พิพิธภัณฑ์ 3 มิติ ใต้ทะเลแดง หยุดเวลา 73 ปีแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ไว้ ณ ที่นี่..


เรือเอสเอส ดิสเซิลกอร์ม (SS Thistlegorm )ขนาด 128ม.ของอังกฤษที่บรรทุกคาราวานรถของกองทัพอังกฤษมุ่งหน้าจากเมืองกลาสโกว์ อังกฤษ ไปยังอะเล็กซานเดรีย อียิปต์ ถูกเครื่องบินรบเยอรมัน 2 ลำโจมตี และจมลงใต้ทะเลแดงในปี 1941 มาเป็นเวลานานถึง 73ปี สร้างความตื่นใจให้กับเหล่าสาวกนักเล่นรถคลาสสิคในพิพิธภัณฑ์ใต้น้ำแบบ 3 มิติที่ผู้ชมต้องสวมสน็อกเกิลไปยลเองถึงที่
       
       คาร์โก้ของเรือเอสเอส ดิสเซิลกอร์ม(SS Thistlegorm) ขนาด 128ม.สัญชาติอังกฤษยังคงบรรทุกคาราวานรถของกองทัพอังกฤษในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ 73ปีมาแล้ว ต้องดำดิ่งอยู่ใต้ผิวน้ำลึก 30ม.ของทะเลแดงด้วยฝีมือเครื่องบินรบ 2ลำของเยอรมันในปี 1941 ทั้งนี้เรือลำนี้ต้องการมุ่งหน้าไปอะเล็กซานเดรีย อียิปต์
       
       มาร์ค แฮร์ริส (Mark Harris) นักประดาน้ำชาวอังกฤษวัย 53 ปี ที่เพิ่งดำสำรวจสถานที่น่าพิศวงแห่งนี้ในเดือนมิถุนายน 2014ได้เปิดเผยถึงจุดดำน้ำสุสานรถสุดคลาสสิคว่า “การดำน้ำครั้งนี้เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก และถึงแม้เรือเอสเอส ดิสเซิลกอร์จะขึ้นสนิมและผุพังไปมากแล้ว แต่ยังคงเปรียบเสมือนแคปซูลกาลเวลาที่เก็บรักษา “ช่วงเวลาแห่งสงครามที่แท้จริง” ที่คุณสามารถพบสิ่งนี้เหนือผิวน้ำน้อยครั้งมาก อาคารที่ถูกทำลายในช่วงสงครามนั้นถูกรื้อและสร้างใหม่ กำแพงที่เป็นโพรงเพราะกระสุนก็ถูกอุดเรียบร้อยไม่เหลือร่องรอยทางประวัติศาสตร์”
       
       และแฮร์ริสกล่าวต่อว่า “แต่ใต้พื้นน้ำแห่งนี้ ซากเรืออับปางยังคงสภาพเหมือนเมื่อครั้งที่ยังอยู่ลอยเหนือผิวน้ำ” นอกจากนี้บรรดารถของกองทัพอังกฤษในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2ยังอยู่ครบภายใต้บรรยากาศฝูงปลาประจำถิ่นแหวกว่ายไปมาแล้ว น้อยครั้งมากที่เราจะมีโอกาสเห็นรถบรรทุกเบดฟอร์ด( Bedford )รถหุ้มเกราะ มอเตอร์ไซด์รุ่นนอร์ตัน 16H และรุ่นBSA รวมไปถึงปืนเบรน(Bren gun) และกระสุนอาวุธต่างๆ ในสภาพสมบูรณ์


       
       นอกจากเหล่าคาราวานรถหายากแล้ว ในเรือยังมีส่วนของเครื่องบิน อุปกรณ์วิทยุ รองเท้าบูตเวลลิงตัน หรือแม้กระทั่งหัวรถจักรไอน้ำ 2 คันที่คาดว่าจะนำไปใช้ในอียิปต์ แฮร์รีสนักประดาน้ำกล่าวว่า “ในฐานะที่เป็นนักประดาน้ำมืออาชีพเช่นเดียวกับนักประดาน้ำคนอื่นๆ เรารู้สึกได้ถึงบาดแผลของเรือเอสเอส ดิสเซิลกอร์ม และต่างเคารพในพิพิธภัณฑ์ 3มติตามธรรมชาติที่หยุดกาลเวลาไว้ในโลกใต้น้ำแห่งนี้ และเป็นสาเหตุว่าทำไมแม้กระทั่งรองเท้าบูตเวลลิงตันยังคงอยู่ที่นี่ตลอดเวลา และไม่ถูกขโมยไป ซึ่งของบางสิ่งในที่นี้ที่สมควรถูกปล่อยให้อยู่อย่างสงบสามารถถูกหยิบฉวยไปได้ง่ายมาก”
       
       สื่ออังกฤษรายงานว่า ตามประวัติของเรือสัญชาติอังกฤษลำนี้พบว่า ถูกสร้างขึ้นที่ซันเดอร์แลนด์ในปี 1940 และออกทะเลครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 1941 วิเลียม เอลลิส (William Ellis)เป็นกัปตันเรือในขณะนั้นออกเดินทางพร้อมนายทหารจากกองทัพเรืออังกฤษ 9 นายที่มาพร้อมอาวุธ และเอสเอส ดิสเซิลกอร์มมีลูกเรือทั้งหมด 41 คน


       
       นอกจากนี้เรือเอสเอส ดิสเซิลกอร์มออกเดินทางในฐานะกองคาราวานที่ให้การปกป้องเรือสินค้าในย่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในขณะนั้นจากเรือรบอิตาลี และเยอรมัน และหลังจากที่เรือเอสเอส ดิสเซิลกอร์มเติมน้ำมันที่เคปทาว์น แอฟริกาใต้ กองคาราวานของกองทัพอังกฤษคาดว่าจะมุ่งหน้าต่อไปยังอียิปต์โดยผ่านคลองสุเอซ แต่ทว่าเรือลำนี้ไม่สามารถผ่านไปได้เพราะมีการชนเกิดขึ้นที่ทางข้างหน้า ทำให้เอสเอส ดิสเซิลกอร์มต้องแล่นไปที่ Safe Anchorage F ใกล้กับ Ras Muhammad ในอียิปต์แทนในเดือนกันยายน 1941 และจอดอยู่ที่นั่นจนกระทั่งถึงวันที่ 6 ตุลาคม 1941 ซึ่งเป็นวันที่เรือถูกกองทัพเยอรมันโจมตีในขณะที่เรือยังทอดสมอ
เพราะข่าวกรองเยอรมันเชื่อว่า เอสเอส ดิสเซิลกอร์มบรรทุกกองทหารเหล่าสัมพันธมิตรที่กำลังจะขึ้นสู่อียิปต์ในไม่ช้า จึงส่งเครื่องบินรบ Heinkel HE-111จำนวน 2ลำ บนฐานเกาะครีตในกรีก เพื่อตามหาและทำลายเรือข้าศึก ซึ่งการตามหาล้มเหลว แต่ในระหว่างทางบินกลับฐาน เครื่องบินรบเยอรมันสังเกตเห็นเรือที่กำลังจอดทอดสมออยู่ที่ Safe Anchorage F จึงทิ้งระเบิดโจมตีไป 2 ลูกที่เอสเอส ดิสเซิลกอร์มซึ่งเป็นเรือลำใหญ่ที่สุดในกองคาราวาน เรือจมลงทะเลแดงพร้อมกับกระสุนปืนบนเรือเกิดระเบิดขึ้น และสังหารลูกเรือไป 4 คน พร้อมกับนายทหารกองทัพเรืออังกฤษอีก 5 นายที่เฝ้าประจำเรือลำนี้
       
       กัปตันเอลลิสได้รับรางวัล OBE ในความกล้าหาญของเขา พร้อมกับลูกเรืออีกคนแองกัส แมคเลียรี(Angus McLeary)ที่ได้รับรางวัลเหรียญคิงจอร์จ (George Medal) และรางวัลเหรียญสงครามลอย์ด ( Lloyd’s War Medal)ในความกล้าหญาที่สามารถช่วยเหลือชีวิตลูกเรือคนอืนไว้ได้ในขณะถูกกองทัพเยอรมันโจมตีในขณะนั้น
       
       เรือเอสเอส ดิสเซิลกอร์มจมลงสู่ใต้น้ำและสาบสูญนับตั้งแต่นั้นจนกระทั่งในปี 1956 นักสำรวจมหาสมุทร Jacques-Yves Cousteau ได้ค้นพบสุสานรถโบราณแห่งนี้ และได้เล่าการค้นพบที่น่าทึ่งของเขาในหนังสือ “The Living Sea”.

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ที่มา http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000084438
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่