*อ่านที่บล็อคง่ายกว่านะเออ*
บทความนี้เป็นบทความที่ยาวที่สุดเท่าที่ผมเคยเขียนมา สำหรับท่านที่หลงกดเข้ามาอ่านแล้วก็ช่วยอ่านให้จบด้วยนะครับ ก่อนอื่นผมอยากจะขอบอกไว้ก่อนว่าจุดประสงค์ในการเขียนบทความนี้นั้น ไม่ใช่เพราะว่าผมรังเกียจการรถไฝว้ หรือเก็บกดเพราะทำงานอยู่ในการรถไฝว้แต่อย่างใด ผมเขียนบทความขึ้นมานั้นก็เพื่อต้องการให้บุคคลที่อยู่ภายนอกองค์กร ได้รับรู้ว่าภายในการรถไฝว้แห่งประเทศชาตินั่นเป็นอย่างไร เละเทะขนาดไหน ผมต้องการให้องค์กรที่ยิ่งใหญ่ของประเทศอย่างการรถไฝว้แห่งประเทศชาติ ปรับปรุงตัวเองและระบบการทำงานเสียใหม่ ให้กลับมาผงาดเป็นองค์กรที่น่าภาคภูมิใจเช่นในอดีต และอยากให้บุคคลากรที่อยู่ในองค์กรไม่ว่าท่านจะเป็นบุคลากรระดับผู้ว่าการรถไฝว้ รองผู้ว่า วิศวกรใหญ่ หัวหน้ากอง หัวหน้าแผนก รึแม้แต่ลูกจ้างชั่วคราว ปรับปรุงตัวเอง ให้รู้จักละอายต่อหน้าที่ ต่อความรับผิดชอบที่ตัวเองควรมี และอยากให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกันปรับปรุงและพัฒนาการรถไฝว้แห่งประเทศชาติ ให้ก้าวหน้าต่อไป ไม่ใช่ถอยหลังลงคลอง เพราะครอบครัวของผมเองก็ทำงานการรถไฝว้มานานมาก ถ้ารวมผมด้วยก็ 4 รุ่นเข้าไปแล้วครับ ตั้งแต่สมัยทวดของผมโน่น เพราะงั้นถ้าเป็นไปได้ ขอให้ช่วยกันแสดงความคิดเห็น แนะในสิ่งที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาให้การรถไฝว้ของเราดีขึ้นกว่าเดิมด้วยครับ (ถ้าผมพิมพ์ผิดหรือใช้คำศัพท์ที่ไม่ควรก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย จะพยายามปรับปรุงครับ
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนากรมรถไฝว้ขึ้นเป็นครั้งแรกในสังกัดกระทรวงโยธาธิการ
การรถไฝว้แห่งประเทศชาติ (ชื่อย่อ: รฟท.; อังกฤษ: State Railway of Thailand ; SRT) เป็นรัฐวิสาหกิจในกระทรวงคมนาคม ทำหน้าที่ดูแลกิจการด้านรถไฝว้ของประเทศไทย มีทางรถไฝว้อยู่ภายใต้ขอบเขตดำเนินการทั้งหมด 4,070 กิโลเมตร
ทางรถไฝว้ในประเทศถูกระเบิดได้รับความเสียหายเป็นอันมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้มีความต้องการกู้เงินจากต่างประเทศ ธนาคารโลกซึ่งเป็นเจ้าหนี้ บีบให้แปรรูปกรมรถไฝว้เป็นรัฐวิสาหกิจในปี 2494 สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และมีการตราพระราชบัญญัติการรถไฝว้แห่งประเทศชาติ พ.ศ. 2494 ขึ้น ส่งผลทำให้ผู้บริหารของกรมรถไฝว้ซึ่งนับเป็นส่วนราชการที่มีบุคลากรที่มีคุณภาพ ที่เดิมเคยเลื่อนตำแหน่งมาเป็นปลัดกระทรวงคมนาคมและมีบทบาทสำคัญในการผลักดันกิจการรถไฝว้ ต้องกลายมาเป็นเพียงแค่ผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ คือ การรถไฝว้แห่งประเทศชาติ เท่านั้น ทำให้ขาดเส้นทางอาชีพที่จะผลักดันความก้าวหน้ากิจการรถไฝว้
รฟท. เป็นรัฐวิสาหกิจของไทยที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนมากที่สุด คือ 7,584 ล้านบาท
ข้อความด้านบนทุกคนสามารถหาอ่านได้ตามเว็บไซค์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการรถไฝว้ฯทั่วไป แต่ข้อความต่อจากนี้ไปเป็นเรื่องโกหกที่ผมแต่ขึ้นเองทั้งหมด และ ไม่มีที่อื่นแน่นอน ผมได้รวบรวมประสบการณ์จากการทำงานในองค์กรนี้ เป็นเวลา 7 ปี รวมกับประสบการณ์ของเจ้าหน้าในองค์กรอีกหลายท่าน รวมถึงพ่อ และปู่ และทวดของผมที่ทำงานอยู่ในองค์กรที่มีชื่อว่าการรถไฝว้แห่งประเทศชาติ และผมไม่ขอพูดถึงเรื่องว่าถ้ามันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นแล้วทำไมขาดทุน ทำไมบริการห่วย ฯลฯ เพราะมันเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินตัวของผม และผมเองก็ไม่ได้มีข้อมูลเชิงลึกของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวมากนัก ผมขอพูดถึงแค่ประสบการณ์ในส่วนของผู้คนสังคม และระบบการทำงานภายในองค์กรของการรถไฝว้ที่ผมเคยเจอมา ที่จริงผมตั้งใจจะเขียนบทความนี้หลังจากเดือนกันยายนปี 57 ไปแล้ว แต่กลายเป็นว่าลงมือเขียนเร็วกว่าที่ตัวเองกำหนดไว้เล็กน้อย เป็นเดือน กรกฎาคม ปี 57 แทน เนื่องจากเกิดเหตุการณ์กรณีลูกจ้างชั่วคราวของการรถไฝว้ข่มขืนแล้วฆ่าน้องแก้มเด็กหญิงวัย 13 ปี บนรถไฝว้ แล้วโยนทิ้งข้างทางตามที่เป็นข่าวดัง ก็เลยถือโอกาศนี้ขอเกาะกระแสนิสนึง เพราะเรื่องที่ผมจะเขียนนี้ไม่เกี่ยวกับน้องแก้มแม้แต่น้อย
เรื่องในองค์กรนี้นั้นมันมีเยอะมากเสียจนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบรรยายจากตรงจุดไหนดี เอาเป็นว่าเริ่มที่จุดที่ผมเริ่มเข้าทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวของการรถไฝว้แห่งประเทศชาติ เคยได้ยินกันไหมครับ ”ลูกจ้างชั่วคราว” บางคนอาจจะเคยบางคนอาจจะไม่เคย และคำว่าลูกจ้างชั่วคราวสำหรับการรถไฝว้แห่งประเทศชาติแล้ว โดยความเห็นส่วนตัวและประสบการณ์ที่ได้ประสบมานั้นผมพบว่าการเป็นลูกจ้างชั่วคราวคือการเป็นบุคคลไร้สมรรถภาพ ถ้าเปรียบกับรถไฝว้ก็รถไฝว้ฟรีชั้น 3 จากสายตาของบุคลากรของการรถไฝว้เอง ลูกจ้างไม่มีสิทธิ์ ลูกจ้างไม่มีเสียง ลูกจ้างไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะได้รับการขึ้นเงินเดือน จนปัจจุบันนี้ลุกจ้างการรถไฝว้ก็ยังคงได้รายได้เท่ากับค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น แต่เรื่องรายได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติแหละนะ เพียงแต่ถ้าเทียบกับลูกจ้างของข้าราชการและรัฐวิสาหกิจอื่นที่เค้ามีเงินเดือนขึ้นกันทุกปีนั้นมันรู้สึกรันทดใจมิใช่น้อย แต่ถ้าแค่ในส่วนของรายได้ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมก็ถือว่ามันเป็นธรรมดีนะ กับงานที่ต้องรับผิดชอบ ถึงมันจะไม่ค่อยเพียงพอสำหรับเลี้ยงลูกก็เถอะแต่ด้วยสิทธิประโยชน์ และสารธารณูประโภคอื่นๆที่รถไฝว้มีให้นั้นก็เพียงพอให้ชาวลูกจ้างฯใช้ชีวิตอยู่ได้ เพราะงั้นถ้าลูกจ้างชั่วคราวของการรถไฝว้ออกมาโวยวายเรื่องรายได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถึงผมจะพอใจแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะพอใจจริงมะครับ แต่การเป็นบุคคลชั้น 3 ของลูกจ้างชั่วคราวของการรถไฝว้ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น เพราะลูกจ้างเป็นบุคคลชั้น 3 ทางความคิดในสายตาของพนักงานทั่วไปด้วย และคำพูดที่ผมมักจะแอบได้ยินบ่อยๆ นั้นก็คือ “ก็แค่ลูกจ้าง” ก็แค่ลูกจ้างจะมีปัญญาทำเหรอ ก็แค่ลูกจ้างอย่าไปสนใจ ก็แค่ลูกจ้างช่างหัวมันปะไร
ยกตัวอย่าง เรื่องที่ 1 ผมทำงานในส่วนงานของพัสดุ ในการรถไฝว้มีคลังอยู่หลายคลังมาก ส่วนที่ผมทำอยู่นั้นเป็นคลังอะไหล่สำหรับซ่อมหัวรถจักร ส่วนจะมีทำไมหลายคลังนัก ผมก็ตอบไม่ได้เช่นกัน รู้แค่ว่าการมีหลายคลังนั้นทำให้ งง ยุ่งยาก ซับซ้อน ล่าช้า แต่อันนั้นไว้พูดที่หลังมันเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินตัวไปหน่อย เอาเรื่องเล็กๆที่เกิดขึ้นกับผมก่อน ผมทำงานพัสดุแล้วก็เริ่มหงุดหงิดกับระบบการจัดการพัสดุที่ใช้อยู่ปัจจุบันมากมาย แอบคิดในใจนิสๆว่านี่พวกมุงเคยเรียนการจัดการโลจิสติกกันมาบ้างมะวะเนี่ย (จริงๆผมก็ไม่เคยเรียนเหมือนกันอ่ะนะ แต่ก็เคยทำงานที่เกี่ยวข้องกับคลังสินค้ามาบ้าง) เพราะระบบที่การรถไฝว้ใช้อยู่นั้นการทำงานมันสับสนมากมาย ทั้งๆที่ส่วนงานที่ผมทำอยู่เป็นเพียงแค่พัสดุย่อยรายการอะไหล่แค่ 3000 กว่ารายการเอง แต่ทั้งการเบิกจ่าย การจัดวาง การทำเอกสาร ขั้นตอนต่างๆ วุ่นวายไปหมด ผมก็เลยจัดการในส่วนที่ผมพอจะทำได้คือผมเขียนโปรแกรมแบบงูๆปลาๆด้วย ไมโครซอร์ฟแอคเซส ขึ้นมาเรียกว่าฐานโปรข้อมูลพัสดุ เป็นข้อมูลของอะไหล่คงคลัง ไม่ขอลงลายละเอียดแล้วกันครับตรงนี้ เขียนเสร็จก็ทดลองใช้ด้วยตัวเองผลก็ออกมาโอเค ช่วยลดปัญหาในการทำงานในส่วนของการจัดเก็บข้อมูลอะไหล่ได้ ทำงานได้รวดเร็วขึ้น ก็เลยเอาไปให้หัวหน้าแผนกดู คำตอบคือ “ไร้สาระระบบเดิมมันก็ดีอยู่แล้ว”ผมก็เลยได้แต่ “ อื่ม ระบบที่ไม่รู้ว่าของวางอยู่ไหน ใครเป็นผู้ใช้ก็ไม่รู้ รายละเอียดก็ไม่รู้ ใครหยิบยืมไปก็ไม่รู้ ใช้แต่ความจำคนทำงานล้วนๆมันก็ช่างเลิศเลอจริงๆนั่นแหละงั้นกูเก็บไว้ใช้คนเดียวแล้วกัน” จนปีรึ 2 ปีที่แล้วได้ การรถไฝว้ได้เริ่มทำระบบโปรแกรมพัสดุขึ้นมาค่าจ้างเขียนโปรแกรมก็เป็นมูลค่าหลายล้านบาท ใช้เวลากว่า 1 ปีปัจจุบันยังเขียนไม่เสร็จนะฮะ อันนี้แอบแค้นส่วนตัวทำไมไม่จ้างกูวะ กูคิดล้านเดียวพอเลยเอ้า ส่วนที่ว่าบริษัทใครเป็นญาติใคร ใครมีเอี่ยว อันนี้ไปสืบกันเอง บอกตง ขรี้เกียจครับ
แล้วก็อีก 1 กรณี หลังจากที่ผมได้นั่งทำงานที่พัสดุได้ซักพักก็มีของหายเกิดขึ้นในห้องที่ผมทำงานอยู่เป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุค ซึ่งโน็ตบุคนี้มันมาร่วมกันกับอะไหบ่ชิ้นใหญ่เบิ้มของหัวรถจักร ซึ่งผมจะไม่ขอบอกหรอกครับว่ามันเป็นอะไหล่ส่วนอิเล็คหรอนิกส์ที่ใช้เพื่อควบคุมไฝว้ฟ้าในหัวรถจักร และน็ตบุคเหล่านั้นมันมีเพื่อใช้เซ็ตระบบการทำงานของมัน ซึ่งอะไหล่ที่บอกไปนั้นได้ขึ้นไปอยู่บนหัวรถจักรนานหลายเดือนแล้วเหลือไว้แค่น็ตบุ๊คเพราะไม่มีใครรู้ว่ามีโน๊ตบุคแถมมาให้กับการซื้ออะไหล่ตัวนี้ด้วย แต่พอมีคนรู้เท่านั้นแห่มาเบิกกันตรึมทั้งที่บางหน่วยงานที่มาเบิกไม่ได้ใช้อะไหล่ตัวนี้ซ่อมด้วยซ้ำไป เพราะมันไม่เกี่ยวกับรูปคดีจึงขอข้ามประเด็นนั้นไปไม่พูดถึงดีกว่านะครับ คือ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คมันหายไป แบบว่าเหลือทิ้งไว้แต่กล่องให้ดูต่างหน้า และข่าวลือที่ออกมานั้นก็เป็นว่า ผมนี่แหละเป็นคนขโมยคอมพิวเตอร์โน็ตบุ๊คไป ยังฮะยังไม่จบ พาลไปถึงว่าของอื่นๆที่มันหายในห้องพัสดุก็คงเพราะผมนี่แหละ ที่ผมแอบได้ยินมาเองกะหูคือประโยคนี้ครับ “ไอ้ลูกจ้างนั่นแหละเอาไปแน่ๆ ของอย่างอื่นมันก็คงเอาไปด้วยแหละ ไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใครคนอื่นในห้องไม่มีใครเอาหรอกมีมันคนเดียวนี่แหละที่เป็นลูกจ้าง” ส่วนผมก็แอบนอยนิสนุง ก็นั่งขออยู่เงียบๆไม่ออกความเห็นแล้วกัน และหัวหน้าแผนกตอนนั้นก็ใช้วิธีให้ทุกคนในห้องหารเงินกันซื้อเครื่องใหม่มาชดใข้ให้รถไฝว้ และผมก็เป็นคนแรกๆที่ควักเงินจ่าย ถึงจะข้องใจเล็กน้อยว่าทำไมไม่สอบสวนกันซะล่ะเอาให้รู้กันไปเลย แถมไม่มีใครสงสัยคนที่เพิ่งย้ายออกจากแผนกไปเลยเรอะ รึว่าไม่มีใครคิดว่ามีผู้ต้องสงสัยคนอื่นเลยเรอะ เพราะห้องพัสดุที่นี่มันแบบ เปิดตลอดใครเดินเข้าออกก็ได้แถมมีบ่อยครั้งไปที่ไม่มีใครอยู่ในห้องเลยอีกตะหาก และจนตอนนี้ก็ยังหาตัวคนร้ายไม่เจอ ส่วนผมก็มาหลุดพ้นจากคำนินทาว่าเป็นขี้ขโมยเพราะบารมีพ่อล้วนๆ ไม่ได้มีการพิสูจย์พยานหลักฐานไดๆทั้งนั้น บังเอิญว่าพ่อผมเป็นทำงานการรถไฝว้เช่นกันและเป็นระดับหัวหน้าแผนก ข่าวลือเลยกลายเป็นว่าเออคงไม่ใช่แล้วล่ะเพราะพ่อมันเป็นหัวหน้าแผนก (ผมไม่เคยโฆษณาฮะว่าพ่อผมเป็นใคร คนรู้ว่าผมมีพ่อเป็นหัวหน้าแผนกก็ตอนคดีนี้แหละ)
http://psychosis-1st.blogspot.com/2014/07/blog-post.html
หมากราบการรถไฝว้แห่งประเทศชาติ
บทความนี้เป็นบทความที่ยาวที่สุดเท่าที่ผมเคยเขียนมา สำหรับท่านที่หลงกดเข้ามาอ่านแล้วก็ช่วยอ่านให้จบด้วยนะครับ ก่อนอื่นผมอยากจะขอบอกไว้ก่อนว่าจุดประสงค์ในการเขียนบทความนี้นั้น ไม่ใช่เพราะว่าผมรังเกียจการรถไฝว้ หรือเก็บกดเพราะทำงานอยู่ในการรถไฝว้แต่อย่างใด ผมเขียนบทความขึ้นมานั้นก็เพื่อต้องการให้บุคคลที่อยู่ภายนอกองค์กร ได้รับรู้ว่าภายในการรถไฝว้แห่งประเทศชาตินั่นเป็นอย่างไร เละเทะขนาดไหน ผมต้องการให้องค์กรที่ยิ่งใหญ่ของประเทศอย่างการรถไฝว้แห่งประเทศชาติ ปรับปรุงตัวเองและระบบการทำงานเสียใหม่ ให้กลับมาผงาดเป็นองค์กรที่น่าภาคภูมิใจเช่นในอดีต และอยากให้บุคคลากรที่อยู่ในองค์กรไม่ว่าท่านจะเป็นบุคลากรระดับผู้ว่าการรถไฝว้ รองผู้ว่า วิศวกรใหญ่ หัวหน้ากอง หัวหน้าแผนก รึแม้แต่ลูกจ้างชั่วคราว ปรับปรุงตัวเอง ให้รู้จักละอายต่อหน้าที่ ต่อความรับผิดชอบที่ตัวเองควรมี และอยากให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกันปรับปรุงและพัฒนาการรถไฝว้แห่งประเทศชาติ ให้ก้าวหน้าต่อไป ไม่ใช่ถอยหลังลงคลอง เพราะครอบครัวของผมเองก็ทำงานการรถไฝว้มานานมาก ถ้ารวมผมด้วยก็ 4 รุ่นเข้าไปแล้วครับ ตั้งแต่สมัยทวดของผมโน่น เพราะงั้นถ้าเป็นไปได้ ขอให้ช่วยกันแสดงความคิดเห็น แนะในสิ่งที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาให้การรถไฝว้ของเราดีขึ้นกว่าเดิมด้วยครับ (ถ้าผมพิมพ์ผิดหรือใช้คำศัพท์ที่ไม่ควรก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย จะพยายามปรับปรุงครับ
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนากรมรถไฝว้ขึ้นเป็นครั้งแรกในสังกัดกระทรวงโยธาธิการ
การรถไฝว้แห่งประเทศชาติ (ชื่อย่อ: รฟท.; อังกฤษ: State Railway of Thailand ; SRT) เป็นรัฐวิสาหกิจในกระทรวงคมนาคม ทำหน้าที่ดูแลกิจการด้านรถไฝว้ของประเทศไทย มีทางรถไฝว้อยู่ภายใต้ขอบเขตดำเนินการทั้งหมด 4,070 กิโลเมตร
ทางรถไฝว้ในประเทศถูกระเบิดได้รับความเสียหายเป็นอันมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้มีความต้องการกู้เงินจากต่างประเทศ ธนาคารโลกซึ่งเป็นเจ้าหนี้ บีบให้แปรรูปกรมรถไฝว้เป็นรัฐวิสาหกิจในปี 2494 สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และมีการตราพระราชบัญญัติการรถไฝว้แห่งประเทศชาติ พ.ศ. 2494 ขึ้น ส่งผลทำให้ผู้บริหารของกรมรถไฝว้ซึ่งนับเป็นส่วนราชการที่มีบุคลากรที่มีคุณภาพ ที่เดิมเคยเลื่อนตำแหน่งมาเป็นปลัดกระทรวงคมนาคมและมีบทบาทสำคัญในการผลักดันกิจการรถไฝว้ ต้องกลายมาเป็นเพียงแค่ผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ คือ การรถไฝว้แห่งประเทศชาติ เท่านั้น ทำให้ขาดเส้นทางอาชีพที่จะผลักดันความก้าวหน้ากิจการรถไฝว้
รฟท. เป็นรัฐวิสาหกิจของไทยที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนมากที่สุด คือ 7,584 ล้านบาท
ข้อความด้านบนทุกคนสามารถหาอ่านได้ตามเว็บไซค์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการรถไฝว้ฯทั่วไป แต่ข้อความต่อจากนี้ไปเป็นเรื่องโกหกที่ผมแต่ขึ้นเองทั้งหมด และ ไม่มีที่อื่นแน่นอน ผมได้รวบรวมประสบการณ์จากการทำงานในองค์กรนี้ เป็นเวลา 7 ปี รวมกับประสบการณ์ของเจ้าหน้าในองค์กรอีกหลายท่าน รวมถึงพ่อ และปู่ และทวดของผมที่ทำงานอยู่ในองค์กรที่มีชื่อว่าการรถไฝว้แห่งประเทศชาติ และผมไม่ขอพูดถึงเรื่องว่าถ้ามันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นแล้วทำไมขาดทุน ทำไมบริการห่วย ฯลฯ เพราะมันเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินตัวของผม และผมเองก็ไม่ได้มีข้อมูลเชิงลึกของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวมากนัก ผมขอพูดถึงแค่ประสบการณ์ในส่วนของผู้คนสังคม และระบบการทำงานภายในองค์กรของการรถไฝว้ที่ผมเคยเจอมา ที่จริงผมตั้งใจจะเขียนบทความนี้หลังจากเดือนกันยายนปี 57 ไปแล้ว แต่กลายเป็นว่าลงมือเขียนเร็วกว่าที่ตัวเองกำหนดไว้เล็กน้อย เป็นเดือน กรกฎาคม ปี 57 แทน เนื่องจากเกิดเหตุการณ์กรณีลูกจ้างชั่วคราวของการรถไฝว้ข่มขืนแล้วฆ่าน้องแก้มเด็กหญิงวัย 13 ปี บนรถไฝว้ แล้วโยนทิ้งข้างทางตามที่เป็นข่าวดัง ก็เลยถือโอกาศนี้ขอเกาะกระแสนิสนึง เพราะเรื่องที่ผมจะเขียนนี้ไม่เกี่ยวกับน้องแก้มแม้แต่น้อย
เรื่องในองค์กรนี้นั้นมันมีเยอะมากเสียจนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบรรยายจากตรงจุดไหนดี เอาเป็นว่าเริ่มที่จุดที่ผมเริ่มเข้าทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวของการรถไฝว้แห่งประเทศชาติ เคยได้ยินกันไหมครับ ”ลูกจ้างชั่วคราว” บางคนอาจจะเคยบางคนอาจจะไม่เคย และคำว่าลูกจ้างชั่วคราวสำหรับการรถไฝว้แห่งประเทศชาติแล้ว โดยความเห็นส่วนตัวและประสบการณ์ที่ได้ประสบมานั้นผมพบว่าการเป็นลูกจ้างชั่วคราวคือการเป็นบุคคลไร้สมรรถภาพ ถ้าเปรียบกับรถไฝว้ก็รถไฝว้ฟรีชั้น 3 จากสายตาของบุคลากรของการรถไฝว้เอง ลูกจ้างไม่มีสิทธิ์ ลูกจ้างไม่มีเสียง ลูกจ้างไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะได้รับการขึ้นเงินเดือน จนปัจจุบันนี้ลุกจ้างการรถไฝว้ก็ยังคงได้รายได้เท่ากับค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น แต่เรื่องรายได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติแหละนะ เพียงแต่ถ้าเทียบกับลูกจ้างของข้าราชการและรัฐวิสาหกิจอื่นที่เค้ามีเงินเดือนขึ้นกันทุกปีนั้นมันรู้สึกรันทดใจมิใช่น้อย แต่ถ้าแค่ในส่วนของรายได้ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมก็ถือว่ามันเป็นธรรมดีนะ กับงานที่ต้องรับผิดชอบ ถึงมันจะไม่ค่อยเพียงพอสำหรับเลี้ยงลูกก็เถอะแต่ด้วยสิทธิประโยชน์ และสารธารณูประโภคอื่นๆที่รถไฝว้มีให้นั้นก็เพียงพอให้ชาวลูกจ้างฯใช้ชีวิตอยู่ได้ เพราะงั้นถ้าลูกจ้างชั่วคราวของการรถไฝว้ออกมาโวยวายเรื่องรายได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถึงผมจะพอใจแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะพอใจจริงมะครับ แต่การเป็นบุคคลชั้น 3 ของลูกจ้างชั่วคราวของการรถไฝว้ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น เพราะลูกจ้างเป็นบุคคลชั้น 3 ทางความคิดในสายตาของพนักงานทั่วไปด้วย และคำพูดที่ผมมักจะแอบได้ยินบ่อยๆ นั้นก็คือ “ก็แค่ลูกจ้าง” ก็แค่ลูกจ้างจะมีปัญญาทำเหรอ ก็แค่ลูกจ้างอย่าไปสนใจ ก็แค่ลูกจ้างช่างหัวมันปะไร
ยกตัวอย่าง เรื่องที่ 1 ผมทำงานในส่วนงานของพัสดุ ในการรถไฝว้มีคลังอยู่หลายคลังมาก ส่วนที่ผมทำอยู่นั้นเป็นคลังอะไหล่สำหรับซ่อมหัวรถจักร ส่วนจะมีทำไมหลายคลังนัก ผมก็ตอบไม่ได้เช่นกัน รู้แค่ว่าการมีหลายคลังนั้นทำให้ งง ยุ่งยาก ซับซ้อน ล่าช้า แต่อันนั้นไว้พูดที่หลังมันเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินตัวไปหน่อย เอาเรื่องเล็กๆที่เกิดขึ้นกับผมก่อน ผมทำงานพัสดุแล้วก็เริ่มหงุดหงิดกับระบบการจัดการพัสดุที่ใช้อยู่ปัจจุบันมากมาย แอบคิดในใจนิสๆว่านี่พวกมุงเคยเรียนการจัดการโลจิสติกกันมาบ้างมะวะเนี่ย (จริงๆผมก็ไม่เคยเรียนเหมือนกันอ่ะนะ แต่ก็เคยทำงานที่เกี่ยวข้องกับคลังสินค้ามาบ้าง) เพราะระบบที่การรถไฝว้ใช้อยู่นั้นการทำงานมันสับสนมากมาย ทั้งๆที่ส่วนงานที่ผมทำอยู่เป็นเพียงแค่พัสดุย่อยรายการอะไหล่แค่ 3000 กว่ารายการเอง แต่ทั้งการเบิกจ่าย การจัดวาง การทำเอกสาร ขั้นตอนต่างๆ วุ่นวายไปหมด ผมก็เลยจัดการในส่วนที่ผมพอจะทำได้คือผมเขียนโปรแกรมแบบงูๆปลาๆด้วย ไมโครซอร์ฟแอคเซส ขึ้นมาเรียกว่าฐานโปรข้อมูลพัสดุ เป็นข้อมูลของอะไหล่คงคลัง ไม่ขอลงลายละเอียดแล้วกันครับตรงนี้ เขียนเสร็จก็ทดลองใช้ด้วยตัวเองผลก็ออกมาโอเค ช่วยลดปัญหาในการทำงานในส่วนของการจัดเก็บข้อมูลอะไหล่ได้ ทำงานได้รวดเร็วขึ้น ก็เลยเอาไปให้หัวหน้าแผนกดู คำตอบคือ “ไร้สาระระบบเดิมมันก็ดีอยู่แล้ว”ผมก็เลยได้แต่ “ อื่ม ระบบที่ไม่รู้ว่าของวางอยู่ไหน ใครเป็นผู้ใช้ก็ไม่รู้ รายละเอียดก็ไม่รู้ ใครหยิบยืมไปก็ไม่รู้ ใช้แต่ความจำคนทำงานล้วนๆมันก็ช่างเลิศเลอจริงๆนั่นแหละงั้นกูเก็บไว้ใช้คนเดียวแล้วกัน” จนปีรึ 2 ปีที่แล้วได้ การรถไฝว้ได้เริ่มทำระบบโปรแกรมพัสดุขึ้นมาค่าจ้างเขียนโปรแกรมก็เป็นมูลค่าหลายล้านบาท ใช้เวลากว่า 1 ปีปัจจุบันยังเขียนไม่เสร็จนะฮะ อันนี้แอบแค้นส่วนตัวทำไมไม่จ้างกูวะ กูคิดล้านเดียวพอเลยเอ้า ส่วนที่ว่าบริษัทใครเป็นญาติใคร ใครมีเอี่ยว อันนี้ไปสืบกันเอง บอกตง ขรี้เกียจครับ
แล้วก็อีก 1 กรณี หลังจากที่ผมได้นั่งทำงานที่พัสดุได้ซักพักก็มีของหายเกิดขึ้นในห้องที่ผมทำงานอยู่เป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุค ซึ่งโน็ตบุคนี้มันมาร่วมกันกับอะไหบ่ชิ้นใหญ่เบิ้มของหัวรถจักร ซึ่งผมจะไม่ขอบอกหรอกครับว่ามันเป็นอะไหล่ส่วนอิเล็คหรอนิกส์ที่ใช้เพื่อควบคุมไฝว้ฟ้าในหัวรถจักร และน็ตบุคเหล่านั้นมันมีเพื่อใช้เซ็ตระบบการทำงานของมัน ซึ่งอะไหล่ที่บอกไปนั้นได้ขึ้นไปอยู่บนหัวรถจักรนานหลายเดือนแล้วเหลือไว้แค่น็ตบุ๊คเพราะไม่มีใครรู้ว่ามีโน๊ตบุคแถมมาให้กับการซื้ออะไหล่ตัวนี้ด้วย แต่พอมีคนรู้เท่านั้นแห่มาเบิกกันตรึมทั้งที่บางหน่วยงานที่มาเบิกไม่ได้ใช้อะไหล่ตัวนี้ซ่อมด้วยซ้ำไป เพราะมันไม่เกี่ยวกับรูปคดีจึงขอข้ามประเด็นนั้นไปไม่พูดถึงดีกว่านะครับ คือ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คมันหายไป แบบว่าเหลือทิ้งไว้แต่กล่องให้ดูต่างหน้า และข่าวลือที่ออกมานั้นก็เป็นว่า ผมนี่แหละเป็นคนขโมยคอมพิวเตอร์โน็ตบุ๊คไป ยังฮะยังไม่จบ พาลไปถึงว่าของอื่นๆที่มันหายในห้องพัสดุก็คงเพราะผมนี่แหละ ที่ผมแอบได้ยินมาเองกะหูคือประโยคนี้ครับ “ไอ้ลูกจ้างนั่นแหละเอาไปแน่ๆ ของอย่างอื่นมันก็คงเอาไปด้วยแหละ ไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใครคนอื่นในห้องไม่มีใครเอาหรอกมีมันคนเดียวนี่แหละที่เป็นลูกจ้าง” ส่วนผมก็แอบนอยนิสนุง ก็นั่งขออยู่เงียบๆไม่ออกความเห็นแล้วกัน และหัวหน้าแผนกตอนนั้นก็ใช้วิธีให้ทุกคนในห้องหารเงินกันซื้อเครื่องใหม่มาชดใข้ให้รถไฝว้ และผมก็เป็นคนแรกๆที่ควักเงินจ่าย ถึงจะข้องใจเล็กน้อยว่าทำไมไม่สอบสวนกันซะล่ะเอาให้รู้กันไปเลย แถมไม่มีใครสงสัยคนที่เพิ่งย้ายออกจากแผนกไปเลยเรอะ รึว่าไม่มีใครคิดว่ามีผู้ต้องสงสัยคนอื่นเลยเรอะ เพราะห้องพัสดุที่นี่มันแบบ เปิดตลอดใครเดินเข้าออกก็ได้แถมมีบ่อยครั้งไปที่ไม่มีใครอยู่ในห้องเลยอีกตะหาก และจนตอนนี้ก็ยังหาตัวคนร้ายไม่เจอ ส่วนผมก็มาหลุดพ้นจากคำนินทาว่าเป็นขี้ขโมยเพราะบารมีพ่อล้วนๆ ไม่ได้มีการพิสูจย์พยานหลักฐานไดๆทั้งนั้น บังเอิญว่าพ่อผมเป็นทำงานการรถไฝว้เช่นกันและเป็นระดับหัวหน้าแผนก ข่าวลือเลยกลายเป็นว่าเออคงไม่ใช่แล้วล่ะเพราะพ่อมันเป็นหัวหน้าแผนก (ผมไม่เคยโฆษณาฮะว่าพ่อผมเป็นใคร คนรู้ว่าผมมีพ่อเป็นหัวหน้าแผนกก็ตอนคดีนี้แหละ)
http://psychosis-1st.blogspot.com/2014/07/blog-post.html