Dawn of the Planet of the Apes (2014)
Director : Matt Reeves
Writing : Mark Bomback , Rick Jaffa , Amanda Silver
เรื่องย่อ
10 ปีหลังจากภาคแรก เชื้อไวรัสที่ทดลองในแลปเกิดรั่วไหลกระจายไปทั่วโลก เกิดผู้คนล้มตาย ผู้คนที่รอดเนี่ยล่ะไปคุกคามเหล่าวานรที่อยู่ภายใต้การนำของซีซาร์ ทั้งสองฝ่ายจะเอายังไงล่ะทีนี้ เพื่อไม่ให้เกิดสงครามที่มันสามารถจะเกิดได้ทุกเมื่อ
ความรู้สึกหลังชม
- ดูจบแล้วสำหรับผมยกให้เรื่องนี้เป็น The Best Blockbuster ในครึ่งปีนี้เลย ตอนแรกคิดว่าจะออกแนวแอคชั่น
แต่ไม่เลยภาคนี้กลับดราม่ากว่าภาคแรกซะอีก ภาคแรกกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างวานรกับมนุษย์
แต่ภาคนี้เนื้อหามันใหญ่ขึ้น และเข้มข้นมาก ว่าด้วยการสร้างอารยธรรมของวานร และการล่มสลายของอารยธรรมมนุษย์
อีกทั้งยังมีประเด็นการเมือง ครอบครัว หนังไม่ได้ตัดสินว่าฝ่ายไหนถูกหรือผิด
แต่สะท้อนทุก ๆ ด้านของทั้งสองฝ่ายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ คือเราไม่ได้อยู่ ๆ มาถึงซัดกันเลย
แต่เราเข้าใจทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
- แวบแรกที่ได้ดูหนัง รู้สึกได้เลยว่าเฮ้ย หนังการเมืองนี่หว่า ทุกคนในสังคมมีภูมิหลังที่แตกต่างกันทั้งนั้น
เหมือนซีซาร์อยู่กับมนุษย์มาก่อน ได้รับการเลี้ยงดูจากพระเอกในภาคแรก จึงมองมนุษย์ในด้านบวก
แต่กลับกันโคบา ที่เป็นสัตว์ทดลองในแลป ถูกทารุณกรรมจากมนุษย์ จึงมองมนุษย์ในด้านลบ
เช่นกันในฝั่งมนุษย์มัลคอล์ม ที่จะไปซ่อมเขื่อน ได้เห็นว่าวานรก็ไม่ได้ต่างอะไรจากมนุษย์เลย จึงมองวานรในด้านบวก
แต่เดรย์ฟัสและมนุษย์คนอื่น ๆ ที่อยู่ในศูนย์อพยพ กลับมองว่าวานรเป็นสิ่งอันตราย จึงมองวานรในด้านลบ
มันจึงขัดแย้งกันระหว่างเผ่าพันธุ์ทั้งสอง
หรือแม้แต่ในเผ่าพันธุ์เดียวกันเองในฉากที่ โคบายิงซีซาร์ หรือที่มัลคอล์มขู่ไม่ให้เดรย์ฟัสระเบิดหอคอย
- "การไว้ใจกัน" "การซื่อสัตย์ในคำพูด" เป็นสิ่งสำคัญมากในการเจรจาทั้งสองฝ่าย ฝั่งวานรยอมให้ซ่อมเขื่อน
แต่มีข้อแม้ว่ามนุษย์ห้ามพกปืนเข้ามา ไม่ทันขาดคำซีซาร์พบว่าคาเวอร์พกปืนเข้ามา ทำให้ซีซาร์เกิดความไม่ไว้ใจมนุษย์
แต่ยังโชคดีที่ซีซาร์ยังมองรอบด้าน เห็นด้านดีของมนุษย์
ในฉากที่พระเอกและนางเอกเอายาไปรักษาให้เมียซีซาร์ จึงกลับมาไว้ใจมนุษย์เหมือนเดิม
- ประเด็นครอบครัว เป็นฉากที่เราอินมาก ๆ ถึงกับเสียน้ำตาเลยทีเดียว ทั้งฉากที่ซีซาร์กับลูกชายที่เพิ่งเกิด ฉากระหว่างซีซาร์กับบลูอาย ฉากที่ซีซาร์ดูกล้องวิดีโอ ในฝั่งมนุษย์ก็มีเช่นกันในฉากที่ไอ้แว่นเปิดไอแพทดูลูกชายแล้วร้องไห้ ทั้งนี้ขอยกความดีงามให้กับซีซาร์ (ที่แสดงโดย Andy Serkis) อยากจะปรบมือรัว ๆ กับการแสดงทางสายตาที่ทำให้เราอินและเสียน้ำตาเลยทีเดียว ผมอยากรู้จริง ๆ เวลาได้รางวัลมันจะได้สาขาอะไร 555+
- เราไม่รู้หรอกว่าเค้าเจออะไรมาบาง สังคมเรามันก็สีเทา ๆ นี่ละ มีทั้งดีและเลวปะปนกันไป แต่การที่เราเจอคนนึงคนที่เลว แล้วเราไป "เหมารวม" ว่าคนในสังคมนั้นเลว มันเป็นเรื่องเปราะบางมากที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง
- สุดท้ายสงครามไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลย มีแต่ความสูญเสีย การเจรจาอย่างสันติคือสิ่งที่ควรทำมากกว่า
สรุป ขอยกให้เป็นหนังฟอร์มยักษ์อันดับ 1 ของครึ่งปีนี้ครับ อาจจะไม่รู้สึกบันเทิงมากนักเพราะเนื้อเรื่องเน้นไปทางดราม่าซะ 70 %
แต่มันมีพลังและทำให้เราอินไปกับเนื้อเรื่องจริง ๆ พร้อมกับประเด็นต่าง ๆ ที่แฝงไว้ในเรื่องได้อย่างดี
และการแสดงของซีซาร์ทำเอาน้ำตาไหลรัวเลยทีเดียว
[CR] [เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ] Dawn of the Planet of the Apes - ดราม่าเข้มข้นและจับใจมาก#
Dawn of the Planet of the Apes (2014)
Director : Matt Reeves
Writing : Mark Bomback , Rick Jaffa , Amanda Silver
เรื่องย่อ
10 ปีหลังจากภาคแรก เชื้อไวรัสที่ทดลองในแลปเกิดรั่วไหลกระจายไปทั่วโลก เกิดผู้คนล้มตาย ผู้คนที่รอดเนี่ยล่ะไปคุกคามเหล่าวานรที่อยู่ภายใต้การนำของซีซาร์ ทั้งสองฝ่ายจะเอายังไงล่ะทีนี้ เพื่อไม่ให้เกิดสงครามที่มันสามารถจะเกิดได้ทุกเมื่อ
ความรู้สึกหลังชม
- ดูจบแล้วสำหรับผมยกให้เรื่องนี้เป็น The Best Blockbuster ในครึ่งปีนี้เลย ตอนแรกคิดว่าจะออกแนวแอคชั่น
แต่ไม่เลยภาคนี้กลับดราม่ากว่าภาคแรกซะอีก ภาคแรกกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างวานรกับมนุษย์
แต่ภาคนี้เนื้อหามันใหญ่ขึ้น และเข้มข้นมาก ว่าด้วยการสร้างอารยธรรมของวานร และการล่มสลายของอารยธรรมมนุษย์
อีกทั้งยังมีประเด็นการเมือง ครอบครัว หนังไม่ได้ตัดสินว่าฝ่ายไหนถูกหรือผิด
แต่สะท้อนทุก ๆ ด้านของทั้งสองฝ่ายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ คือเราไม่ได้อยู่ ๆ มาถึงซัดกันเลย
แต่เราเข้าใจทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
- แวบแรกที่ได้ดูหนัง รู้สึกได้เลยว่าเฮ้ย หนังการเมืองนี่หว่า ทุกคนในสังคมมีภูมิหลังที่แตกต่างกันทั้งนั้น
เหมือนซีซาร์อยู่กับมนุษย์มาก่อน ได้รับการเลี้ยงดูจากพระเอกในภาคแรก จึงมองมนุษย์ในด้านบวก
แต่กลับกันโคบา ที่เป็นสัตว์ทดลองในแลป ถูกทารุณกรรมจากมนุษย์ จึงมองมนุษย์ในด้านลบ
เช่นกันในฝั่งมนุษย์มัลคอล์ม ที่จะไปซ่อมเขื่อน ได้เห็นว่าวานรก็ไม่ได้ต่างอะไรจากมนุษย์เลย จึงมองวานรในด้านบวก
แต่เดรย์ฟัสและมนุษย์คนอื่น ๆ ที่อยู่ในศูนย์อพยพ กลับมองว่าวานรเป็นสิ่งอันตราย จึงมองวานรในด้านลบ
มันจึงขัดแย้งกันระหว่างเผ่าพันธุ์ทั้งสอง
หรือแม้แต่ในเผ่าพันธุ์เดียวกันเองในฉากที่ โคบายิงซีซาร์ หรือที่มัลคอล์มขู่ไม่ให้เดรย์ฟัสระเบิดหอคอย
- "การไว้ใจกัน" "การซื่อสัตย์ในคำพูด" เป็นสิ่งสำคัญมากในการเจรจาทั้งสองฝ่าย ฝั่งวานรยอมให้ซ่อมเขื่อน
แต่มีข้อแม้ว่ามนุษย์ห้ามพกปืนเข้ามา ไม่ทันขาดคำซีซาร์พบว่าคาเวอร์พกปืนเข้ามา ทำให้ซีซาร์เกิดความไม่ไว้ใจมนุษย์
แต่ยังโชคดีที่ซีซาร์ยังมองรอบด้าน เห็นด้านดีของมนุษย์
ในฉากที่พระเอกและนางเอกเอายาไปรักษาให้เมียซีซาร์ จึงกลับมาไว้ใจมนุษย์เหมือนเดิม
- ประเด็นครอบครัว เป็นฉากที่เราอินมาก ๆ ถึงกับเสียน้ำตาเลยทีเดียว ทั้งฉากที่ซีซาร์กับลูกชายที่เพิ่งเกิด ฉากระหว่างซีซาร์กับบลูอาย ฉากที่ซีซาร์ดูกล้องวิดีโอ ในฝั่งมนุษย์ก็มีเช่นกันในฉากที่ไอ้แว่นเปิดไอแพทดูลูกชายแล้วร้องไห้ ทั้งนี้ขอยกความดีงามให้กับซีซาร์ (ที่แสดงโดย Andy Serkis) อยากจะปรบมือรัว ๆ กับการแสดงทางสายตาที่ทำให้เราอินและเสียน้ำตาเลยทีเดียว ผมอยากรู้จริง ๆ เวลาได้รางวัลมันจะได้สาขาอะไร 555+
- เราไม่รู้หรอกว่าเค้าเจออะไรมาบาง สังคมเรามันก็สีเทา ๆ นี่ละ มีทั้งดีและเลวปะปนกันไป แต่การที่เราเจอคนนึงคนที่เลว แล้วเราไป "เหมารวม" ว่าคนในสังคมนั้นเลว มันเป็นเรื่องเปราะบางมากที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง
- สุดท้ายสงครามไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลย มีแต่ความสูญเสีย การเจรจาอย่างสันติคือสิ่งที่ควรทำมากกว่า
แต่มันมีพลังและทำให้เราอินไปกับเนื้อเรื่องจริง ๆ พร้อมกับประเด็นต่าง ๆ ที่แฝงไว้ในเรื่องได้อย่างดี
และการแสดงของซีซาร์ทำเอาน้ำตาไหลรัวเลยทีเดียว