หลังจากมีข่าวสรุปว่าเครื่องบินตกแน่นอน เห็นมีกระทู้ + ความเห็นทฤษฏีต่างๆเต็มพันทิพและเว็บอื่นๆเต็มไปหมด หลายๆอันค่อนข้างจะสวนทางกับfactที่ออกมา ไหนๆก็ไหนๆหลังจากที่ตามเรื่องนี้มาพอสมควร ขอสรุป timeline เรื่องที่เกิดขึ้นให้ละกันนะครับเผื่อจะเอาไปคิดอะไรกันต่อ เพราะความจริงคงต้องรอผลการสอบสวนอีกอย่างน้อยก็คงจะเป็นปี
เริ่มแรกเครื่องบินมีมีผู้โดยสาร 227 ชีวิต จาก 14 ประเทศ ส่วนใหญ่ในนั้นเป็นชาวจีน เพราะงั้นเรื่องที่มาเลเซียจะอยู่เงียบๆแอบปิดข่าวคงเป็นไปได้ยากครับ เพราะมีการตรวจสอบจากประเทศพวกนี้อยู่
เวลา เที่ยงคืน 41 นาที เครื่องบินออกเดินทางจาก Kuala Lumpur มีกำหนดลงจอดที่ปักกิ่ง ตอน 6.30
เวลา ตี 1 7 นาที ระบบ ACARS ซึ่งทำหน้าที่ส่งสัญญาณรายงานอัตโนมัติเกี่ยวกับเครื่องบินส่งข้อมูลครั้งสุดท้าย ทุกอย่างปรกติ โดยที่ระบบ ACARS นี่จะส่งข้อมูลทุก 30 นาที เพราะงั้นสรุปได้ว่าระบบ ACARS ถูกปิดหรือเสียหายภายในช่วงเวลา 30 นาทีหลังจากนี้ เรื่องนี้มีประเด็นนิดหน่อยตรงที่ว่ามีผู้เชี่ยวชาญหลายคนออกมาให้ความเห็นว่า Transponder (ตัวส่งสัญญาณ radar) สามารถปิดได้ง่ายๆโดยการกดปุ่มในห้องนักบิน แต่ระบบ ACARS ต้องลงไปที่ส่วนเก็บอุปกรณ์พิเศษซึ่งอยู่นอกห้องนักบิน โดยนักบินทั่วไปไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะปิด ACARS ต้องทำยังไง ส่วนใหญ่ต้องเป็นวิศวกรที่มีหน้าที่ซ่อมแซมโดยเฉพาะมากกว่า (แต่ก็ไม่แปลกมากนักถ้านักบินที่มีประสบการณ์สูงจะรู้เรื่องนี้)
เวลา ตี 1 19 นาที ผู้ช่วยนักบิน Fariq Abdul Hamid พูดกับหอควบคุมที่มาเลเซียว่า All right, good night เพราะกำลังจะออกนอกน่านฟ้ามาเลเซีย ตรงจุดนี้เครื่องบินจะต้องติดต่อกับหอควบคุมเวียดนามเพื่อเดินทางต่อไป แต่ไม่มีการติดต่อเกิดขึ้น ตรงส่วนนี้เป็นจุดที่น่าสงสัยเพราะว่ามันดูบังเอิญเกินไปหน่อยที่ทั้ง ACARS ทั้ง Transponder หายไปในช่วงพอดีเหมือนกับมีการจงใจให้เกิดขึ้น (รัฐบาลมาเลเซียประกาศอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันแรกๆแล้วครับว่า มี deliberate action ไม่ว่าจะเป็นการhijack หรือ การจงใจของลูกเรือเอง เพราะงั้นใครที่ยังคิดว่ามาเลเซียจงใจทำให้เป็นอุบัติเหตุแล้วปล่อยหายก็ปิดประเด็นได้เลย)
เวลา ตี 1 21 นาที Transponder ถูกปิด
Transponder คืออุปกรณ์ส่งสัญญาณบนเครื่องบินที่มีหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลว่าเครื่องบินรหัสอะไร บินอยู่ที่ความสูงเท่าไหร่ พอปิดไปแล้ว Radar ของหอควบคุมก็จะมองเห็นเป็นแค่จุดจุดนึง โดยที่ไม่เห็นข้อมูลรายละเอียด (ประเด็นที่ว่าทำไม Transponder ถึงปิดได้ มีคนให้ความเห็นไว้ว่า อุปกรณ์electronicsของเครื่องบินทุกอย่างสามารถปิดได้หมด เผื่อกรณีเกิดช็อตจะได้ปิดระบบเพื่อควบคุมหรือกันไม่ให้เกิดไฟไหม้)
เวลา ตี1 28 นาที มีการตรวจการเคลื่อนไหวผิดปรกติของเครื่องบิน โดยมีการไต่ระดับไปที่ความสูง 45,000 ft (ระดับการบินปรกติอยู่ที่ประมาณ 32,000ฟุต) และมีการเลี้ยวกลับลำไปทางมาเลเซีย
ในส่วนนี้มีนักบินมาเล่าไว้ว่าที่ระดับความสูง 45,000 ft สามารถเสียชีวิตได้ในเวลาไม่กี่นาทีถ้าถูกexpose แต่ในความเป็นจริงแล้วเครื่องบินมีระบบปรับความดันไว้อยู่ถึงแม้จะขึ้นไปที่ระดับ 45,000ft ระดับความดันในห้องโดยสารจะขยับจากเสมือนความสูง 6,000ft ไปที่ 8,000ft(ตัวเลขไม่ชัวนะครับ อ่านเมื่อหลายวันที่แล้ว) เพราะงั้นผู้โดยสารอาจจะรู้สึกไม่สบายแต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต ยกเว้นเครื่องบินจะค้างที่ระดับความสูง 45,000 ft นานมากๆ ส่วนประเด็นเรื่องที่จะเป็นเหมือน Helios Airways คือระบบปรับความดันเสียถูกตัดทิ้งออกไปเพราะหลังจากเกิดเหตุกับ Helios มีการติดตั้งระบบเตือนไว้ในห้องนักบินตั้งแต่เนิ่นๆพอเริ่มลดปุ๊บก็เตือน นักบินมีเวลามากกว่า 30 นาทีก่อนที่จะถึงระดับหมดสติและเสียชีวิต
ขอเสริมประเด็นเรื่องที่ทำไม Radar ไทยหรือมาเลมองไม่เห็นได้ยังไงเครื่องบินทั้งลำ ในจุดนี้ผู้เชี่ยวชาญด้าน Radar บอกไว้ว่า หลังจากปิด Transponder แล้วระบบ primary radar ไม่สามารถใช้งานได้ ต้องใช้ secondary radar คือส่งสัญญาณไปพอเจอวัตถุสะท้อนกลับก็จะเห็นได้ ทีนี้พอไม่มีข้อมูลจาก Transponder radar ก็จะเป็นวัตถุเป็นแค่จุดจุดนึง(blip of data) ซึ่งไม่สามารถบอกได้ด้วยซ้ำว่าเป็นอะไรอาจจะเป็นแค่บอลลูน หรือเคยมีแม้แต้กรณีที่มองเห็นรถบรรทุกบนทางด่วนด้วยซ้ำ ที่นี้ตัว blip of data นี้วันๆนึงมีมหาศาล ประเทศเราที่จริงๆแล้วไม่ได้จะรบอะไรกับใครขนาดนั้นก็มักจะปล่อยผ่านไป เพราะเห็นเป็นเหตุการณ์ปกติ + วกกลับไปที่น่านฟ้ามาเลเซียด้วยจึงไม่มีประเด็นที่ต้องเป็นห่วง พอวันหลังๆมีการร้องขอข้อมูลอย่างละเอียด ไทยเลยวิเคราะห์ raw data อีกทีจึงพบว่า blip of data ทีเห็นนั้น "น่าจะเป็น MH370"
เวลา ตี 1 37 นาที เครื่องบินลดระดับลงสู่ความสูง 29,500 ft ควรจะมีสัญญาณจากระบบ ACARS แต่ไม่มี พอถึงตี 2 15นาที MH370 ก็หลุดไปจาก Radar ทั้งหมด หลังจากนี้ทีมสืบสวนอาศัยข้อมูลที่ส่งอัตโนมัติทุกชั่วโมงจากเครื่องยนต์ Rolls Royce ไปที่สำนักงานใหญ่ซึ่งมีไว้สำหรับวิเคราะห์เพื่อการซ่อมบำรุงเครื่องบิน
ตอนเช้าเวลา 8 โมง 11 นาที เครื่องยนต์เครื่องบินส่งสัญญาณเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากเรารู้ได้แค่ว่ามีการส่งสัญญาณออกมา และดาวเทียมที่รับสัญญาณได้มีเพียง 2 ดวงเท่านั้น (จะคำนวณตำแหน่งที่แน่นอนได้ต้องใช้ข้อมูลจาก ดาวเทียม 3 ดวง) เรื่องเลยจบลงที่ เครื่องบินอยู่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งใน 2 เส้นนี้ ทางการจึงแบ่งการค้นหาออกเป็น 2 ส่วนเรียกว่า Northern Corridor กับ Southern Corridor
หลังจากทางออสเตรเลียคำนวณทิศทาง รวมทั้งอาศัยข้อมูลจาก National Transport Safety Board ของอเมริกา(ยังไม่เปิดเผยว่าข้อมูลอะไร) เลยกำหนดจุดค้นหาลงเป็นที่ 2,500 ไมล์ทางตะวันตกของ Perth (ระหว่างนี้การค้นหาที่ Northern Corridorก็ยังมีต่อ โดยที่ทางการมาเลเซียบอกว่าให้ความสำคัญเท่ากัน) ในรูปด้านล่างเป็นตำแหน่งที่ทางออสเตรเลียใช้ในการค้นหาโดยอาศัยการคำนวณของกระแสน้ำที่ไหลไปในแต่ละวัน ทำให้จุดค้นหาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
สุดท้ายที่ทำไมอยู่ดีๆหาเจอได้ หลายๆคนสงสัยว่ามาเลเซียแอบทำอะไรรึเปล่า ก็อย่างที่บอกไปครับ เค้าหากันในบริเวณนี้มาหลายวันแล้ว และแต่ละวันก็มีข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมส่งมาเรื่อยๆ มีมาจากทั้งฝรั่งเศส และ จีนรวมถึงหลักๆคือ ออสเตรเลียเอง ความยากก็คือตำแหน่งที่ตั้งอยู่ไกลมาก เครื่องบินบินไปถึงใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง ขากลับอีก ทำให้เครื่องบินลำนึงมีเวลาค้นหาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ขนาดเครื่องบินเมื่อเทียบกับบริเวณที่ตั้ง มีคนคำนวณไว้เล่นๆว่าเหมือนกับหา เมล็ดข้าว 1 เมล็ดในสนามฟุตบอล 60 สนาม( 1 เมล็ดนี่คำนวณจากเครื่องบินเต็มลำด้วยครับ ไม่ใช่ชิ้นส่วนอย่างที่จริงๆแล้วเป็น) เรือที่ส่งไปก็พึ่งจะเดินทางถึงเมื่อวัน 2 วันนี้
แต่สิ่งที่ช่วยให้ค้นหาเจอคือเทคนิคที่เรียกว่า Pseudo-Doppler Direction Finding ซึ่งไม่เคยมีใครใช้มาก่อนกับการหาเครื่องบินและมีความซับซ้อนพอสมควร ต้องนำข้อมูลจากวัตถุอื่นๆที่ปรากฏในradarและเรามีข้อมูลเกี่ยวกับมันเช่นทิศทาง ความเร็ว มาร่วมประมวลผล จนสุดท้ายสามารถวิเคราะห์ทิศทางของเครื่องบินได้ว่าน่าจะอยู่ใน southern corridor และค้นหาจนเจอเครื่องบินในที่สุดครับ
เพิ่มเติมอื่นๆ
สำหรับคนที่สงสัยว่าเป็นฝีมือนักบินหรือนักบินผู้ช่วยรึเปล่า ข้อมูลที่เรามีคือ นักบินเป็นคนที่จริงจังกับการเป็นนักบิน และรักการขับเครื่องบินมาก ถึงกับซื้อ simulator ชุดใหญ่ รวมทั้งชอบไปให้ข้อมูลในเว็บไซต์simเครื่องบินต่างๆด้วย ตัวนักบินผู้ช่วยเองเป็นลูกของข้าราชการระดับสูง ครอบครัวภูมิใจมากที่ตัวเค้าได้เป็นนักบิน รวมถึงกำลังจะแต่งงานกับแฟนสาว ที่เป็นนักบินของ Air Asia ในอีก 6 เดือนข้างหน้า จึงไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรที่จะก่อเหตุรุนแรงได้นอกเหนือจากโดน hijack
สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่าเรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆครับ มีหลายฝ่าย หลายประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง หลังๆนี่มาเลเซียแทบจะไม่มีบทบาทด้วยซ้ำนอกจากประสานงาน ทีมที่ค้นหาใน southern corridor มากจาก ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน อินเดีย อเมริกา รวมถึงมีเรือสินค้าจากนอร์เวย์อีก เพราะงั้นมาเลจะปิดบังอะไรคงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยครับ หลังจากนี้แล้ว จีนกำลังส่งเรือรบเข้าไปเพิ่มเติม ทางเยอรมันกับฝรั่งเศสก็ประกาศว่าจะส่งเรือดำน้ำเข้าไปที่จุดเกิดเหตุทันทีที่ระบุตำแหน่งที่แน่นอนได้ และเนื่องจากเป็นเครื่องบินที่ผลิตและมีใช้งานในอเมริกาหน่วยงานของอเมริกาทั้ง NTSB และ FAA ก็มีหน้าที่"ตามกฏหมาย"ที่จะต้องสืบสวนจนรู้สาเหตุครับ
นอนก่อนแล้วครับดึกเกิน ตรงไหนผิดพลาดขอเชิญท่านอื่นเพิ่มเติม/แก้ไข้ให้ด้วยละกันนะครับไม่ได้เช็คซ้ำ อยากรู้อะไรเพิ่มเติมลองถามได้ครับ หรือไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากกระทู้ comprehensive timeline ใน reddit.com ได้ครับ MrGandW กับ de-facto-idiot อัพเดทข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ยืนยันได้ติดต่อกันตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน
http://www.reddit.com/r/news/comments/21890i/comprehensive_timeline_malaysia_airlines_flight/
ตื่นแล้วมามาupdateเพิ่มให้นิดหน่อยครับ สรุปตอนนี้ 11.15 ประกาศอย่างเป็นทางการจาก รัฐมนตรีกลาโหมของออสเตรเลียบอกว่ายังไม่เจอซาก แต่เห็นด้วยกับผลการสรุปของมาเลเซียที่เครื่องบินตกในทะเล ตอนนี้กำลังเตรียมการจะพาไปญาติไปจุดเก็บกู้(ข่าวใช้คำว่าrecovery site ไหนบอกว่าไม่เจอ - -) เมื่อวานตอนประมาณ 6 โมงเย็นมีการประกาศว่าเรือ HMAS Success กำลังเข้าถึงบริเวณที่มีการพบเห็นวัตถุ(แต่ยังไม่ยืนยันว่าเป็นของ MH370)และน่าจะเก็บชิ้นส่วนได้ในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า หรือภายในช่วงโมงข้างหน้านี้เลย แล้ว 2 ทุ่มมีการประกาศฉุกเฉินเรื่องยืนยันเครื่องบินตกไม่มีผู้รอดชีวิต... สับสนแบบนี้แหละครับขนาดอาศัยข่าวจาก Press Conferenceเท่านั้น คนที่ตามข่าวนี้มาจะเข้าใจ 555
เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อสรุปนะครับ หน่วยงาน Air Accident Investigation Branch ของอังกฤษ นำข้อมูลการส่งสัญญาณที่ได้รับจากบริษัทดาวเทียม Inmarsat โดยคำนวณ Doppler Shift ว่า ถ้าลักษณะของคลื่นสัญญาณมีการบีบตัวหรือขยายตัวกว่าปรกติเล็กน้อยแสดงว่าเครื่องบินกำลังเคลื่อนที่เข้าหาหรือออกจาก latitude 64.5 องศาซึ่งเป็นตำแหน่งของดาวเทียม Inmarsat หลังจากยืนยันข้อมูลได้แน่นอนแล้วว่าคลื่นมีลักษณะบีบตัวเล็กน้อย ทำให้สรุปได้ว่าตำแหน่งสุดท้ายของเครื่องบินอยู่ใน Southern Corridor แน่นอน
คำอธิบายต่อจากนี้ทางฝั่งมาเลเซียอาศัยข้อมูลจากหลายๆฝ่ายทั้ง AAIB Boeing และอื่นๆ สรุปว่า ตำแหน่งที่เครื่องบินบินอยู่และพิสัยที่จะบินต่อไปจนเชื้อเพลิงหมดอยู่กลางทะเลซึ่งไม่ใกล้กับพื้นที่ใดๆเลยที่จะสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัย การพยายามลงจอดหรือตกลงในทะเลที่คลื่นลมแรงที่สุดแห่งนึงในโลก (บริเวณนี้ถูกเรียกว่า Roaring Forties) รวมทั้งยังอากาศหนาวเย็นและมีน้ำแข็งอีกด้วย ทำให้ถึงแม้ว่าผู้โดยสารบางคนจะรอดชีวิตจากการตก(โอกาสน้อยมากๆด้วยตัวเองอยู่แล้ว) ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้จนถึงวันนี้
ขอแสดงความเสียใจกับญาติๆด้วยครับ วันแรกๆที่ตามข่าวไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ เพราะเชื่อเล็กๆมาตลอดว่าเครื่องบินน่าจะไปทาง Northern Corridor อาจจะมีการเจรจาตัวประกันอยู่เลยปล่อยข่าวลวงหลอกล่อ ข่าวถึงได้สวนทางกันไปมาขนาดนี้
สรุป Timeline และสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับ MH 370 ฮะ
เริ่มแรกเครื่องบินมีมีผู้โดยสาร 227 ชีวิต จาก 14 ประเทศ ส่วนใหญ่ในนั้นเป็นชาวจีน เพราะงั้นเรื่องที่มาเลเซียจะอยู่เงียบๆแอบปิดข่าวคงเป็นไปได้ยากครับ เพราะมีการตรวจสอบจากประเทศพวกนี้อยู่
เวลา เที่ยงคืน 41 นาที เครื่องบินออกเดินทางจาก Kuala Lumpur มีกำหนดลงจอดที่ปักกิ่ง ตอน 6.30
เวลา ตี 1 7 นาที ระบบ ACARS ซึ่งทำหน้าที่ส่งสัญญาณรายงานอัตโนมัติเกี่ยวกับเครื่องบินส่งข้อมูลครั้งสุดท้าย ทุกอย่างปรกติ โดยที่ระบบ ACARS นี่จะส่งข้อมูลทุก 30 นาที เพราะงั้นสรุปได้ว่าระบบ ACARS ถูกปิดหรือเสียหายภายในช่วงเวลา 30 นาทีหลังจากนี้ เรื่องนี้มีประเด็นนิดหน่อยตรงที่ว่ามีผู้เชี่ยวชาญหลายคนออกมาให้ความเห็นว่า Transponder (ตัวส่งสัญญาณ radar) สามารถปิดได้ง่ายๆโดยการกดปุ่มในห้องนักบิน แต่ระบบ ACARS ต้องลงไปที่ส่วนเก็บอุปกรณ์พิเศษซึ่งอยู่นอกห้องนักบิน โดยนักบินทั่วไปไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะปิด ACARS ต้องทำยังไง ส่วนใหญ่ต้องเป็นวิศวกรที่มีหน้าที่ซ่อมแซมโดยเฉพาะมากกว่า (แต่ก็ไม่แปลกมากนักถ้านักบินที่มีประสบการณ์สูงจะรู้เรื่องนี้)
เวลา ตี 1 19 นาที ผู้ช่วยนักบิน Fariq Abdul Hamid พูดกับหอควบคุมที่มาเลเซียว่า All right, good night เพราะกำลังจะออกนอกน่านฟ้ามาเลเซีย ตรงจุดนี้เครื่องบินจะต้องติดต่อกับหอควบคุมเวียดนามเพื่อเดินทางต่อไป แต่ไม่มีการติดต่อเกิดขึ้น ตรงส่วนนี้เป็นจุดที่น่าสงสัยเพราะว่ามันดูบังเอิญเกินไปหน่อยที่ทั้ง ACARS ทั้ง Transponder หายไปในช่วงพอดีเหมือนกับมีการจงใจให้เกิดขึ้น (รัฐบาลมาเลเซียประกาศอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันแรกๆแล้วครับว่า มี deliberate action ไม่ว่าจะเป็นการhijack หรือ การจงใจของลูกเรือเอง เพราะงั้นใครที่ยังคิดว่ามาเลเซียจงใจทำให้เป็นอุบัติเหตุแล้วปล่อยหายก็ปิดประเด็นได้เลย)
เวลา ตี 1 21 นาที Transponder ถูกปิด
Transponder คืออุปกรณ์ส่งสัญญาณบนเครื่องบินที่มีหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลว่าเครื่องบินรหัสอะไร บินอยู่ที่ความสูงเท่าไหร่ พอปิดไปแล้ว Radar ของหอควบคุมก็จะมองเห็นเป็นแค่จุดจุดนึง โดยที่ไม่เห็นข้อมูลรายละเอียด (ประเด็นที่ว่าทำไม Transponder ถึงปิดได้ มีคนให้ความเห็นไว้ว่า อุปกรณ์electronicsของเครื่องบินทุกอย่างสามารถปิดได้หมด เผื่อกรณีเกิดช็อตจะได้ปิดระบบเพื่อควบคุมหรือกันไม่ให้เกิดไฟไหม้)
เวลา ตี1 28 นาที มีการตรวจการเคลื่อนไหวผิดปรกติของเครื่องบิน โดยมีการไต่ระดับไปที่ความสูง 45,000 ft (ระดับการบินปรกติอยู่ที่ประมาณ 32,000ฟุต) และมีการเลี้ยวกลับลำไปทางมาเลเซีย
ในส่วนนี้มีนักบินมาเล่าไว้ว่าที่ระดับความสูง 45,000 ft สามารถเสียชีวิตได้ในเวลาไม่กี่นาทีถ้าถูกexpose แต่ในความเป็นจริงแล้วเครื่องบินมีระบบปรับความดันไว้อยู่ถึงแม้จะขึ้นไปที่ระดับ 45,000ft ระดับความดันในห้องโดยสารจะขยับจากเสมือนความสูง 6,000ft ไปที่ 8,000ft(ตัวเลขไม่ชัวนะครับ อ่านเมื่อหลายวันที่แล้ว) เพราะงั้นผู้โดยสารอาจจะรู้สึกไม่สบายแต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต ยกเว้นเครื่องบินจะค้างที่ระดับความสูง 45,000 ft นานมากๆ ส่วนประเด็นเรื่องที่จะเป็นเหมือน Helios Airways คือระบบปรับความดันเสียถูกตัดทิ้งออกไปเพราะหลังจากเกิดเหตุกับ Helios มีการติดตั้งระบบเตือนไว้ในห้องนักบินตั้งแต่เนิ่นๆพอเริ่มลดปุ๊บก็เตือน นักบินมีเวลามากกว่า 30 นาทีก่อนที่จะถึงระดับหมดสติและเสียชีวิต
ขอเสริมประเด็นเรื่องที่ทำไม Radar ไทยหรือมาเลมองไม่เห็นได้ยังไงเครื่องบินทั้งลำ ในจุดนี้ผู้เชี่ยวชาญด้าน Radar บอกไว้ว่า หลังจากปิด Transponder แล้วระบบ primary radar ไม่สามารถใช้งานได้ ต้องใช้ secondary radar คือส่งสัญญาณไปพอเจอวัตถุสะท้อนกลับก็จะเห็นได้ ทีนี้พอไม่มีข้อมูลจาก Transponder radar ก็จะเป็นวัตถุเป็นแค่จุดจุดนึง(blip of data) ซึ่งไม่สามารถบอกได้ด้วยซ้ำว่าเป็นอะไรอาจจะเป็นแค่บอลลูน หรือเคยมีแม้แต้กรณีที่มองเห็นรถบรรทุกบนทางด่วนด้วยซ้ำ ที่นี้ตัว blip of data นี้วันๆนึงมีมหาศาล ประเทศเราที่จริงๆแล้วไม่ได้จะรบอะไรกับใครขนาดนั้นก็มักจะปล่อยผ่านไป เพราะเห็นเป็นเหตุการณ์ปกติ + วกกลับไปที่น่านฟ้ามาเลเซียด้วยจึงไม่มีประเด็นที่ต้องเป็นห่วง พอวันหลังๆมีการร้องขอข้อมูลอย่างละเอียด ไทยเลยวิเคราะห์ raw data อีกทีจึงพบว่า blip of data ทีเห็นนั้น "น่าจะเป็น MH370"
เวลา ตี 1 37 นาที เครื่องบินลดระดับลงสู่ความสูง 29,500 ft ควรจะมีสัญญาณจากระบบ ACARS แต่ไม่มี พอถึงตี 2 15นาที MH370 ก็หลุดไปจาก Radar ทั้งหมด หลังจากนี้ทีมสืบสวนอาศัยข้อมูลที่ส่งอัตโนมัติทุกชั่วโมงจากเครื่องยนต์ Rolls Royce ไปที่สำนักงานใหญ่ซึ่งมีไว้สำหรับวิเคราะห์เพื่อการซ่อมบำรุงเครื่องบิน
ตอนเช้าเวลา 8 โมง 11 นาที เครื่องยนต์เครื่องบินส่งสัญญาณเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากเรารู้ได้แค่ว่ามีการส่งสัญญาณออกมา และดาวเทียมที่รับสัญญาณได้มีเพียง 2 ดวงเท่านั้น (จะคำนวณตำแหน่งที่แน่นอนได้ต้องใช้ข้อมูลจาก ดาวเทียม 3 ดวง) เรื่องเลยจบลงที่ เครื่องบินอยู่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งใน 2 เส้นนี้ ทางการจึงแบ่งการค้นหาออกเป็น 2 ส่วนเรียกว่า Northern Corridor กับ Southern Corridor
หลังจากทางออสเตรเลียคำนวณทิศทาง รวมทั้งอาศัยข้อมูลจาก National Transport Safety Board ของอเมริกา(ยังไม่เปิดเผยว่าข้อมูลอะไร) เลยกำหนดจุดค้นหาลงเป็นที่ 2,500 ไมล์ทางตะวันตกของ Perth (ระหว่างนี้การค้นหาที่ Northern Corridorก็ยังมีต่อ โดยที่ทางการมาเลเซียบอกว่าให้ความสำคัญเท่ากัน) ในรูปด้านล่างเป็นตำแหน่งที่ทางออสเตรเลียใช้ในการค้นหาโดยอาศัยการคำนวณของกระแสน้ำที่ไหลไปในแต่ละวัน ทำให้จุดค้นหาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
สุดท้ายที่ทำไมอยู่ดีๆหาเจอได้ หลายๆคนสงสัยว่ามาเลเซียแอบทำอะไรรึเปล่า ก็อย่างที่บอกไปครับ เค้าหากันในบริเวณนี้มาหลายวันแล้ว และแต่ละวันก็มีข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมส่งมาเรื่อยๆ มีมาจากทั้งฝรั่งเศส และ จีนรวมถึงหลักๆคือ ออสเตรเลียเอง ความยากก็คือตำแหน่งที่ตั้งอยู่ไกลมาก เครื่องบินบินไปถึงใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง ขากลับอีก ทำให้เครื่องบินลำนึงมีเวลาค้นหาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ขนาดเครื่องบินเมื่อเทียบกับบริเวณที่ตั้ง มีคนคำนวณไว้เล่นๆว่าเหมือนกับหา เมล็ดข้าว 1 เมล็ดในสนามฟุตบอล 60 สนาม( 1 เมล็ดนี่คำนวณจากเครื่องบินเต็มลำด้วยครับ ไม่ใช่ชิ้นส่วนอย่างที่จริงๆแล้วเป็น) เรือที่ส่งไปก็พึ่งจะเดินทางถึงเมื่อวัน 2 วันนี้
แต่สิ่งที่ช่วยให้ค้นหาเจอคือเทคนิคที่เรียกว่า Pseudo-Doppler Direction Finding ซึ่งไม่เคยมีใครใช้มาก่อนกับการหาเครื่องบินและมีความซับซ้อนพอสมควร ต้องนำข้อมูลจากวัตถุอื่นๆที่ปรากฏในradarและเรามีข้อมูลเกี่ยวกับมันเช่นทิศทาง ความเร็ว มาร่วมประมวลผล จนสุดท้ายสามารถวิเคราะห์ทิศทางของเครื่องบินได้ว่าน่าจะอยู่ใน southern corridor และค้นหาจนเจอเครื่องบินในที่สุดครับ
เพิ่มเติมอื่นๆ
สำหรับคนที่สงสัยว่าเป็นฝีมือนักบินหรือนักบินผู้ช่วยรึเปล่า ข้อมูลที่เรามีคือ นักบินเป็นคนที่จริงจังกับการเป็นนักบิน และรักการขับเครื่องบินมาก ถึงกับซื้อ simulator ชุดใหญ่ รวมทั้งชอบไปให้ข้อมูลในเว็บไซต์simเครื่องบินต่างๆด้วย ตัวนักบินผู้ช่วยเองเป็นลูกของข้าราชการระดับสูง ครอบครัวภูมิใจมากที่ตัวเค้าได้เป็นนักบิน รวมถึงกำลังจะแต่งงานกับแฟนสาว ที่เป็นนักบินของ Air Asia ในอีก 6 เดือนข้างหน้า จึงไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรที่จะก่อเหตุรุนแรงได้นอกเหนือจากโดน hijack
สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่าเรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆครับ มีหลายฝ่าย หลายประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง หลังๆนี่มาเลเซียแทบจะไม่มีบทบาทด้วยซ้ำนอกจากประสานงาน ทีมที่ค้นหาใน southern corridor มากจาก ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน อินเดีย อเมริกา รวมถึงมีเรือสินค้าจากนอร์เวย์อีก เพราะงั้นมาเลจะปิดบังอะไรคงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยครับ หลังจากนี้แล้ว จีนกำลังส่งเรือรบเข้าไปเพิ่มเติม ทางเยอรมันกับฝรั่งเศสก็ประกาศว่าจะส่งเรือดำน้ำเข้าไปที่จุดเกิดเหตุทันทีที่ระบุตำแหน่งที่แน่นอนได้ และเนื่องจากเป็นเครื่องบินที่ผลิตและมีใช้งานในอเมริกาหน่วยงานของอเมริกาทั้ง NTSB และ FAA ก็มีหน้าที่"ตามกฏหมาย"ที่จะต้องสืบสวนจนรู้สาเหตุครับ
นอนก่อนแล้วครับดึกเกิน ตรงไหนผิดพลาดขอเชิญท่านอื่นเพิ่มเติม/แก้ไข้ให้ด้วยละกันนะครับไม่ได้เช็คซ้ำ อยากรู้อะไรเพิ่มเติมลองถามได้ครับ หรือไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากกระทู้ comprehensive timeline ใน reddit.com ได้ครับ MrGandW กับ de-facto-idiot อัพเดทข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ยืนยันได้ติดต่อกันตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน
http://www.reddit.com/r/news/comments/21890i/comprehensive_timeline_malaysia_airlines_flight/
ตื่นแล้วมามาupdateเพิ่มให้นิดหน่อยครับ สรุปตอนนี้ 11.15 ประกาศอย่างเป็นทางการจาก รัฐมนตรีกลาโหมของออสเตรเลียบอกว่ายังไม่เจอซาก แต่เห็นด้วยกับผลการสรุปของมาเลเซียที่เครื่องบินตกในทะเล ตอนนี้กำลังเตรียมการจะพาไปญาติไปจุดเก็บกู้(ข่าวใช้คำว่าrecovery site ไหนบอกว่าไม่เจอ - -) เมื่อวานตอนประมาณ 6 โมงเย็นมีการประกาศว่าเรือ HMAS Success กำลังเข้าถึงบริเวณที่มีการพบเห็นวัตถุ(แต่ยังไม่ยืนยันว่าเป็นของ MH370)และน่าจะเก็บชิ้นส่วนได้ในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า หรือภายในช่วงโมงข้างหน้านี้เลย แล้ว 2 ทุ่มมีการประกาศฉุกเฉินเรื่องยืนยันเครื่องบินตกไม่มีผู้รอดชีวิต... สับสนแบบนี้แหละครับขนาดอาศัยข่าวจาก Press Conferenceเท่านั้น คนที่ตามข่าวนี้มาจะเข้าใจ 555
เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อสรุปนะครับ หน่วยงาน Air Accident Investigation Branch ของอังกฤษ นำข้อมูลการส่งสัญญาณที่ได้รับจากบริษัทดาวเทียม Inmarsat โดยคำนวณ Doppler Shift ว่า ถ้าลักษณะของคลื่นสัญญาณมีการบีบตัวหรือขยายตัวกว่าปรกติเล็กน้อยแสดงว่าเครื่องบินกำลังเคลื่อนที่เข้าหาหรือออกจาก latitude 64.5 องศาซึ่งเป็นตำแหน่งของดาวเทียม Inmarsat หลังจากยืนยันข้อมูลได้แน่นอนแล้วว่าคลื่นมีลักษณะบีบตัวเล็กน้อย ทำให้สรุปได้ว่าตำแหน่งสุดท้ายของเครื่องบินอยู่ใน Southern Corridor แน่นอน
คำอธิบายต่อจากนี้ทางฝั่งมาเลเซียอาศัยข้อมูลจากหลายๆฝ่ายทั้ง AAIB Boeing และอื่นๆ สรุปว่า ตำแหน่งที่เครื่องบินบินอยู่และพิสัยที่จะบินต่อไปจนเชื้อเพลิงหมดอยู่กลางทะเลซึ่งไม่ใกล้กับพื้นที่ใดๆเลยที่จะสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัย การพยายามลงจอดหรือตกลงในทะเลที่คลื่นลมแรงที่สุดแห่งนึงในโลก (บริเวณนี้ถูกเรียกว่า Roaring Forties) รวมทั้งยังอากาศหนาวเย็นและมีน้ำแข็งอีกด้วย ทำให้ถึงแม้ว่าผู้โดยสารบางคนจะรอดชีวิตจากการตก(โอกาสน้อยมากๆด้วยตัวเองอยู่แล้ว) ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้จนถึงวันนี้
ขอแสดงความเสียใจกับญาติๆด้วยครับ วันแรกๆที่ตามข่าวไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ เพราะเชื่อเล็กๆมาตลอดว่าเครื่องบินน่าจะไปทาง Northern Corridor อาจจะมีการเจรจาตัวประกันอยู่เลยปล่อยข่าวลวงหลอกล่อ ข่าวถึงได้สวนทางกันไปมาขนาดนี้