สวัสดีค่ะ กระทู้นี้ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะพูดเกี่ยวกับประเด็นที่กำลังโต้เถียงกันขณะนี้ว่า ควรกำหนดโทษประหารแก่จำเลยคดีข่มขืนกระทำชำเราหรือเปล่านะคะ แต่เรามีจุดประสงค์ที่จะมาแชร์ความคิดเห็นกับเพื่อนๆ ในอีกมุมมองอีกด้านนึงของเรื่องนี้ .....
เรื่องมีอยู่ว่าช่วงนี้เราเห็นหลายท่านออกมารณรงค์ให้ประหารชีวิตผู้ต้องหาคดีข่มขืน ส่วนใหญ่เหตุผลที่ให้จะบอกว่า คนที่โดนข่มขืนนั้นเหมือนตายทั้งเป็น เป็นตราบาป ทำลายชีวิตของผู้หญิงคนนึงทั้งชีวิต ฯลฯ แต่ก่อนดิฉันก็เป็นคนนึงที่มีความคิดอย่างนี้ จนกระทั่งวันนึงความคิดดิฉันก็เปลี่ยนไป....
วันนึงดิฉันได้ทราบข่าวผู้หญิงต่างชาติคนนึงที่โดนข่มขืนที่เมืองไทย ตอนทราบข่าวดิฉันก็อับอายในฐานะที่เป็นคนไทย และเสียใจแทนเธอ คิดว่าเธอต้องรู้สึกแย่มากๆ แน่ๆ คิดว่าเูธอจะอยู่ยังไง จะรังเกียจคนไทยไหม แต่จากบทสัมเภาษณ์และสีหน้าของเธอทำให้ดิฉันค้นพบว่าเธอไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องดังกล่าวจะมาทำลายชีวิตเธอได้ เธอมองแค่ว่าเสียแล้วก็เสียไป เธอไม่สามารถย้อนเวลาให้มันกลับมาได้ แต่ก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก และเธอก็สามารถกลับไปดำรงชีวิตของเธอได้อย่างมีความสุขกับครอบครัว ไปอยู่ในสังคมของเธอได้อย่างปกติ ไม่มีใครมองว่าเธอเป็นสิ่งประหลาดในสังคม เพราะเธอไม่ได้เป็นคนทำผิด
ตอนที่ดิฉันได้ยินเรื่องราวของเธอ ดิฉันเกิดคำถามในใจว่า ทำไมเธอเข้มแข็งจัง ทำไมเธอยังยิ้มได้ และดิฉันก็มองเห็นมุมมองของเรื่องนี้อีกด้านนึง ดิฉันพบว่าในต่างประเทศยิ่งเฉพาะในโซนยุปโรป อเมริกานั้น ก็มีคดีข่มขืนเหมือนกับประเทศไทย แต่สิ่งที่แตกต่างกันคืออะไร??? สิ่งที่แตกต่างกันคือการปฎิบัติต่อเหยื่อที่ถูกข่มขืนไงคะ ในต่างประเทศนั้น อาจเป็นเเพราะสภาพสังคม วัฒนธรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ เค้าไม่ได้มองว่าคนที่ถูกข่มขืนเป็นผู้กระทำผิด คนที่ถูกข่มขืนเป็นเหยื่อ เค้าไม่มีการมาซุบซิบนินทากันว่า เธอๆ คนนั้นไงที่เป็นข่าว คนนั้นไงที่ถูกข่มขืน..... เค้าปฏิบัติกับเหยื่อเหมือนปกติ ไมไ่ด้ทำให้เหยื่อซึ่งเป็นผูุ้ถูกกระทำ กลายเป็นผู้กระทำความผิดไปเสียเอง
อย่างข่าวนักศึกษาปริญญาโทที่ถูกข่มขืนบนรถไฟไทย เธอบอกว่าหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว เธออยู่ในสังคมไม่ได้ เธอถูกบีบให้ออกจากงาน เธอต้องอยู่อย่างอับอาย จนสุดท้ายเธอจึงต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ พอดิฉันอ่านข่าวนี้ ดิฉันคิดในใจว่า เฮ้ยยยย มันใช่หรอ?? สังคมไทยทำถูกแล้วหรอ ใช่ การที่เค้าโดนข่มขืน ไอ้คนที่มันข่มขืนเค้ามันทำผิด ตรงนี้ไม่ต้องมาเถียงกัน แต่คนที่ทำร้ายเหยื่อต่อมาเรื่อยๆ คือใคร? มันไม่ใช่พวกเราทุกคนที่อยู่ในสังคมหรอ การที่เรานินทา พูดกันปากต่อปาก หรือแม้กระทั่งการที่เราปฏิบัติต่อเหยื่อประหนึ่งเค้าเป็นสิ่งแปลกปลอม มันเพราะอะไร หรือเป็นเพราะทัศนคติจอมปลอมที่เราสร้างขึ้นในสังคมว่า ผู้หญิงทุกคนก่อนแต่งงานต้องเป็นสาวบริสุทธิ์ ซึ่งในความเป็นจริงดิฉันอยากจะถามว่าใครยังบริสุทธิ์ก่อนแต่งงานบ้าง คงนับจำนวนกันได้เลยทีเดียว แต่เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่สองคน หรือไม่กี่คน มันเลยไม่เป็นประเด็น แต่กับเหยื่อคดีข่มขืน มันเป็นสิ่งที่ขัดกับทัศนคติของเรา เราจึงมองว่าเค้ามีตราบาป มีมลทิน ?? (ดิฉันสาบานว่าเห็นคำนี้มาจากรุ่นพี่ที่รณรงค์เรื่องนี้จริงๆ) แต่ดิฉันอยากตั้งคำถามกับสังคมว่า
มันขนาดนั้นเลยหรอ คนโดนข่มขืนเค้าไม่ได้ไปปล้น ไปฆ่า ไปลักขโมยของใคร ทำไมเค้าต้องมีตราบาป ทำไมเค้าต้องมีมลทิน???? ทำไมสังคมไม่มองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา (ดิฉันไม่ได้หมายถึงว่าการกระทำความผิดเป็นเรื่องธรรมดา โปรดอย่าดราม่า) สมมุติมีคนโดยขโมยของ หรือแม้กระทั่งโดนทำร้ายร่างกาย คุณจะพูดไหมว่า คนๆนั้น มีตราบาป มีมลทิน
คุณรู้ไหมในบางประเทศที่เรามองว่าเค้าล้าหลังมาก บางประเทศผู้หญิงที่โดนข่มขืน หากเป็นหญิงที่แต่งงานแล้วจะถูกลงโทษ (คนกระทำความผิดก็โดนเช่นกัน) ที่เป็นเช่นนี้เพราะเค้าเคร่งว่าผู้หญิงต้องซื่อสัตย์กับสามีเพียงคนเดียว หรือบางประเทศเหยื่อโดนลงโทษเสียเองฐานมีเพศสัมพันธ์โดยยังไม่ได้แต่งงาน คุณมองเรื่องพวกนี้คุณอาจมองว่าประเทศเหล่านั้น ตลก ทำไมต้องมาลงโทษเหยื่อ บ้าไปแล้ว แต่ดิฉันคิดว่า ประเทศเราก็ไม่ต่างกัน แม้เราจะไม่ลงโทษเหยื่อตามกฎหมาย แต่เราลงโทษเหยื่อทางสังคม ถ้าคุณไปพูดกับเพื่อนต่างชาติในประเทศที่มีความเป็นเสรีมากๆ หรือประเทศที่มีความก้าวหน้ามาก ว่าผู้หญิงคนนึงโดนข่มขืน และฆ่าตัวตายเพราะอับอายอยู่ในสังคมไม่ได้ เชื่อเลยว่าเค้าก็คงจะคิดเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องฆ่าตัวตาย ทำไมถึงอับอาย ทำไมถึงต้องอยู่ในสังคมไม่ได้
ที่ดิฉันต้องการจะสื่อทั้งหมดคือ คุณจะรณรงค์ให้คนกระทำความผิดโดนประหารหรือโดนอะไรมันก็แล้วแต่ทัศนคติของแต่ละคน แต่ดิฉันอยากให้เรารณรงค์อีกเรื่องคือ รณรงค์ว่า "เหยื่อคดีข่มขืน ไม่ใช่ผู้กระทำความผิด" รณรงค์ให้สังคมเลิกมองว่าเค้ามีมลทิน หรือมีตราบาปอะไรก็แล้วแต่ และหากมีใครปฏิบัติกับเหยื่อที่เหมือนเค้าเป็นผู้กระทำความผิด เช่นอย่างถูกให้ออกจากงาน มันควรจะจบลงซะที คุณรู้ไหมว่าเหยื่อที่โดนข่มขืนนั้น ถ้าไม่นับคนที่โดนทำร้ายร่างกาย หรือโดนทรมานอย่างอื่นด้วยนอกจากข่มขืน เหยื่อที่ไม่สามารถอยู่ในสังคมได้นั้น ไม่ใช่เพราะเค้าโดนข่มขืนแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะความอับอายที่สังคมหยิบยื่นให้กับเค้า ซึ่งดิฉันอยากตั้งคำถามว่า มันน่าอายตรงไหน เพราะคุณไม่ได้ทำอะไรผิด คุณเป็นผู้ถูกกระทำ คุณควรจะมีที่ยืนในสังคม
ดิฉันหวังว่าเหยื่อคดีข่มขืนจะสามารถยืนอยู่ในสังคมไทยได้ ไม่จำเป็นที่ต้องหนีไปดำเนินชีวิตอยู่ในต่างๆประเทศ อย่างที่เหยื่อหลายๆคนพบเจอ ส่วนตัวดิฉันเองก็ต้องหันกลับมามองดูตัวเองว่าเราเป็นหนึ่งในคนที่ทำร้ายเหยื่อโดยไม่รู้ตัวหรือไม่
เพื่อนๆ เข้ามาแสดงความคิดเห็นได้นะคะ แต่โปรดอย่าด่าว่ากันเลยนะคะ หากความคิดเห็นไม่ตรงกันคุยกันด้วยเหตุผลได้คะ
เหยื่อ คดีข่มขืน ผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ???
เรื่องมีอยู่ว่าช่วงนี้เราเห็นหลายท่านออกมารณรงค์ให้ประหารชีวิตผู้ต้องหาคดีข่มขืน ส่วนใหญ่เหตุผลที่ให้จะบอกว่า คนที่โดนข่มขืนนั้นเหมือนตายทั้งเป็น เป็นตราบาป ทำลายชีวิตของผู้หญิงคนนึงทั้งชีวิต ฯลฯ แต่ก่อนดิฉันก็เป็นคนนึงที่มีความคิดอย่างนี้ จนกระทั่งวันนึงความคิดดิฉันก็เปลี่ยนไป....
วันนึงดิฉันได้ทราบข่าวผู้หญิงต่างชาติคนนึงที่โดนข่มขืนที่เมืองไทย ตอนทราบข่าวดิฉันก็อับอายในฐานะที่เป็นคนไทย และเสียใจแทนเธอ คิดว่าเธอต้องรู้สึกแย่มากๆ แน่ๆ คิดว่าเูธอจะอยู่ยังไง จะรังเกียจคนไทยไหม แต่จากบทสัมเภาษณ์และสีหน้าของเธอทำให้ดิฉันค้นพบว่าเธอไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องดังกล่าวจะมาทำลายชีวิตเธอได้ เธอมองแค่ว่าเสียแล้วก็เสียไป เธอไม่สามารถย้อนเวลาให้มันกลับมาได้ แต่ก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก และเธอก็สามารถกลับไปดำรงชีวิตของเธอได้อย่างมีความสุขกับครอบครัว ไปอยู่ในสังคมของเธอได้อย่างปกติ ไม่มีใครมองว่าเธอเป็นสิ่งประหลาดในสังคม เพราะเธอไม่ได้เป็นคนทำผิด
ตอนที่ดิฉันได้ยินเรื่องราวของเธอ ดิฉันเกิดคำถามในใจว่า ทำไมเธอเข้มแข็งจัง ทำไมเธอยังยิ้มได้ และดิฉันก็มองเห็นมุมมองของเรื่องนี้อีกด้านนึง ดิฉันพบว่าในต่างประเทศยิ่งเฉพาะในโซนยุปโรป อเมริกานั้น ก็มีคดีข่มขืนเหมือนกับประเทศไทย แต่สิ่งที่แตกต่างกันคืออะไร??? สิ่งที่แตกต่างกันคือการปฎิบัติต่อเหยื่อที่ถูกข่มขืนไงคะ ในต่างประเทศนั้น อาจเป็นเเพราะสภาพสังคม วัฒนธรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ เค้าไม่ได้มองว่าคนที่ถูกข่มขืนเป็นผู้กระทำผิด คนที่ถูกข่มขืนเป็นเหยื่อ เค้าไม่มีการมาซุบซิบนินทากันว่า เธอๆ คนนั้นไงที่เป็นข่าว คนนั้นไงที่ถูกข่มขืน..... เค้าปฏิบัติกับเหยื่อเหมือนปกติ ไมไ่ด้ทำให้เหยื่อซึ่งเป็นผูุ้ถูกกระทำ กลายเป็นผู้กระทำความผิดไปเสียเอง
อย่างข่าวนักศึกษาปริญญาโทที่ถูกข่มขืนบนรถไฟไทย เธอบอกว่าหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว เธออยู่ในสังคมไม่ได้ เธอถูกบีบให้ออกจากงาน เธอต้องอยู่อย่างอับอาย จนสุดท้ายเธอจึงต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ พอดิฉันอ่านข่าวนี้ ดิฉันคิดในใจว่า เฮ้ยยยย มันใช่หรอ?? สังคมไทยทำถูกแล้วหรอ ใช่ การที่เค้าโดนข่มขืน ไอ้คนที่มันข่มขืนเค้ามันทำผิด ตรงนี้ไม่ต้องมาเถียงกัน แต่คนที่ทำร้ายเหยื่อต่อมาเรื่อยๆ คือใคร? มันไม่ใช่พวกเราทุกคนที่อยู่ในสังคมหรอ การที่เรานินทา พูดกันปากต่อปาก หรือแม้กระทั่งการที่เราปฏิบัติต่อเหยื่อประหนึ่งเค้าเป็นสิ่งแปลกปลอม มันเพราะอะไร หรือเป็นเพราะทัศนคติจอมปลอมที่เราสร้างขึ้นในสังคมว่า ผู้หญิงทุกคนก่อนแต่งงานต้องเป็นสาวบริสุทธิ์ ซึ่งในความเป็นจริงดิฉันอยากจะถามว่าใครยังบริสุทธิ์ก่อนแต่งงานบ้าง คงนับจำนวนกันได้เลยทีเดียว แต่เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่สองคน หรือไม่กี่คน มันเลยไม่เป็นประเด็น แต่กับเหยื่อคดีข่มขืน มันเป็นสิ่งที่ขัดกับทัศนคติของเรา เราจึงมองว่าเค้ามีตราบาป มีมลทิน ?? (ดิฉันสาบานว่าเห็นคำนี้มาจากรุ่นพี่ที่รณรงค์เรื่องนี้จริงๆ) แต่ดิฉันอยากตั้งคำถามกับสังคมว่า
มันขนาดนั้นเลยหรอ คนโดนข่มขืนเค้าไม่ได้ไปปล้น ไปฆ่า ไปลักขโมยของใคร ทำไมเค้าต้องมีตราบาป ทำไมเค้าต้องมีมลทิน???? ทำไมสังคมไม่มองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา (ดิฉันไม่ได้หมายถึงว่าการกระทำความผิดเป็นเรื่องธรรมดา โปรดอย่าดราม่า) สมมุติมีคนโดยขโมยของ หรือแม้กระทั่งโดนทำร้ายร่างกาย คุณจะพูดไหมว่า คนๆนั้น มีตราบาป มีมลทิน
คุณรู้ไหมในบางประเทศที่เรามองว่าเค้าล้าหลังมาก บางประเทศผู้หญิงที่โดนข่มขืน หากเป็นหญิงที่แต่งงานแล้วจะถูกลงโทษ (คนกระทำความผิดก็โดนเช่นกัน) ที่เป็นเช่นนี้เพราะเค้าเคร่งว่าผู้หญิงต้องซื่อสัตย์กับสามีเพียงคนเดียว หรือบางประเทศเหยื่อโดนลงโทษเสียเองฐานมีเพศสัมพันธ์โดยยังไม่ได้แต่งงาน คุณมองเรื่องพวกนี้คุณอาจมองว่าประเทศเหล่านั้น ตลก ทำไมต้องมาลงโทษเหยื่อ บ้าไปแล้ว แต่ดิฉันคิดว่า ประเทศเราก็ไม่ต่างกัน แม้เราจะไม่ลงโทษเหยื่อตามกฎหมาย แต่เราลงโทษเหยื่อทางสังคม ถ้าคุณไปพูดกับเพื่อนต่างชาติในประเทศที่มีความเป็นเสรีมากๆ หรือประเทศที่มีความก้าวหน้ามาก ว่าผู้หญิงคนนึงโดนข่มขืน และฆ่าตัวตายเพราะอับอายอยู่ในสังคมไม่ได้ เชื่อเลยว่าเค้าก็คงจะคิดเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องฆ่าตัวตาย ทำไมถึงอับอาย ทำไมถึงต้องอยู่ในสังคมไม่ได้
ที่ดิฉันต้องการจะสื่อทั้งหมดคือ คุณจะรณรงค์ให้คนกระทำความผิดโดนประหารหรือโดนอะไรมันก็แล้วแต่ทัศนคติของแต่ละคน แต่ดิฉันอยากให้เรารณรงค์อีกเรื่องคือ รณรงค์ว่า "เหยื่อคดีข่มขืน ไม่ใช่ผู้กระทำความผิด" รณรงค์ให้สังคมเลิกมองว่าเค้ามีมลทิน หรือมีตราบาปอะไรก็แล้วแต่ และหากมีใครปฏิบัติกับเหยื่อที่เหมือนเค้าเป็นผู้กระทำความผิด เช่นอย่างถูกให้ออกจากงาน มันควรจะจบลงซะที คุณรู้ไหมว่าเหยื่อที่โดนข่มขืนนั้น ถ้าไม่นับคนที่โดนทำร้ายร่างกาย หรือโดนทรมานอย่างอื่นด้วยนอกจากข่มขืน เหยื่อที่ไม่สามารถอยู่ในสังคมได้นั้น ไม่ใช่เพราะเค้าโดนข่มขืนแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะความอับอายที่สังคมหยิบยื่นให้กับเค้า ซึ่งดิฉันอยากตั้งคำถามว่า มันน่าอายตรงไหน เพราะคุณไม่ได้ทำอะไรผิด คุณเป็นผู้ถูกกระทำ คุณควรจะมีที่ยืนในสังคม
ดิฉันหวังว่าเหยื่อคดีข่มขืนจะสามารถยืนอยู่ในสังคมไทยได้ ไม่จำเป็นที่ต้องหนีไปดำเนินชีวิตอยู่ในต่างๆประเทศ อย่างที่เหยื่อหลายๆคนพบเจอ ส่วนตัวดิฉันเองก็ต้องหันกลับมามองดูตัวเองว่าเราเป็นหนึ่งในคนที่ทำร้ายเหยื่อโดยไม่รู้ตัวหรือไม่
เพื่อนๆ เข้ามาแสดงความคิดเห็นได้นะคะ แต่โปรดอย่าด่าว่ากันเลยนะคะ หากความคิดเห็นไม่ตรงกันคุยกันด้วยเหตุผลได้คะ