ไม่ได้ทราบข่าวของ MH 370 มาระยะหนึ่งจนกระทั่งวันนี้ได้ลองดูข้อมูลในอินเตอร์เนท ไม่ทราบว่ารายงานนี้เป็นจริงเท็จประการใดครับ
"เริ่มต้นจากลุงแซม ขนวัตถุนิวเคลียร์และอาวุธชีวภาพใส่คอนเทนเนอร์ขนาดไม่ใหญ่มาก ด้วยเรือที่ติดธงสัญชาติตัวเอง มาที่เกาะเล็กๆ ชื่อสาธารณรัฐเชสเซลเลส ที่อยู่ทางตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย จากนั้นขนต่อมาที่มาเลย์ และใส่ตู้คอนเทนเนอร์ขึ้นเครื่องบินลำนี้ จะนำไปลงที่ปักกิ่ง ของจีน (ไม่แน่ชัดว่าองค์กรใดสั่งของนี้) และประจวบกับมีการขนชิพคอมพิวเตอร์วงจรไฮเทค โดยผู้โดยสารไต้หวันกลุ่มหนึ่ง ไปลงเครื่องที่ปักกิ่ง ของจีน เช่นกัน ซึ่งชิพนี่สามารถทำให้ขีปนาวุธตรวจไม่พบด้วยเรด้าห์ เพื่อไปขายและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้จีน
เมื่อจีนและรัสเซียรู้ระแคะระคาย จึงวางแผนจะบังคับเครื่องบินเที่ยวนี้ ไปลงที่สนามบินไหหลำ ของจีน เพื่อตรวจดูว่ามันคือสินค้าอะไรกันแน่ที่ในตู้คอนเทนเนอร์ แต่ก่อนเครื่องบินจะขึ้นมีความผิดปกติคือไม่รู้หน่วยใด มีการสังหารหน่วยซีลลุงแซมนอกราชการ ที่มีความเชี่ยวชาญการรบสูง และออกมาทำงานลับ จำนวน 2 คน ที่มาเลย์ เพื่อคุ้มครองสินค้ามีมูลค่าสูง ให้กับบริษัทลุงแซม ลักษณะคล้ายๆ ฆ่าตัดตอน หรือฆ่าปิดปาก
ก่อนเครื่องบินจะเทคออฟขึ้นจากสนามบินกัวลาลัมเปอร์ มาเลย์ ช่วงเวลา 12.41 น. (การข่าวก็พบความผิดปกติอีก คือ มีผู้โดยสารราว 4-5 คนเช็คอิน แต่ดันไม่ขึ้นเครื่องลำนี้ไปด้วย !!) เมื่อเครื่องขึ้นแล้วได้มุ่งหน้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงไปทางทะเลจีนไต้ เข้าใกล้เรดาห์พาณิชย์ของเวียดนาม จากนั้นได้มีเครื่องบินชนิดรบกวนสัญญาณ Primary เรด้าห์ (เรดาห์พื้นฐานชนิดที่เห็นทั่วไปที่สนามบินใช้ จะมีระบบอยู่ที่พื้นดิน โดยมีเสาอากาศที่หมุนได้ เพื่อส่งพลังงานวิทยุออกไปเป็นห้วงสั้นๆ เมื่อกระทบกับ เครื่องบิน ก็จะส่งสัญญาณนั้นกลับมายังเสาอากาศของเรดาร์ ประมวลผลแล้วจึงแสดงออกมาทางจอภาพ) เช่น AWAC บินจากจุดระยะทำการที่ใดสักแห่ง ประกบเครื่องบินนี้ทำให้สัญญาณ Primary เรด้าห์ตรวจไม่พบ
แล้วก็มีเครื่องบินล่องหนจากเรดาห์ได้ เสตลล์ รูปร่างคล้ายจานบินสีดำ บินประกบอีก 1-2 ลำ เพื่อควบคุมทิศทางเครื่องบินตามต้องการ จุดนี้เป็นได้ 2 กรณี คือ กรณีแรก การควบคุมรีโมทเครื่องบินจากภายนอกซึ่งทำได้อยู่แล้ว เพราะเป็นระบบของบริษัทผลิตเครื่องบินที่ทำระบบนี้ไว้ แต่ต้องทำโดยระดับรัฐบาลเท่านั้น กรณีสอง ภายในเครื่องบิน ทีมหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่แฝงตัวมา อาจร่วมกับลูกเรือ หรือนักบิน ทำการเข้าไปในห้องนักบิน ทำการปิดระบบ transponder ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Secondary เรด้าห์ที่ใช้เป็นสากล
(คล้ายระบบ SMS เป็นอีกระบบ หนึ่งมีส่วนประกอบอยู่สามส่วน ที่เพิ่มเติมจากแบบแรก คือ Decoder = มีหน้าที่ควบคุม interrogator และ แปลข้อมูลที่ส่งมาจาก transponder, Interrogator = เป็นอุปกรณ์ติดตั้งกับเสาอากาศของเรดาร์ทำหน้าที่ส่งสัญณาณ และรับสัญาณที่ส่งมาจาก transponder, และ transponder = เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่บนเครื่องบิน)
สำหรับส่งตำแหน่งเครื่องบินพาณิชย์ ให้หอควบคุมการบินทราบตำแหน่งละติจูด และลองติจูด โดยผู้ควบคุมเครื่องบินกล่าวเป็นคำสุดท้ายว่า “ออลไรด์ กู๊ดไนท์” แล้วจึงปิดระบบ transponder นี้ระยะห่างเวลา 10-14 นาที จนในเวลา 01.21 น. ทำให้สัญญาณตำแหน่งเครื่องบินหายวับไปจากจอ Secondary เรด้าห์ภาคพื้นดินทันที ก่อความโกลาหลขึ้นในเวลาต่อมา จากนั้นผู้จี้ควบคุมเครื่องบิน ก็หันทิศทางเครื่องบินกลับด้าน ย้อนมาทางเดิมมุ่งหน้าทิศตะวันตกเฉียงไต้ เพื่อไม่ให้ผ่านประเทศไทย เพราะอาจจะโดนโจมตีด้วยเครื่องบินขับไล่ได้ แล้วเตรียมพร้อมสำหรับทีมตัวเอง โดยใส่อุปกรณ์หน้ากากอ๊อกซีเจนรับการเปลี่ยนแปลงความดันเฉียบพลัน (อุปกรณ์ป้องกันเหมือนนักบินเจ๊ตขับไล่เหนือเสียง)
และคนพวกนี้ต้องมีประสบการณ์ และถูกฝึกมาให้ทนต่อแรงกด และ G (แรงโน้มถ่วง) มหาศาล ทำการปรับเพดานบินจาก 25,000-30,000 ฟุต พุ่งโด่งขึ้นสูงลิ่วเกินกำหนดไปที่ 45,000 ฟุต และทิ้งตัวลดเพดานบินลงต่ำอย่างรวดเร็ว ช่วงนี้หน้ากากอ๊อกซิเจนจะตกลงมาอัตโนมัติ ผู้โดยสารจะรีบคว้ามาครอบปากและจมูก แต่เขาก็ตัดอ๊อกซิเจนในห้องผู้โดยสารทั้งหมดอีก เหลือไว้เฉพาะพวกบังคับเครื่องบิน จนเพดานบินลดต่ำเหลือ 5,000 ฟุต ส่งผลให้ผู้โดยสาร และลูกเรืออื่นน๊อคไปทันที (เด็ก 2 คนอาจตายทันทีช่วงนี้) จากการเปลี่ยนแปลงความดัน โดยไม่มีใครสามารถต่อต้านการบังคับใดๆ ได้เลย เป็นเวลานานหลายชั่วโมง
ส่วนเครื่องบิน เสตลล์ และ AWAC ก็ทำหน้าที่นำทางเครื่องลำนี้ที่ตกอยู่ในสภาพเหมือนคนตาบอด เครื่องบินทั้ง 3 ชนิด ได้บินผ่านมาทางใกล้ชายแดนทางตอนไต้ของไทย ผ่านน่านฟ้ามาเลย์ จุดนี้เรดาห์ชนิด Primary เรด้าห์ของชายชุดฟ้าของไทย และของทหารมาเลย์ จับสัญญาณเครื่องบินพาณิชย์นี้ได้ แต่จับตำแหน่งเสตลล์ และ AWAC ล่องหนเรดาห์ไม่ได้ ในตำแหน่งใกล้เคียง และเวลาใกล้เคียงกัน อีกทั้งมีชาวบ้าน ชาวประมงทั้งไทย และมาเลย์ จำนวนมากจากหลายจุด ได้ยินเสียงบูมกระแทกอากาศดังสนั่น พร้อมเห็นเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่ และเสตลล์สีดำ ด้วยตาเปล่า บินประกบเครื่องบินลำนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แต่มาเลย์ไม่ยอมแถลงทันที เพราะว่าอับอายที่ต้องเปิดเผยว่า ประเทศตนเองมีช่องว่างในระบบการป้องกันภัยความมั่นคงทางอากาศ เมื่อเครื่องบินๆ ต่ำผ่านช่องแคบมะละกาไปได้ เครื่องบินทั้ง 3 ชนิด ก็ปรับเส้นทางใหม่อีกครั้ง โดยเชิดหัวขึ้นความสูงปกติ มุ่งหน้าขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือสู่ตอนเหนือของมหาสมุทรอินเดีย ค่าความเร็วแบบบินอัตโนมัติ (autopilot) คือประมาณ 350 น็อต อยู่ที่ระดับ cruising คือ เกิน 30,000 ฟุต ตามเส้นทางการบินพาณิชย์ปกติ คาดเดาว่าเพื่ออำพรางเครื่องบินให้แฝงตัว เข้าไปในหมู่เครื่องบินพาณิชย์จำนวนมาก ที่กำลังบินไปเส้นทางเดียวกัน เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต และยังเกี่ยวเนื่องกับสนามแม่เหล็กโลกด้วย เพราะโลกมีการหมุนรอบตัวเอง แต่สัญญาณ ping ก็ยังคงถูกดาวเทียมจับได้ทุก 1 ชั่วโมง
แล้วก็บินคงระยะห่างจากฝั่งสม่ำเสมอ เพื่อให้พ้นรัศมี Primary เรด้าห์ ของประเทศอินเดีย และศรีลังกา โดยมีเครื่องบิน 2 ชนิดบินประกบอารักขาและนำทางตลอดเวลา ต่อมาเครื่องบินปรับทิศทางลดต่ำเฉียงลงไปทางไต้อีกครั้งตรงเรื่อยๆ แต่ก่อนเข้าถึงหมู่เกาะมัลดีพ ได้ปรับเพดานบินลงต่ำลงมากอีกครั้ง เพื่อหลบ Primary เรด้าห์ ผ่านไปที่เกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตอนไต้ของหมู่เกาะมัลดีพ จนชาวบ้านจำนวนมากเห็นตัวเครื่องบินในระยะต่ำมาก เวลา 06.15 น. เช้าอีกวัน ขนาดเห็นประตูเครื่องบินชัดเจน และมองแถบสีของเครื่องบินชัดเจนทีเดียว เมื่อผ่านมัลดีพแล้วก็ตรงลงไต้ไปอีก สัญญาณ ping ก็ยังคงถูกดาวเทียมจับได้จุดนี้อีก โดยมีเรือพิฆาตของลุงแซมอารักขา บินต่ออีกสักพักก็ถึงเกาะดิเอโก้ กราเซีย ฐานทัพลับในมหาสมุทรอินเดียของลุงแซม ในเช้าวันที่ 9 มี.ค.57
เครื่องบินลำนี้ลงจอดที่สนามบินของกองทัพลุงแซม ที่มีรันเวย์ขนาดรองรับได้อย่างสบาย เมื่อเครื่องบินจอดสนิท กระบวนการขนถ่ายคอนเทนเนอร์ลงจากเครื่องบิน และค้นเอาชิพวงจรไฮเทคจากตัวผู้โดยสารไต้หวัน ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตามแผนที่วางไว้ แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่บริษัทผลิตเครื่องยนต์ของเครื่องบิน ที่เขาต้องติดอุปกรณ์ติดตามเครื่องยนต์เขาทุกเครื่อง จับสัญญาณได้ว่าเครื่องยนต์เขายังทำงานอยู่ด้วยระยะเวลา 6-7 ชั่วโมงจากจุดสูญหายครั้งแรก
และเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมด การข่าวว่ามีการถอดกล่องดำบันทึกการบิน 3 จุดในเครื่อง ออก (หน้า-หลัง-กลางตรงประตู) เพราะกล่องดำมีอายุการใช้งาน 30-40 วัน ถ้าปล่อยให้ติดเครื่องบินไป อุปกรณ์นี้จะยังคงส่งสัญญาณ ping ให้ดาวเทียมอีก การทำลายก็เพื่อป้องกันไม่ให้ค้นพบไขความจริงได้ในอนาคต จากนั้นให้นักบินลุงแซมใส่ชุดประดาน้ำ ขับเครื่องบินโดยสารดังกล่าวเทคออฟขึ้นจากฐานทัพนั้นอีกครั้ง พร้อมเครื่องบินอีกลำหนึ่งพร้อมหน่วยช่วยเหลือ โดยบินมุ่งหน้าไปทิศทางตะวันออกเฉียงไต้จนน้ำมันเครื่องบินหมด
เพื่อไม่ให้เกิดคราบน้ำมันให้เห็นตรวจพบจากผิวน้ำได้ แล้วนักบินคนนั้นได้ออกจากตัวเครื่องก่อนที่ลำตัวเครื่องบินจะกระแทกพื้นน้ำ ขณะนั้นสัญญาณ ping ก็เปิดตัวเองขึ้นอัตโนมัติเป็นครั้งสุดท้าย จนดาวเทียมอังกฤษจับสัญญาณได้อีก ในเช้าวันที่ 9 มี.ค. 57 นั่นเอง จนเป็นที่มาของการตรวจวัด Doppler effect ของสัญญาณ ping ดาวเทียม ได้ 6-7 ครั้ง ซึ่งบ่งชี้ว่าเครื่องบินลำนี้ได้ “ บินในวิถีโค้งจากเหนือลงใต้ “ นั่นเอง
ส่วนนักบินของลุงแซมคนนั้น ก็ขึ้นเครื่องบินที่รอรับและช่วยเหลือกลับขึ้นเครื่องไป ปล่อยทิ้งให้เครื่องบิน MH370 พร้อมผู้โดยสารทั้งหมด จมลงในทะเลลึก ทิศไต้ของมหาสมุทรอินเดีย มีระยะห่างจากเมืองเพิร์ธ ของออสเตรเลีย ราว 2,400 กิโลเมตร ดำดิ่งจมลงก้นทะเลที่ลึกสุดขั้วเกินจินตนาการประมาณ 3,500 เมตร ขนาดที่ผิวดวงจันทร์เราอาจรู้รายละเอียด มากกว่าแผนที่ก้นทะเลในบริเวณนั้นเสียอีก คลื่นก็ขนาดใหญ่มหาศาล สภาพอากาศแปรปรวนและเลวร้าย ญาติของผู้โดยสาร ลูกเรือ และนักบิน วันนี้คงต้องทำใจ
รอเพียงว่าจะกู้เอาซากเครื่องบินลำนี้ขึ้นมาได้อย่างไร เพราะมันยากแสนยาก ต้องใช้หุ่นยนต์จากเรือดำน้ำ เช่น ยานอัตโนมัติใต้น้ำ "บลูฟิน" ติดตั้งอุปกรณ์โซนาร์ ที่สามารถทำงานได้นานกว่า 24 ชั่วโมง เมื่อแล่นด้วยความเร็วต่ำ และได้ที่ความลึกถึงเกือบ 15,000 ฟุต แถมต้องใช้งบประมาณสนับสนุนเติมเชื้อเพลิง น้ำ อาหาร เวลา และคนอีกมหาศาลจริงๆ..ใครจะจ่าย !!
แต่การข่าวที่เผยแพร่ออกมา จะไม่มีทางที่จะบอกความจริงนี้ต่อสาธารณะไปได้ เพราะมันยากที่จะทำใจยอมรับในความโหดร้ายของมนุษย์ด้วยกันเอง ดังนั้นการออกข่าวต่อไปนี้จะมีเพียงเครื่องบินลำนี้ บินตรงจากช่องแคบมะละกา ลงไปทางตะวันตกเฉียงไต้ จนไปตกที่จุดนี้เท่านั้น ( แต่การออกรายงานแบบนี้ มันก็เสี่ยงต่อการถูกด่ามาก เพราะจะขัดแย้งกับสัญญาณ ping ที่ตรวจวัด Doppler effect ของสัญญาณดาวเทียม ) และ ก็จะมีอะไรแปลกๆ ตามมา คือ รายชื่อจำนวนผู้โดยสารก็จะไม่ครบ 239 คน บางคนจะหายตัวไปก่อนขึ้นเครื่อง และความลับต่างๆ มันจะมืดมิดปกปิดอยู่ให้เป็นตำนานเล่าขานตลอดไป "
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://m.facebook.com/media/set/?set=a.224217974434904.1073741953.187529244770444&type=1
สรุป MH370 ถูกอุ้ม ?
"เริ่มต้นจากลุงแซม ขนวัตถุนิวเคลียร์และอาวุธชีวภาพใส่คอนเทนเนอร์ขนาดไม่ใหญ่มาก ด้วยเรือที่ติดธงสัญชาติตัวเอง มาที่เกาะเล็กๆ ชื่อสาธารณรัฐเชสเซลเลส ที่อยู่ทางตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย จากนั้นขนต่อมาที่มาเลย์ และใส่ตู้คอนเทนเนอร์ขึ้นเครื่องบินลำนี้ จะนำไปลงที่ปักกิ่ง ของจีน (ไม่แน่ชัดว่าองค์กรใดสั่งของนี้) และประจวบกับมีการขนชิพคอมพิวเตอร์วงจรไฮเทค โดยผู้โดยสารไต้หวันกลุ่มหนึ่ง ไปลงเครื่องที่ปักกิ่ง ของจีน เช่นกัน ซึ่งชิพนี่สามารถทำให้ขีปนาวุธตรวจไม่พบด้วยเรด้าห์ เพื่อไปขายและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้จีน
เมื่อจีนและรัสเซียรู้ระแคะระคาย จึงวางแผนจะบังคับเครื่องบินเที่ยวนี้ ไปลงที่สนามบินไหหลำ ของจีน เพื่อตรวจดูว่ามันคือสินค้าอะไรกันแน่ที่ในตู้คอนเทนเนอร์ แต่ก่อนเครื่องบินจะขึ้นมีความผิดปกติคือไม่รู้หน่วยใด มีการสังหารหน่วยซีลลุงแซมนอกราชการ ที่มีความเชี่ยวชาญการรบสูง และออกมาทำงานลับ จำนวน 2 คน ที่มาเลย์ เพื่อคุ้มครองสินค้ามีมูลค่าสูง ให้กับบริษัทลุงแซม ลักษณะคล้ายๆ ฆ่าตัดตอน หรือฆ่าปิดปาก
ก่อนเครื่องบินจะเทคออฟขึ้นจากสนามบินกัวลาลัมเปอร์ มาเลย์ ช่วงเวลา 12.41 น. (การข่าวก็พบความผิดปกติอีก คือ มีผู้โดยสารราว 4-5 คนเช็คอิน แต่ดันไม่ขึ้นเครื่องลำนี้ไปด้วย !!) เมื่อเครื่องขึ้นแล้วได้มุ่งหน้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงไปทางทะเลจีนไต้ เข้าใกล้เรดาห์พาณิชย์ของเวียดนาม จากนั้นได้มีเครื่องบินชนิดรบกวนสัญญาณ Primary เรด้าห์ (เรดาห์พื้นฐานชนิดที่เห็นทั่วไปที่สนามบินใช้ จะมีระบบอยู่ที่พื้นดิน โดยมีเสาอากาศที่หมุนได้ เพื่อส่งพลังงานวิทยุออกไปเป็นห้วงสั้นๆ เมื่อกระทบกับ เครื่องบิน ก็จะส่งสัญญาณนั้นกลับมายังเสาอากาศของเรดาร์ ประมวลผลแล้วจึงแสดงออกมาทางจอภาพ) เช่น AWAC บินจากจุดระยะทำการที่ใดสักแห่ง ประกบเครื่องบินนี้ทำให้สัญญาณ Primary เรด้าห์ตรวจไม่พบ
แล้วก็มีเครื่องบินล่องหนจากเรดาห์ได้ เสตลล์ รูปร่างคล้ายจานบินสีดำ บินประกบอีก 1-2 ลำ เพื่อควบคุมทิศทางเครื่องบินตามต้องการ จุดนี้เป็นได้ 2 กรณี คือ กรณีแรก การควบคุมรีโมทเครื่องบินจากภายนอกซึ่งทำได้อยู่แล้ว เพราะเป็นระบบของบริษัทผลิตเครื่องบินที่ทำระบบนี้ไว้ แต่ต้องทำโดยระดับรัฐบาลเท่านั้น กรณีสอง ภายในเครื่องบิน ทีมหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่แฝงตัวมา อาจร่วมกับลูกเรือ หรือนักบิน ทำการเข้าไปในห้องนักบิน ทำการปิดระบบ transponder ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Secondary เรด้าห์ที่ใช้เป็นสากล
(คล้ายระบบ SMS เป็นอีกระบบ หนึ่งมีส่วนประกอบอยู่สามส่วน ที่เพิ่มเติมจากแบบแรก คือ Decoder = มีหน้าที่ควบคุม interrogator และ แปลข้อมูลที่ส่งมาจาก transponder, Interrogator = เป็นอุปกรณ์ติดตั้งกับเสาอากาศของเรดาร์ทำหน้าที่ส่งสัญณาณ และรับสัญาณที่ส่งมาจาก transponder, และ transponder = เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่บนเครื่องบิน)
สำหรับส่งตำแหน่งเครื่องบินพาณิชย์ ให้หอควบคุมการบินทราบตำแหน่งละติจูด และลองติจูด โดยผู้ควบคุมเครื่องบินกล่าวเป็นคำสุดท้ายว่า “ออลไรด์ กู๊ดไนท์” แล้วจึงปิดระบบ transponder นี้ระยะห่างเวลา 10-14 นาที จนในเวลา 01.21 น. ทำให้สัญญาณตำแหน่งเครื่องบินหายวับไปจากจอ Secondary เรด้าห์ภาคพื้นดินทันที ก่อความโกลาหลขึ้นในเวลาต่อมา จากนั้นผู้จี้ควบคุมเครื่องบิน ก็หันทิศทางเครื่องบินกลับด้าน ย้อนมาทางเดิมมุ่งหน้าทิศตะวันตกเฉียงไต้ เพื่อไม่ให้ผ่านประเทศไทย เพราะอาจจะโดนโจมตีด้วยเครื่องบินขับไล่ได้ แล้วเตรียมพร้อมสำหรับทีมตัวเอง โดยใส่อุปกรณ์หน้ากากอ๊อกซีเจนรับการเปลี่ยนแปลงความดันเฉียบพลัน (อุปกรณ์ป้องกันเหมือนนักบินเจ๊ตขับไล่เหนือเสียง)
และคนพวกนี้ต้องมีประสบการณ์ และถูกฝึกมาให้ทนต่อแรงกด และ G (แรงโน้มถ่วง) มหาศาล ทำการปรับเพดานบินจาก 25,000-30,000 ฟุต พุ่งโด่งขึ้นสูงลิ่วเกินกำหนดไปที่ 45,000 ฟุต และทิ้งตัวลดเพดานบินลงต่ำอย่างรวดเร็ว ช่วงนี้หน้ากากอ๊อกซิเจนจะตกลงมาอัตโนมัติ ผู้โดยสารจะรีบคว้ามาครอบปากและจมูก แต่เขาก็ตัดอ๊อกซิเจนในห้องผู้โดยสารทั้งหมดอีก เหลือไว้เฉพาะพวกบังคับเครื่องบิน จนเพดานบินลดต่ำเหลือ 5,000 ฟุต ส่งผลให้ผู้โดยสาร และลูกเรืออื่นน๊อคไปทันที (เด็ก 2 คนอาจตายทันทีช่วงนี้) จากการเปลี่ยนแปลงความดัน โดยไม่มีใครสามารถต่อต้านการบังคับใดๆ ได้เลย เป็นเวลานานหลายชั่วโมง
ส่วนเครื่องบิน เสตลล์ และ AWAC ก็ทำหน้าที่นำทางเครื่องลำนี้ที่ตกอยู่ในสภาพเหมือนคนตาบอด เครื่องบินทั้ง 3 ชนิด ได้บินผ่านมาทางใกล้ชายแดนทางตอนไต้ของไทย ผ่านน่านฟ้ามาเลย์ จุดนี้เรดาห์ชนิด Primary เรด้าห์ของชายชุดฟ้าของไทย และของทหารมาเลย์ จับสัญญาณเครื่องบินพาณิชย์นี้ได้ แต่จับตำแหน่งเสตลล์ และ AWAC ล่องหนเรดาห์ไม่ได้ ในตำแหน่งใกล้เคียง และเวลาใกล้เคียงกัน อีกทั้งมีชาวบ้าน ชาวประมงทั้งไทย และมาเลย์ จำนวนมากจากหลายจุด ได้ยินเสียงบูมกระแทกอากาศดังสนั่น พร้อมเห็นเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่ และเสตลล์สีดำ ด้วยตาเปล่า บินประกบเครื่องบินลำนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แต่มาเลย์ไม่ยอมแถลงทันที เพราะว่าอับอายที่ต้องเปิดเผยว่า ประเทศตนเองมีช่องว่างในระบบการป้องกันภัยความมั่นคงทางอากาศ เมื่อเครื่องบินๆ ต่ำผ่านช่องแคบมะละกาไปได้ เครื่องบินทั้ง 3 ชนิด ก็ปรับเส้นทางใหม่อีกครั้ง โดยเชิดหัวขึ้นความสูงปกติ มุ่งหน้าขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือสู่ตอนเหนือของมหาสมุทรอินเดีย ค่าความเร็วแบบบินอัตโนมัติ (autopilot) คือประมาณ 350 น็อต อยู่ที่ระดับ cruising คือ เกิน 30,000 ฟุต ตามเส้นทางการบินพาณิชย์ปกติ คาดเดาว่าเพื่ออำพรางเครื่องบินให้แฝงตัว เข้าไปในหมู่เครื่องบินพาณิชย์จำนวนมาก ที่กำลังบินไปเส้นทางเดียวกัน เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต และยังเกี่ยวเนื่องกับสนามแม่เหล็กโลกด้วย เพราะโลกมีการหมุนรอบตัวเอง แต่สัญญาณ ping ก็ยังคงถูกดาวเทียมจับได้ทุก 1 ชั่วโมง
แล้วก็บินคงระยะห่างจากฝั่งสม่ำเสมอ เพื่อให้พ้นรัศมี Primary เรด้าห์ ของประเทศอินเดีย และศรีลังกา โดยมีเครื่องบิน 2 ชนิดบินประกบอารักขาและนำทางตลอดเวลา ต่อมาเครื่องบินปรับทิศทางลดต่ำเฉียงลงไปทางไต้อีกครั้งตรงเรื่อยๆ แต่ก่อนเข้าถึงหมู่เกาะมัลดีพ ได้ปรับเพดานบินลงต่ำลงมากอีกครั้ง เพื่อหลบ Primary เรด้าห์ ผ่านไปที่เกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตอนไต้ของหมู่เกาะมัลดีพ จนชาวบ้านจำนวนมากเห็นตัวเครื่องบินในระยะต่ำมาก เวลา 06.15 น. เช้าอีกวัน ขนาดเห็นประตูเครื่องบินชัดเจน และมองแถบสีของเครื่องบินชัดเจนทีเดียว เมื่อผ่านมัลดีพแล้วก็ตรงลงไต้ไปอีก สัญญาณ ping ก็ยังคงถูกดาวเทียมจับได้จุดนี้อีก โดยมีเรือพิฆาตของลุงแซมอารักขา บินต่ออีกสักพักก็ถึงเกาะดิเอโก้ กราเซีย ฐานทัพลับในมหาสมุทรอินเดียของลุงแซม ในเช้าวันที่ 9 มี.ค.57
เครื่องบินลำนี้ลงจอดที่สนามบินของกองทัพลุงแซม ที่มีรันเวย์ขนาดรองรับได้อย่างสบาย เมื่อเครื่องบินจอดสนิท กระบวนการขนถ่ายคอนเทนเนอร์ลงจากเครื่องบิน และค้นเอาชิพวงจรไฮเทคจากตัวผู้โดยสารไต้หวัน ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตามแผนที่วางไว้ แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่บริษัทผลิตเครื่องยนต์ของเครื่องบิน ที่เขาต้องติดอุปกรณ์ติดตามเครื่องยนต์เขาทุกเครื่อง จับสัญญาณได้ว่าเครื่องยนต์เขายังทำงานอยู่ด้วยระยะเวลา 6-7 ชั่วโมงจากจุดสูญหายครั้งแรก
และเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมด การข่าวว่ามีการถอดกล่องดำบันทึกการบิน 3 จุดในเครื่อง ออก (หน้า-หลัง-กลางตรงประตู) เพราะกล่องดำมีอายุการใช้งาน 30-40 วัน ถ้าปล่อยให้ติดเครื่องบินไป อุปกรณ์นี้จะยังคงส่งสัญญาณ ping ให้ดาวเทียมอีก การทำลายก็เพื่อป้องกันไม่ให้ค้นพบไขความจริงได้ในอนาคต จากนั้นให้นักบินลุงแซมใส่ชุดประดาน้ำ ขับเครื่องบินโดยสารดังกล่าวเทคออฟขึ้นจากฐานทัพนั้นอีกครั้ง พร้อมเครื่องบินอีกลำหนึ่งพร้อมหน่วยช่วยเหลือ โดยบินมุ่งหน้าไปทิศทางตะวันออกเฉียงไต้จนน้ำมันเครื่องบินหมด
เพื่อไม่ให้เกิดคราบน้ำมันให้เห็นตรวจพบจากผิวน้ำได้ แล้วนักบินคนนั้นได้ออกจากตัวเครื่องก่อนที่ลำตัวเครื่องบินจะกระแทกพื้นน้ำ ขณะนั้นสัญญาณ ping ก็เปิดตัวเองขึ้นอัตโนมัติเป็นครั้งสุดท้าย จนดาวเทียมอังกฤษจับสัญญาณได้อีก ในเช้าวันที่ 9 มี.ค. 57 นั่นเอง จนเป็นที่มาของการตรวจวัด Doppler effect ของสัญญาณ ping ดาวเทียม ได้ 6-7 ครั้ง ซึ่งบ่งชี้ว่าเครื่องบินลำนี้ได้ “ บินในวิถีโค้งจากเหนือลงใต้ “ นั่นเอง
ส่วนนักบินของลุงแซมคนนั้น ก็ขึ้นเครื่องบินที่รอรับและช่วยเหลือกลับขึ้นเครื่องไป ปล่อยทิ้งให้เครื่องบิน MH370 พร้อมผู้โดยสารทั้งหมด จมลงในทะเลลึก ทิศไต้ของมหาสมุทรอินเดีย มีระยะห่างจากเมืองเพิร์ธ ของออสเตรเลีย ราว 2,400 กิโลเมตร ดำดิ่งจมลงก้นทะเลที่ลึกสุดขั้วเกินจินตนาการประมาณ 3,500 เมตร ขนาดที่ผิวดวงจันทร์เราอาจรู้รายละเอียด มากกว่าแผนที่ก้นทะเลในบริเวณนั้นเสียอีก คลื่นก็ขนาดใหญ่มหาศาล สภาพอากาศแปรปรวนและเลวร้าย ญาติของผู้โดยสาร ลูกเรือ และนักบิน วันนี้คงต้องทำใจ
รอเพียงว่าจะกู้เอาซากเครื่องบินลำนี้ขึ้นมาได้อย่างไร เพราะมันยากแสนยาก ต้องใช้หุ่นยนต์จากเรือดำน้ำ เช่น ยานอัตโนมัติใต้น้ำ "บลูฟิน" ติดตั้งอุปกรณ์โซนาร์ ที่สามารถทำงานได้นานกว่า 24 ชั่วโมง เมื่อแล่นด้วยความเร็วต่ำ และได้ที่ความลึกถึงเกือบ 15,000 ฟุต แถมต้องใช้งบประมาณสนับสนุนเติมเชื้อเพลิง น้ำ อาหาร เวลา และคนอีกมหาศาลจริงๆ..ใครจะจ่าย !!
แต่การข่าวที่เผยแพร่ออกมา จะไม่มีทางที่จะบอกความจริงนี้ต่อสาธารณะไปได้ เพราะมันยากที่จะทำใจยอมรับในความโหดร้ายของมนุษย์ด้วยกันเอง ดังนั้นการออกข่าวต่อไปนี้จะมีเพียงเครื่องบินลำนี้ บินตรงจากช่องแคบมะละกา ลงไปทางตะวันตกเฉียงไต้ จนไปตกที่จุดนี้เท่านั้น ( แต่การออกรายงานแบบนี้ มันก็เสี่ยงต่อการถูกด่ามาก เพราะจะขัดแย้งกับสัญญาณ ping ที่ตรวจวัด Doppler effect ของสัญญาณดาวเทียม ) และ ก็จะมีอะไรแปลกๆ ตามมา คือ รายชื่อจำนวนผู้โดยสารก็จะไม่ครบ 239 คน บางคนจะหายตัวไปก่อนขึ้นเครื่อง และความลับต่างๆ มันจะมืดมิดปกปิดอยู่ให้เป็นตำนานเล่าขานตลอดไป "
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้