ต้องถือว่าเป็น ความผิด ของผมเอง ที่เกิด "รำคาญ" ในความดื้อด้าน ไร้ยางอาย ของบุรุษเปล่าผู้นั้น
จึงได้คิด รวดรัดตัดความ เพื่อป้องกันมิให้ ประเด็นของการโต้แย้งถูกทำให้พร่าเลือนไป ด้วยประเด็นอื่น หรือ เรื่องอื่น
ก็ในเมื่อ คันโตนาซี แสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่แก่ใจแล้ว กล่าวคือ จะเรียกท่านพุทธทาส ว่า เดียรถีย์พุทธทาส ให้จงได้
โดยในการนั้นเอง คันโตนาซี ได้ยกหลักฐานชั้นอรรถกถา ขึ้นมาประกอบ การกระทำทางกายวาจาใจ ของมันด้วยอาการ ลิงโลด อย่างยิ่ง
เมื่อเห็นดังนั้น ผมจึงถามย้ำ เพื่อความแน่ใจ ว่า คันโตนาซี ยังจะยืนยันว่า ท่านพุทธทาส เป็น เดียรถีย์
ตามความหมายของอรรถกถาจารย์ ที่มันยกขึ้นอ้าง ซึ่งระบุอย่างชัดเจนว่า ........
เดียรถีย์ หมายถึง ภิกษุผู้เป็นพหูสูต
โดยที่พระพุทธเจ้า ได้ตรัส ภิกษุนี้ว่า หมายถึง ........
(๑) ภิกษุที่เป็นเถระ
(๒) เป็นพหูสูต
(๓) เป็นผู้รู้หลัก
(๔) ทรงธรรม
(๕) ทรงวินัย
(๖) ทรงมาติกา
ใช่หรือไม่ ?
ปรากฏว่า จากที่เคยแสดงอาการ ลิงโลด ในช่วงต้นกระทู้
คราวนี้ กลับออกอาการเซื่องซึม เป็นหมาป่วย กันเลยทีเดียว
เหตุที่เป็นดังนี้ ก็เพราะ ถ้าหาก มัน ยืนยัน ตามความหมายจาก อรรถกถา ที่ยกขึ้นอ้าง
นั่นจะเท่ากับ มัน ยอมรับว่าท่านพุทธทาส คือ ภิกษุที่เป็นเถระ เป็นพหูสูต
เป็นผู้รู้หลัก ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ตามพระพุทธดำรัส ไปในทันที
หรือมิใช่ ?
ช่างน่าสมเพช เมื่อไปไม่เป็นขึ้นมา ไอ้หมอนั่น ในฐานะ เจ้าของกระทู้ ก็ทำการ ฝลัดกระทู้ของตนเอง เพื่อแก้เงิบ อยู่พักใหญ่
แต่ในท้ายที่สุด หาง ของมันก็โผล่ขึ้นมาอีกจนได้ กล่าวคือ เพราะตอนนี้ ไม่สามารถยอมรับ ข้อความในอรรถกถา ได้อีกต่อไป
ทั้งๆ ที่แต่ไหนแต่ไรมา มันและพวก มักแสร้งทำเป็น ปกป้อง คัมภีร์อรรถกถา อย่างสุดลิ่มฯ ไม่ยินยอมให้ใครวิพากษ์วิจารณ์ได้
คราวนี้ นอกจากจะแสดงอาการว่า ไม่เอาอรรถกถาแล้ว มันยังอุตส่าห์ สร้างธรรมใหม่ขึ้นมา
โดยอ้างว่า ท่านพุทธทาส เป็นพหูสูตเวอร์ชั่นพิเศษ !
เมื่อถูกทวงถามว่า พระพุทธเจ้า ได้เคยตรัสถึง พหูสูตเวอร์ชั่นพิเศษ เอาไว้ที่ใด หรือไม่ ?
อรรถกถาจารย์ ได้เคยอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ เอาไว้ หรือไม่ ?
ไอ้หมอนี่ กลับทำหน้าด้านเถียงข้างๆ คูๆ อย่างไม่กระดากอาย
ดังนั้น จึงขออนุญาต กล่าวย้ำอีกครั้ง ดังนี้ว่า ........
ถ้าหาก ไม่มีหลักฐานยืนยัน ในเรื่อง พหูสูตเวอร์ชั่นพิเศษ ตามที่กล่าวอ้างขึ้นมา
นั่นย่อมเท่ากับ คันโตนาซี ได้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย
บัญญัติธรรมใหม่ เป็น สัทธรรมปฏิรูป ซึ่งเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา !
ชัดเจน นะครับ
*********************************************************************************
มีประเด็นสำคัญ อีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งจำต้องกล่าวอธิบาย และแสดงหลักฐานเอาไว้ ให้ทราบโดยทั่วกัน ก็คือ
กรณีที่ นายคันโตนาซี แอบอ้างกล่าวตู่พระธรรมวินัย บิดเบือนหลักฐานทางพระพุทธศาสนา ในทำนองว่า .......
"ไม่เคยมี พหูสูต รายใด ที่เรียกพระพุทธเจ้า เป็นเดียรถีย์"
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขออนุญาตกล่าวตามตรงว่า ด้วยเหตุที่ คันโตนาซี เป็นคนโง่เขลา รู้ปริยัติน้อย เป็นคนกลวง เป็นบุรุษเปล่า
แต่กลับ "หลงตน" นึกเอาเองว่า วิเศษเหนือผู้อื่น ทั้งๆ ที่มันก็เป็นแค่เพียง ปุถุชนผู้บริโภคกาม เป็นชาวบ้านมิจฉาทิฐิทั่วๆ ไป เท่านั้นเอง
การที่มันกล่าวอวดโง่ ในทำนองว่า ไม่มีพหูสูตรายใด เรียกพระพุทธเจ้าว่าเดียรถีย์ นี้จึงเป็นเพียงการพูดชุ่ยๆ ตามประสาโง่
เพราะถ้าเป็นผู้ที่เอาใจใส่ ต่อพระธรรมคำสอน ตามสมควร และ หมั่นสืบค้นข้อมูล จากพระคัมภีร์ อยู่เป็นเนืองนิจ
ก็ย่อมทราบเป็นอย่างดีว่า แม้แต่อรรถกถาจารย์เอง ก็เรียกพระพุทธเจ้าว่า เดียรถีย์ ที่หมายถึง เจ้าลัทธิ หรือ เจ้าสำนัก หรือ ศาสดา เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น
หลักฐาน ลำดับที่ (๑)
อรรถกถาจารย์ ได้อธิบายความ กรณีที่ท่านพระอานนท์ กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ปฏิจจสมุปบาท
เป็นเรื่องง่ายสำหรับท่าน นั้นว่า ที่ง่ายสำหรับท่าน ก็ด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ
๑. ด้วยการถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย
๒. ด้วยการอยู่ในสำนักครู
๓. ด้วยความเป็นพระโสดาบัน
๔. ด้วยความเป็นพหูสูต
ประเด็นมันก็อยู่ตรง เหตุข้อที่ ๒ ด้วยการอยู่ในสำนักครู ทั้งนี้ ก็เพราะ คำว่า สำนักครู นี้ถอดมาจากพระบาลี คือ ติตถวาโส
จึงเป็นอันว่า ติตถะ หรือ ท่า หรือ เดียรถีย์ หรือ ศาสดา หรือ ลัทธิ ในที่นี้ ก็คือ ครู ของท่านพระอานนท์
ถามว่า แล้วใครเป็น ครู หรือ ศาสดา ของท่านพระอานนท์ กันเล่าครับ ?
ก็ข้อความในหน้าเดียวกันนั้นเอง ระบุว่า ........
๑. ท่านพระอานนท์ ผนวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า
๒. ท่านพระอานนท์ สดับธรรมในสำนักของท่านพระปุณณมันตานีบุตร แล้วบรรลุโสดาบัน
ถึงตรงนี้ ท่านทั้งหลาย พอที่จะพิจารณาได้เองหรือไม่ว่า เดียรถีย์ ในที่นี้ อรรถกถาจารย์ ควรจะหมายถึง ท่านผู้ใดกันบ้าง ?
.
.
.
ยังมีอีกครับ
หลักฐาน ลำดับที่ (๒)
ในอรรถกถาของ มัชฌิมนิกาย อรรถกถาจารย์ ได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าว่า ........
"ได้ทรงกระทำ ท่า(ติตถะ) เป็นที่หยั่งลงสู่นิพพานไว้มาก ฉะนั้น ควรกล่าวว่าเป็น ติตถกโร(ผู้ทำท่า)"
ความข้อนี้ อรรถกถาจารย์ กล่าวเอาไว้ชัดเจนไหมครับ ?
กล่าวคือ ท่านระบุว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็น เดียรถีย์(ติตถกโร) ซึ่งหมายถึง เจ้าลัทธิ เจ้าสำนัก หรือ พระศาสดา !
เมื่อพิจารณา หลักฐานชั้นต้น คือ คัมภีร์ชั้นอรรถกถา มาถึงตรงนี้ ก็ย่อมชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่า
อรรถกถาจารย์ ก็มีความเข้าใจ และเรียกพระพุทธเจ้า ว่า เดียรถีย์ ซึ่งหมายถึง เจ้าสำนัก หรือ เจ้าลัทธิ หรือ พระศาสดา เช่นกัน
ที่เป็นปัญหาในตอนนี้ ก็คือ คนอย่าง คันโตนาซีและสหายร่วมบาป
จะสามารถยอมรับได้หรือไม่ว่า อรรถกถาจารย์ ก็สมควรนับเป็น พหูสูต (หึหึหึ)
.
.
.
ขออนุญาต แถม หลักฐาน ให้อีกสักหน่อย กล่าวคือ ท่านพระเตลุกานิเถระ ได้กล่าว คาถา เอาไว้
ปรากฏหลักฐานอยู่ใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ ดังนี้ว่า ..........
ขออนุญาต กล่าวย้ำ อีกครั้ง นะครับ
ท่านพระเตลุกานิเถระ ได้กล่าวว่า .........
(๑) ท่านได้เห็นท่า(ติตถะ) คือ อริยมรรคอันอุดม
(๒) โดยที่ ท่า(ติตถะ) นี้เป็นสิ่งที่ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงเอาไว้
ดังนั้น พระพุทธเจ้า ผู้กระทำท่า(ติตถกโร) เอาไว้ ก็ย่อมเป็น เจ้าของท่า
หรือ คำสอน(ติตถะ) คือ เดียรถีย์ ซึ่งหมายถึง เจ้าสำนัก หรือ ศาสดา นั่นเอง !
จบไหมครับ ?
ไม่มี พหูสูต รายใดที่เรียก พระพุทธเจ้า เป็น เดียรถีย์ (เหรอ ?)
จึงได้คิด รวดรัดตัดความ เพื่อป้องกันมิให้ ประเด็นของการโต้แย้งถูกทำให้พร่าเลือนไป ด้วยประเด็นอื่น หรือ เรื่องอื่น
ก็ในเมื่อ คันโตนาซี แสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่แก่ใจแล้ว กล่าวคือ จะเรียกท่านพุทธทาส ว่า เดียรถีย์พุทธทาส ให้จงได้
โดยในการนั้นเอง คันโตนาซี ได้ยกหลักฐานชั้นอรรถกถา ขึ้นมาประกอบ การกระทำทางกายวาจาใจ ของมันด้วยอาการ ลิงโลด อย่างยิ่ง
เมื่อเห็นดังนั้น ผมจึงถามย้ำ เพื่อความแน่ใจ ว่า คันโตนาซี ยังจะยืนยันว่า ท่านพุทธทาส เป็น เดียรถีย์
ตามความหมายของอรรถกถาจารย์ ที่มันยกขึ้นอ้าง ซึ่งระบุอย่างชัดเจนว่า ........
เดียรถีย์ หมายถึง ภิกษุผู้เป็นพหูสูต
โดยที่พระพุทธเจ้า ได้ตรัส ภิกษุนี้ว่า หมายถึง ........
(๑) ภิกษุที่เป็นเถระ
(๒) เป็นพหูสูต
(๓) เป็นผู้รู้หลัก
(๔) ทรงธรรม
(๕) ทรงวินัย
(๖) ทรงมาติกา
ใช่หรือไม่ ?
ปรากฏว่า จากที่เคยแสดงอาการ ลิงโลด ในช่วงต้นกระทู้
คราวนี้ กลับออกอาการเซื่องซึม เป็นหมาป่วย กันเลยทีเดียว
เหตุที่เป็นดังนี้ ก็เพราะ ถ้าหาก มัน ยืนยัน ตามความหมายจาก อรรถกถา ที่ยกขึ้นอ้าง
นั่นจะเท่ากับ มัน ยอมรับว่าท่านพุทธทาส คือ ภิกษุที่เป็นเถระ เป็นพหูสูต
เป็นผู้รู้หลัก ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ตามพระพุทธดำรัส ไปในทันที
หรือมิใช่ ?
ช่างน่าสมเพช เมื่อไปไม่เป็นขึ้นมา ไอ้หมอนั่น ในฐานะ เจ้าของกระทู้ ก็ทำการ ฝลัดกระทู้ของตนเอง เพื่อแก้เงิบ อยู่พักใหญ่
แต่ในท้ายที่สุด หาง ของมันก็โผล่ขึ้นมาอีกจนได้ กล่าวคือ เพราะตอนนี้ ไม่สามารถยอมรับ ข้อความในอรรถกถา ได้อีกต่อไป
ทั้งๆ ที่แต่ไหนแต่ไรมา มันและพวก มักแสร้งทำเป็น ปกป้อง คัมภีร์อรรถกถา อย่างสุดลิ่มฯ ไม่ยินยอมให้ใครวิพากษ์วิจารณ์ได้
คราวนี้ นอกจากจะแสดงอาการว่า ไม่เอาอรรถกถาแล้ว มันยังอุตส่าห์ สร้างธรรมใหม่ขึ้นมา
โดยอ้างว่า ท่านพุทธทาส เป็นพหูสูตเวอร์ชั่นพิเศษ !
เมื่อถูกทวงถามว่า พระพุทธเจ้า ได้เคยตรัสถึง พหูสูตเวอร์ชั่นพิเศษ เอาไว้ที่ใด หรือไม่ ?
อรรถกถาจารย์ ได้เคยอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ เอาไว้ หรือไม่ ?
ไอ้หมอนี่ กลับทำหน้าด้านเถียงข้างๆ คูๆ อย่างไม่กระดากอาย
ดังนั้น จึงขออนุญาต กล่าวย้ำอีกครั้ง ดังนี้ว่า ........
ถ้าหาก ไม่มีหลักฐานยืนยัน ในเรื่อง พหูสูตเวอร์ชั่นพิเศษ ตามที่กล่าวอ้างขึ้นมา
นั่นย่อมเท่ากับ คันโตนาซี ได้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย
บัญญัติธรรมใหม่ เป็น สัทธรรมปฏิรูป ซึ่งเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา !
ชัดเจน นะครับ
*********************************************************************************
มีประเด็นสำคัญ อีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งจำต้องกล่าวอธิบาย และแสดงหลักฐานเอาไว้ ให้ทราบโดยทั่วกัน ก็คือ
กรณีที่ นายคันโตนาซี แอบอ้างกล่าวตู่พระธรรมวินัย บิดเบือนหลักฐานทางพระพุทธศาสนา ในทำนองว่า .......
"ไม่เคยมี พหูสูต รายใด ที่เรียกพระพุทธเจ้า เป็นเดียรถีย์"
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขออนุญาตกล่าวตามตรงว่า ด้วยเหตุที่ คันโตนาซี เป็นคนโง่เขลา รู้ปริยัติน้อย เป็นคนกลวง เป็นบุรุษเปล่า
แต่กลับ "หลงตน" นึกเอาเองว่า วิเศษเหนือผู้อื่น ทั้งๆ ที่มันก็เป็นแค่เพียง ปุถุชนผู้บริโภคกาม เป็นชาวบ้านมิจฉาทิฐิทั่วๆ ไป เท่านั้นเอง
การที่มันกล่าวอวดโง่ ในทำนองว่า ไม่มีพหูสูตรายใด เรียกพระพุทธเจ้าว่าเดียรถีย์ นี้จึงเป็นเพียงการพูดชุ่ยๆ ตามประสาโง่
เพราะถ้าเป็นผู้ที่เอาใจใส่ ต่อพระธรรมคำสอน ตามสมควร และ หมั่นสืบค้นข้อมูล จากพระคัมภีร์ อยู่เป็นเนืองนิจ
ก็ย่อมทราบเป็นอย่างดีว่า แม้แต่อรรถกถาจารย์เอง ก็เรียกพระพุทธเจ้าว่า เดียรถีย์ ที่หมายถึง เจ้าลัทธิ หรือ เจ้าสำนัก หรือ ศาสดา เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น
หลักฐาน ลำดับที่ (๑)
อรรถกถาจารย์ ได้อธิบายความ กรณีที่ท่านพระอานนท์ กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ปฏิจจสมุปบาท
เป็นเรื่องง่ายสำหรับท่าน นั้นว่า ที่ง่ายสำหรับท่าน ก็ด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ
๑. ด้วยการถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย
๒. ด้วยการอยู่ในสำนักครู
๓. ด้วยความเป็นพระโสดาบัน
๔. ด้วยความเป็นพหูสูต
ประเด็นมันก็อยู่ตรง เหตุข้อที่ ๒ ด้วยการอยู่ในสำนักครู ทั้งนี้ ก็เพราะ คำว่า สำนักครู นี้ถอดมาจากพระบาลี คือ ติตถวาโส
จึงเป็นอันว่า ติตถะ หรือ ท่า หรือ เดียรถีย์ หรือ ศาสดา หรือ ลัทธิ ในที่นี้ ก็คือ ครู ของท่านพระอานนท์
ถามว่า แล้วใครเป็น ครู หรือ ศาสดา ของท่านพระอานนท์ กันเล่าครับ ?
ก็ข้อความในหน้าเดียวกันนั้นเอง ระบุว่า ........
๑. ท่านพระอานนท์ ผนวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า
๒. ท่านพระอานนท์ สดับธรรมในสำนักของท่านพระปุณณมันตานีบุตร แล้วบรรลุโสดาบัน
ถึงตรงนี้ ท่านทั้งหลาย พอที่จะพิจารณาได้เองหรือไม่ว่า เดียรถีย์ ในที่นี้ อรรถกถาจารย์ ควรจะหมายถึง ท่านผู้ใดกันบ้าง ?
.
.
.
ยังมีอีกครับ
หลักฐาน ลำดับที่ (๒)
ในอรรถกถาของ มัชฌิมนิกาย อรรถกถาจารย์ ได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าว่า ........
"ได้ทรงกระทำ ท่า(ติตถะ) เป็นที่หยั่งลงสู่นิพพานไว้มาก ฉะนั้น ควรกล่าวว่าเป็น ติตถกโร(ผู้ทำท่า)"
ความข้อนี้ อรรถกถาจารย์ กล่าวเอาไว้ชัดเจนไหมครับ ?
กล่าวคือ ท่านระบุว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็น เดียรถีย์(ติตถกโร) ซึ่งหมายถึง เจ้าลัทธิ เจ้าสำนัก หรือ พระศาสดา !
เมื่อพิจารณา หลักฐานชั้นต้น คือ คัมภีร์ชั้นอรรถกถา มาถึงตรงนี้ ก็ย่อมชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่า
อรรถกถาจารย์ ก็มีความเข้าใจ และเรียกพระพุทธเจ้า ว่า เดียรถีย์ ซึ่งหมายถึง เจ้าสำนัก หรือ เจ้าลัทธิ หรือ พระศาสดา เช่นกัน
ที่เป็นปัญหาในตอนนี้ ก็คือ คนอย่าง คันโตนาซีและสหายร่วมบาป
จะสามารถยอมรับได้หรือไม่ว่า อรรถกถาจารย์ ก็สมควรนับเป็น พหูสูต (หึหึหึ)
.
.
.
ขออนุญาต แถม หลักฐาน ให้อีกสักหน่อย กล่าวคือ ท่านพระเตลุกานิเถระ ได้กล่าว คาถา เอาไว้
ปรากฏหลักฐานอยู่ใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ ดังนี้ว่า ..........
ขออนุญาต กล่าวย้ำ อีกครั้ง นะครับ
ท่านพระเตลุกานิเถระ ได้กล่าวว่า .........
(๑) ท่านได้เห็นท่า(ติตถะ) คือ อริยมรรคอันอุดม
(๒) โดยที่ ท่า(ติตถะ) นี้เป็นสิ่งที่ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงเอาไว้
ดังนั้น พระพุทธเจ้า ผู้กระทำท่า(ติตถกโร) เอาไว้ ก็ย่อมเป็น เจ้าของท่า
หรือ คำสอน(ติตถะ) คือ เดียรถีย์ ซึ่งหมายถึง เจ้าสำนัก หรือ ศาสดา นั่นเอง !
จบไหมครับ ?