เจอแล้ว” ทางข้างหน้าชันลงระดับแค่เดินยังคิดว่าไม่ไหว ฉันเห็นเพื่อนแฟนพยายามชะลอจักรยานและเอาขายันๆไว้ด้วย ตอนแรกฉันปั่นทางด้านซ้ายเพราะเป็นเส้นถนนที่เรียบกว่า แต่ด้วยความที่ทางชันมาก จักรยานพุ่งลงอย่างรวดเร็ว และจักรยานที่เพื่อนแฟนปั่น คือเจ้ายีราฟล้อเล็ก จักรยานฉันที่ล้อใหญ่จึงรวดเร็วกว่า ถ้าฉันปั่นทางซ้ายต้องชนกันแน่ เลยต้องตัดสินใจเลี้ยวออกไปทางฝั่งขวาที่มองดูแล้วเต็มไปด้วยหินและทางหลุม วินาทีนั้น ตั้งสติสุดๆ มองออกไปไกลๆ เมื่อแซงเพื่อนแฟนมาแล้วก็ลังเลที่จะปั่นกลับทางซ้ายที่เดิม เพราะกังวลว่าจะชนกับจักรยานของเพื่อนแฟนที่อยู่ด้านหลัง อีกทั้งจักรยานควบคุมยากถึงมากที่สุด
จักรยานพุ่งเร็วมาก เร็วยิ่งกว่าตอนปั่นลงทางเขาที่เพชรบูรณ์ ตอนปั่นที่เพชรบูรณ์ดูที่ไมล์จักรยานตอนนั้นมากกว่า 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) นี่แสดงว่าฉันลงมาเร็วมากๆ แต่ก็ไม่กำเบรคแน่น ดึงเบรคเข้ามานิดเดียวเท่านั้นหวังว่ามันจะชะลอ (เพราะในใจคิดว่าถ้าเบรค คงกลิ้งแน่นอน)
“น้องออมช้าๆ ระวัง !!!” เสียงเพื่อนแฟนตะโกนมาด้วยความตระหนกตกใจ
ทางข้างหน้านั้น เห็นหลุมและหินมากมาย ฉันควบคุมให้จักรยานหลบไม่ได้....
..
.... ลืมตาอีกทีคือหน้าตัวเองแนบกับพื้นหิน ชาไปทั้งตัว ได้ยินเสียงความวุ่นวายข้างหลัง ฉันใช้แขนยันตัวเองขึ้นมา รู้สึกไม่เป็นอะไรมาก แต่ใจยังเต้น ตึกตั้ก อย่างแรง และรู้สึกมีน้ำในปากเยอะมาก จึงบ้วนออกมา
ปรากฏว่าเป็น ...เลือด...
แฟนฉันและผองเพื่อนมารายล้อมรอบตัวฉันไปหมด จับหัวบอกให้อ้าปากเช็คฟัน เอาผ้ามาเช็ด ฉันยังรู้สึกน้ำในปากอยู่เยอะ จึงบ้วนมาอีก ก็ยังเป็นเลือดๆๆๆ และยังมีเลือดเปรอะเต็มเสื้อไปหมด
ทุกคนพาฉันขึ้นรถตู้ ถามอาการ ฉันได้แต่บอกไม่เป็นไรๆ หัวเราะเล็กน้อย เพราะยังมีอารมณ์สนุกระหว่างที่ลงทางเขาอยู่
ทางที่ล้มค่ะ อีกนิดจะพ้นทางวิบากแล้วเชียว..
เดอะแก็งดูเป็นห่วง (หรือมาถ่ายรูปกันแน่ - -*)
ยังไหว ๆค่ะ แต่ตานี่เหลือบมองมะขามด้วยความเป็นห่วง
ดูโรคจิตนิดหน่อย แต่ช่วงที่ลงเขาก่อนจะล้ม ฉันสนุกสุดๆ และบอกกับตัวเองในใจว่า ต้องไม่ล้ม ต้องรอด ต้องทำได้ แต่ก็มาเสียท่าในความเป็นมือใหม่ของตัวเองนั่นแร่ะ (คิดว่างั้น) 555
ระหว่างที่พวกเราขนจักรยานขึ้นบนรถ ฉันหันกลับไปมองดูมะขาม รู้สึกผิด เสียใจกับมะขามจัง พาเค้ามาเจ็บ (คือเป็นห่วงจักรยานมาก มากกว่าตัวเองอีกเพราะคิดว่าไม่เป็นไร)
คุณแฟนขับรถด้วยความร้อนรน จนเพื่อนๆเค้าบอกให้ใจเย็น เค้าหันมาทำเสียงเศร้า บอกขอโทษตลอดเวลา
“พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ห้ามหนูเลย”
“ขอโทษทำไม ถึงพี่ห้าม หนูก็จะรั้นปั่นอยู่ดีและ 55” ฉันตอบพร้อมกับบอกให้เค้าใจเย็น
เราอยู่บนรถตู้เป็นชั่วโมง เพราะว่าอนามัย สถานพยาบาลปิดหมด เดาว่าเพราะเป็นวันหยุด จึงต้องไปถึงโรงพยาบาลปากท่อ เลือดในปากฉันก็ยังไม่หยุดไหล ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะกระแทกแรงฟันเลยมีเลือดซึมออกมาเยอะ
เมื่อถึงโรงพยาบาลทุกคนจัดแจงให้ฉันนั่งรถเข็น พาไปที่ห้องฉุกเฉิน พยาบาลบอกให้ฉันนอนบนเตียง ก่อนจะเดินมาถามอาการ
พยาบาล : “ไปทำอะไรมาคะ”
ออมสิน : “ปั่นจักรยานค่ะ ปั่นจักรยานตกเขา 555”
พยาบาล : “ปั่นจักรยาน...ไหนขอดูแผลหน่อยค่ะ อืม แผลที่ปากน่าจะเย็บนะคะ”
ออมสิน : “ต้องเย็บด้วยหรอคะ”
พยาบาล: “ค่ะ” พร้อมกับมาง้างปากเราด้วยมือใส่ถุงมือยางสีขาว “เย็บค่ะ แผลในปากกว้าง 1 เซน ลึกประมาณ 1 เซน”
...
.....
........ สรุปคือเย็บด้วยหรอ ตอนนั้นหัวเราะไม่ค่อยออกเท่าไหร่ รุ้สึกอากาศเย็นกว่าปกติ555 ซักพักพยาบาลคนเดิมก็เดินเอาที่วัดความดันมาวัด
ก่อนเอาผ้ามาปิดหน้าเหลือช่องสี่เหลี่ยมไว้ให้แค่หายใจ
“เจ็บนิดนึงนะคะ” จึ้ก พร้อมกับฉีดยามาที่ในปากเรา ซักพักก่อนจะทารุณกรรมปากเรา เดาว่าคงกำลังเย็บ
“ด้านใน 3 เข็มนะคะ” เธอพูดก่อนจะเอาเข็มมาปักด้านนอกปาก
ออมสิน : “อ้างนอกอ้วยหรออ้ะ” (ข้างนอกด้วยหรอคะ)
พยาบาล : “ค่ะ ข้างนอกก็แผลลึก น่าจะประมาณ 2 เข็ม”
ก็ปล่อยให้เจ๊แกกระซวกปากเราซักพัก แกก็มาทำแผลที่ตามเนื้อตัวเรา ตอนนี้เจ็บยิ่งกว่าเย็บอีก บิดตัวไปมา ร้องโอดครวญ หัวเราะทั้งน้ำตา
เสร็จกระบวนการทำแผล ชำระเงิน ฉันเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับคุณแฟนที่ดูจะกังวลไม่เลิก แก็งสเตอร์ยิ้มต้อนรับพร้อมกับจับมือ พอมองๆดูจากภายนอกแล้ว ฉันเหมือนโดนรุมกระทืบมาก็มิปราญ
เส้นเลือดตาแตกนิดหน่อย ปากเลือดซิบๆ ดูเป็นกุลสตรีจัง - -
จบทริปพร้อมกับการแลกเลือดสาบานค่ะ อิฉันน้อมรับผิดทุกสิ่งอย่าง เหนือกว่าความเจ็บปวดคือเห็นจักรยานสุดรัก บาดเจ็บ แต่ก็พามะขามไปหาหมอเรียบร้อยแล้วค่ะ ร้านพี่เจี๊ยบ ดาวล์ฮิลรุ่นเก๋า สภาพมะขามคือไม่เป็นอะไรมาก
มีกระจกตรงเลขเกียร์แตก และปลายแฮนฉีก ส่วนอื่นๆ หลวมก็ไปเซ็ตเรียบร้อย พร้อมลุยต่อไป
ร้านพี่เจี๊ยบ รามคำแหง 154
จขกท. เขียนเรื่องราวมาแชร์ อยากให้ทุกคนเก็บไว้เป็นอุทาหรณ์ว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกนาที อย่าชะล่าใจไป แต่ก็ยังคิดที่โชคดีจริงๆ ที่เอาหมวกกันน็อคมาใส่ก่อนลงทางเขาสุดท้ายที่จะล้ม เพราะหมวกกันน็อคเป็นรอยหินขูดลึก แล้วก็เป็นรูเลย ก็คิดว่าถ้าไม่ใส่หมวกกันน็อค อาจจะไม่ได้มานั่งเล่าเรื่องสบายอารมณ์เช่นนี้ ไว้คราวหน้ามีทริปสนุกๆเราจะมาแชร์ให้ฟังนะคะ (หวังว่าจะไม่เลือดตกยางออกอีกนะ 555)
ขอบคุณค้าา
แถมๆ ระหว่างรอมะขามรักษา พี่เจี๊ยบให้ลองเอาจักรยานแกไปปั่น ปั่นสนุกสุดพลัง โช๊คลมจับทุกหลุมสะกดทุกมุมมอง
(ขอประทานอภัยอีกครั้งที่แต่งกายไม่สุภาพ เพราะกะเอาจักรยานไปซ่อมอย่างเดียว)
เอ... ชักเริ่มชอบสายลุยแล้วสิ่ 55555 บ้ายบายคร่าาา
โชคดี ไม่ได้มีทุกตอน : ประสบการณ์นำจักรยานทัวริ่งไปปั่นทางเขา อุทาหรณ์ที่อาจแลกด้วยชีวิต
แต่วันนี้ออมจะมารีวิวทริปสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความทรงจำที่ฝากรอยแผลไว้จนถึง ณ ตอนนี้ (ยังไม่หายเลย555)
ก่อนจะเล่า ก็ขอบอกทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ ว่าเรื่องนี้เกิดจากความโง่เขลา ห้าว และไร้ซึ่งความระมัดระวังของออมเอง ใครใครด่า ด่าได้ ใครใครเตือน เตือนได้ ใครใคร่อยากจะกระทืบ ขอร้องอย่าเพิ่งตอนนี้นะคะ เพราะยังระบมอยุ่เลย (น่าสมน้ำหน้าจริงๆ) 555 เอาละค่ะ ลองอ่านแล้วติติงตามชอบได้เลยคร่า-----
ช่วงวันหยุดยาว เข้าพรรษา เลยกะว่าจะพามะขามไปปั่นเล่นนอกเมืองซักกะหน่อย ความจริงแล้วออมก็กะจะปั่นไปเลย แต่ด้วยความที่เป็นช่วงมรสุมเข้า ประกอบกับคุณแฟนแสนจะเป็นห่วง (แน่เรอะ) ก็เลยยกมะขามกับยีราฟขึ้นแพนด้า (รถตู้)ออกนอกเมืองกันเล้ยย (ขอกราบประทานอภัยกับทุกท่านที่คิดว่า เห้ยสิงสาราสัตว์เยอะแยะแท้วะ เดี๊ยวยีราฟ เดี๋ยวแพนด้า คือว่าออมกับแฟนมักจะตั้งชื่อรถน่ะค่ะ เราคิดตรงกันว่าพวกเค้าไม่ใช่สิ่งของไร้ชีวิตจิตใจ เรารักพวกเค้า ต้องดูแลกัน เป็นเพื่อนกัน.... )
เราออกเดินทางยามค่ำของวันศุกร์ค่ะ ถนนหนทางมืดสนิท ยิ่งออกนอกเมืองเท่าไรแสงของดวงไฟก็น้อยลงตาม แต่สัมผัสได้ถึงความเย็นของต้นไม้และธรรมชาติ ตลอด 2 ข้างทาง
ทางน่าปั่นมากๆ
12-07-57 : เช้านี้ที่นอกเมือง
แก็งสเตอร์ร่วมทริปต่างตื่นเช้า หากิจกรรมทำ อาทิ ชมนก ชมไม้ ดูปลา ตามประสาคนเมืองที่นานๆจะได้อยู่กับธรรมชาติซักที รอเวลาสายๆ ก็เตรียมตัวไปกินข้าวกัน โดยที่เอาจักรยานไปด้วย โดยเรากะว่ากินข้าวเสร็จเราจะไปเที่ยวอุทยานไทยประจันกันแล้วขากลับออกมาจะปั่นจักรยานกลับกัน
ระยะทางไม่ไกลมากค่ะ แต่พอเข้าไปในอุทยานแล้วนั้น .... หวนระลึกถึงทางเข้างานดนตรีที่เพชรบูรณ์ในบัดดล หินภูเขาน้อยใหญ่เต็มไหล่ทางไปหมด คุณแฟนเราก็บ้าระห่ำเช่นกันค่ะ พารถตู้เล็กโตโยต้าไลฟ์เอส ล้อเล็กบดเข้าไปจนถึงด้านในจนได้ (คุณแฟนและผองเพื่อนเคยมาเป็นประจำครั้งเป็นวัยสะรุ่นกัน)
มีบวชป่าด้วยค่ะ
ป่าเขาลำเนาไพร เอิงเงย
จขกท.ดูกลมกลืนกับป่ามั้ยคะ55
มะขามพร้อม !!!
เราก็ร้องเล่นดนตรีกันเรื่อยเปื่อยค่ะ บรรยากาศธรรมชาติมาก
.
...ดูเหมือนเรื่องดำเนินไปได้ด้วยดีใช่มั้ยคะ แต่
แต่ แต่ แต่....เหมือนเช่นเคยค่ะ ถ้าไม่ตื่นเต้น คงไม่ใช่ออมสิน 5555
จากครั้งก่อนที่รอดทางเขาหฤโหดโครตมันส์มาได้ ก็กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ว่า “ข้านี่ล่ะ ผู้พิชิตขุนเขา” 55
ป่าวค่ะคิดเหมือนเดิมล่ะค่ะ คือคิดว่าตัวเอง “โชคดี” คงไม่มีอะไร ก็เลยชวนคุณแฟนเอาจักรยานมาปั่นตั้งแต่ในอุทยานโลด
แต่คุณแฟนต้องขับรถค่ะ ก็เลยส่งเพื่อนมาปั่นกับเราแทน ด้วยความเพลิดเพลินกับธรรมชาติไปหน่อย เลยลืมหมวกกันน็อคไว้ในรถตู้ ไม่ได้เอามาใส่ค่ะ
เรากับเพื่อนแฟนเลยออกตัวก่อน ทิ้งแก็งชายรถตู้ไว้ด้านหลัง ที่เหมือนจะมีปัญหากับเนินเขา ที่สูงปั่นจนปวดขา
พอถึงครึ่งทาง ก็สเตปเดิม ชันมาก ก็ลงมาเข็น
เราปั่นกันมาพักนึง รถตู้ก็ไม่มาซักที ตอนนี้ฉันเริ่มคิดถึงหมวกกันน็อคแล้ว และอีกอย่าง คือ ฉันเริ่มรู้สึก
....กลัว เพราะมีหลายจังหวะมาก ที่หินลื่นๆพาจักรยานให้มุ่งออกไปทางริมเขา เกือบตกเขา เกือบล้ม และรู้สึก
ล้อปัดไปมาไม่เกาะพื้นเอาซะเลย อาจเป็นเพราะไม่ใช่จักรยานสำหรับปั่นทางเขา ดอกยางจึงไม่มีมากเหมือนจักรยานของพ่อ
แวะพักนิดหน่อยระหว่างทาง
เราปั่นกันจนมาถึงจุดชมวิว ซึ่งฉันจำได้ว่า อีกไม่ไกลจะหลุดออกจากเขตอุทยานแล้ว จึงหยุดพูดคุย นั่งพักกัน และบอกให้รอรถตู้ของชาวแก็งออกมาก่อน เพราะฉันอยากได้หมวกกันน็อค (ปั่นมาตั้งนานแล้วเนี่ยนะ)
จุดชมวิว
จุดชมวิวอีกจุดมุม
พักใหญ่ เสียงเครื่องยนต์ที่คุ้นเคยก็ใกล้เข้ามา ฉันร้องเรียกให้รถหยุด ก่อนจะขอหมวกกันน็อคใส่ ฉันถามเพื่อนแฟนว่าไม่ใส่หมวกหรอ เค้าไม่ใส่ ฉันจึงเอาหมวกกันน็อค แบบพวกเล่นกีฬา BMX มาใส่ พี่ๆในรถบอกไม่เอาหมวกอีกแบบหรอดูเข้ากันกว่า (เป็นหมวกใส่ไว้สวยๆ สไตล์วินเทจ ซึ่งปกติฉันใส่ใบนี้)
“เอาใบนี้ดีกว่า เซฟกว่า” ฉันตอบกลับไป โดยที่ไม่ได้คิดอะไร
เพื่อนแฟนปั่นนำไปก่อนด้วยท่าทางทะเล้น ฉันก็ปั่นตามไป และปล่อยให้แก็งรถตู้ตามหลัง ฉันปั่นตรงไปประมาณ 500 เมตร ก็ถึงทางเลี้ยวขวา
..........พอเลี้ยวขวาเท่านั้นล่ะ ถึงกับผงะ ตอนนั้นนึกในใจ “ชิบหาไม่เจอแล้ว” ทางข้างหน้าชันลงระดับแค่เดินยังคิดว่าไม่ไหว ฉันเห็นเพื่อนแฟนพยายามชะลอจักรยานและเอาขายันๆไว้ด้วย ตอนแรกฉันปั่นทางด้านซ้ายเพราะเป็นเส้นถนนที่เรียบกว่า แต่ด้วยความที่ทางชันมาก จักรยานพุ่งลงอย่างรวดเร็ว และจักรยานที่เพื่อนแฟนปั่น คือเจ้ายีราฟล้อเล็ก จักรยานฉันที่ล้อใหญ่จึงรวดเร็วกว่า ถ้าฉันปั่นทางซ้ายต้องชนกันแน่ เลยต้องตัดสินใจเลี้ยวออกไปทางฝั่งขวาที่มองดูแล้วเต็มไปด้วยหินและทางหลุม วินาทีนั้น ตั้งสติสุดๆ มองออกไปไกลๆ เมื่อแซงเพื่อนแฟนมาแล้วก็ลังเลที่จะปั่นกลับทางซ้ายที่เดิม เพราะกังวลว่าจะชนกับจักรยานของเพื่อนแฟนที่อยู่ด้านหลัง อีกทั้งจักรยานควบคุมยากถึงมากที่สุด
จักรยานพุ่งเร็วมาก เร็วยิ่งกว่าตอนปั่นลงทางเขาที่เพชรบูรณ์ ตอนปั่นที่เพชรบูรณ์ดูที่ไมล์จักรยานตอนนั้นมากกว่า 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) นี่แสดงว่าฉันลงมาเร็วมากๆ แต่ก็ไม่กำเบรคแน่น ดึงเบรคเข้ามานิดเดียวเท่านั้นหวังว่ามันจะชะลอ (เพราะในใจคิดว่าถ้าเบรค คงกลิ้งแน่นอน)
“น้องออมช้าๆ ระวัง !!!” เสียงเพื่อนแฟนตะโกนมาด้วยความตระหนกตกใจ
ทางข้างหน้านั้น เห็นหลุมและหินมากมาย ฉันควบคุมให้จักรยานหลบไม่ได้....
..
.... ลืมตาอีกทีคือหน้าตัวเองแนบกับพื้นหิน ชาไปทั้งตัว ได้ยินเสียงความวุ่นวายข้างหลัง ฉันใช้แขนยันตัวเองขึ้นมา รู้สึกไม่เป็นอะไรมาก แต่ใจยังเต้น ตึกตั้ก อย่างแรง และรู้สึกมีน้ำในปากเยอะมาก จึงบ้วนออกมา
ปรากฏว่าเป็น ...เลือด...
แฟนฉันและผองเพื่อนมารายล้อมรอบตัวฉันไปหมด จับหัวบอกให้อ้าปากเช็คฟัน เอาผ้ามาเช็ด ฉันยังรู้สึกน้ำในปากอยู่เยอะ จึงบ้วนมาอีก ก็ยังเป็นเลือดๆๆๆ และยังมีเลือดเปรอะเต็มเสื้อไปหมด
ทุกคนพาฉันขึ้นรถตู้ ถามอาการ ฉันได้แต่บอกไม่เป็นไรๆ หัวเราะเล็กน้อย เพราะยังมีอารมณ์สนุกระหว่างที่ลงทางเขาอยู่
ทางที่ล้มค่ะ อีกนิดจะพ้นทางวิบากแล้วเชียว..
เดอะแก็งดูเป็นห่วง (หรือมาถ่ายรูปกันแน่ - -*)
ยังไหว ๆค่ะ แต่ตานี่เหลือบมองมะขามด้วยความเป็นห่วง
ดูโรคจิตนิดหน่อย แต่ช่วงที่ลงเขาก่อนจะล้ม ฉันสนุกสุดๆ และบอกกับตัวเองในใจว่า ต้องไม่ล้ม ต้องรอด ต้องทำได้ แต่ก็มาเสียท่าในความเป็นมือใหม่ของตัวเองนั่นแร่ะ (คิดว่างั้น) 555
ระหว่างที่พวกเราขนจักรยานขึ้นบนรถ ฉันหันกลับไปมองดูมะขาม รู้สึกผิด เสียใจกับมะขามจัง พาเค้ามาเจ็บ (คือเป็นห่วงจักรยานมาก มากกว่าตัวเองอีกเพราะคิดว่าไม่เป็นไร)
คุณแฟนขับรถด้วยความร้อนรน จนเพื่อนๆเค้าบอกให้ใจเย็น เค้าหันมาทำเสียงเศร้า บอกขอโทษตลอดเวลา
“พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ห้ามหนูเลย”
“ขอโทษทำไม ถึงพี่ห้าม หนูก็จะรั้นปั่นอยู่ดีและ 55” ฉันตอบพร้อมกับบอกให้เค้าใจเย็น
เราอยู่บนรถตู้เป็นชั่วโมง เพราะว่าอนามัย สถานพยาบาลปิดหมด เดาว่าเพราะเป็นวันหยุด จึงต้องไปถึงโรงพยาบาลปากท่อ เลือดในปากฉันก็ยังไม่หยุดไหล ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะกระแทกแรงฟันเลยมีเลือดซึมออกมาเยอะ
เมื่อถึงโรงพยาบาลทุกคนจัดแจงให้ฉันนั่งรถเข็น พาไปที่ห้องฉุกเฉิน พยาบาลบอกให้ฉันนอนบนเตียง ก่อนจะเดินมาถามอาการ
พยาบาล : “ไปทำอะไรมาคะ”
ออมสิน : “ปั่นจักรยานค่ะ ปั่นจักรยานตกเขา 555”
พยาบาล : “ปั่นจักรยาน...ไหนขอดูแผลหน่อยค่ะ อืม แผลที่ปากน่าจะเย็บนะคะ”
ออมสิน : “ต้องเย็บด้วยหรอคะ”
พยาบาล: “ค่ะ” พร้อมกับมาง้างปากเราด้วยมือใส่ถุงมือยางสีขาว “เย็บค่ะ แผลในปากกว้าง 1 เซน ลึกประมาณ 1 เซน”
...
.....
........ สรุปคือเย็บด้วยหรอ ตอนนั้นหัวเราะไม่ค่อยออกเท่าไหร่ รุ้สึกอากาศเย็นกว่าปกติ555 ซักพักพยาบาลคนเดิมก็เดินเอาที่วัดความดันมาวัด
ก่อนเอาผ้ามาปิดหน้าเหลือช่องสี่เหลี่ยมไว้ให้แค่หายใจ
“เจ็บนิดนึงนะคะ” จึ้ก พร้อมกับฉีดยามาที่ในปากเรา ซักพักก่อนจะทารุณกรรมปากเรา เดาว่าคงกำลังเย็บ
“ด้านใน 3 เข็มนะคะ” เธอพูดก่อนจะเอาเข็มมาปักด้านนอกปาก
ออมสิน : “อ้างนอกอ้วยหรออ้ะ” (ข้างนอกด้วยหรอคะ)
พยาบาล : “ค่ะ ข้างนอกก็แผลลึก น่าจะประมาณ 2 เข็ม”
ก็ปล่อยให้เจ๊แกกระซวกปากเราซักพัก แกก็มาทำแผลที่ตามเนื้อตัวเรา ตอนนี้เจ็บยิ่งกว่าเย็บอีก บิดตัวไปมา ร้องโอดครวญ หัวเราะทั้งน้ำตา
เสร็จกระบวนการทำแผล ชำระเงิน ฉันเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับคุณแฟนที่ดูจะกังวลไม่เลิก แก็งสเตอร์ยิ้มต้อนรับพร้อมกับจับมือ พอมองๆดูจากภายนอกแล้ว ฉันเหมือนโดนรุมกระทืบมาก็มิปราญ
เส้นเลือดตาแตกนิดหน่อย ปากเลือดซิบๆ ดูเป็นกุลสตรีจัง - -
จบทริปพร้อมกับการแลกเลือดสาบานค่ะ อิฉันน้อมรับผิดทุกสิ่งอย่าง เหนือกว่าความเจ็บปวดคือเห็นจักรยานสุดรัก บาดเจ็บ แต่ก็พามะขามไปหาหมอเรียบร้อยแล้วค่ะ ร้านพี่เจี๊ยบ ดาวล์ฮิลรุ่นเก๋า สภาพมะขามคือไม่เป็นอะไรมาก มีกระจกตรงเลขเกียร์แตก และปลายแฮนฉีก ส่วนอื่นๆ หลวมก็ไปเซ็ตเรียบร้อย พร้อมลุยต่อไป
ร้านพี่เจี๊ยบ รามคำแหง 154
จขกท. เขียนเรื่องราวมาแชร์ อยากให้ทุกคนเก็บไว้เป็นอุทาหรณ์ว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกนาที อย่าชะล่าใจไป แต่ก็ยังคิดที่โชคดีจริงๆ ที่เอาหมวกกันน็อคมาใส่ก่อนลงทางเขาสุดท้ายที่จะล้ม เพราะหมวกกันน็อคเป็นรอยหินขูดลึก แล้วก็เป็นรูเลย ก็คิดว่าถ้าไม่ใส่หมวกกันน็อค อาจจะไม่ได้มานั่งเล่าเรื่องสบายอารมณ์เช่นนี้ ไว้คราวหน้ามีทริปสนุกๆเราจะมาแชร์ให้ฟังนะคะ (หวังว่าจะไม่เลือดตกยางออกอีกนะ 555)
ขอบคุณค้าา
แถมๆ ระหว่างรอมะขามรักษา พี่เจี๊ยบให้ลองเอาจักรยานแกไปปั่น ปั่นสนุกสุดพลัง โช๊คลมจับทุกหลุมสะกดทุกมุมมอง
(ขอประทานอภัยอีกครั้งที่แต่งกายไม่สุภาพ เพราะกะเอาจักรยานไปซ่อมอย่างเดียว)
เอ... ชักเริ่มชอบสายลุยแล้วสิ่ 55555 บ้ายบายคร่าาา