งานที่สนุก อาจจะไม่สบาย งานบางงานเหนื่อย ยิ่งทำกับคนที่จริงจังยิ่งความกดดันสูง
แต่ก็ต้องขอบคุณ เพราะมันทำให้เราเก่งแบบไม่น่าเชื่อจริง ๆ ถ้าเค้าเปิดโอกาสให้เราแสดงศักยภาพพออ่ะนะ
อะไรก็ตาม เราทำคนเดียวไม่ได้ ต้องมีทีม เชื่อมั่น เชื่อใจ ไว้ใจ หัวหน้าทีมอาจจะสำคัญ แต่..ถ้าไม่มีเพื่อนร่วมทีม ความสำคัญของหัวหน้าก็ไม่มีความหมาย
หัวหน้าที่ดีต้องซื้อใจลูกน้องได้ เหมือนกับที่ โค้ชเช ซื้อใจนักกีฬาทีมชาติไทยทุกคนได้ จนพาเทควันโดทีมชาติไทยไปสู่ความสำเร็จดังที่ทุกคนคาดหวัง
ถ้าหัวหน้าไม่ดีจริง สังคม ระบบ มันจะถูกทำลายด้วยตัวของมันเอง เหมือนที่หลายๆคนประสบความล้มเหลวในด้านต่างๆ เพราะความพยายาม และความมั่นใจในทีมเวิร์ก ยังมีไม่มากพอ มั่นใจในตัวเองมากเกินไป
ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างต้องมีความผิดพลาด เพราะทุกๆความผิดพลาด คือบันไดก้าวไปสู่ความสำเร็จ หรือใครจะเถียง ว่าคุณประสบความสำเร็จอย่างสวยงามไม่เคยทำอะไรผิดเลย 😜😜😜😜
ตัวหนูเองเคยทำงานมาหลายที่ตั้งแต่เด็กๆ ป.5-ม.ต้น ทุกๆปิดเทอม ขายผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้ามือสอง ตามตลาดนัดในกรุงเทพฯ
ม.3-ม.5 ช่วยงานNGO เด็กในจังหวัด เป็นสต๊าฟ โครงการต่างๆ
ม.4 อยู่โรงงานน้ำดื่ม เล็กๆ ยกลัง ล้างถัง ส่งน้ำ ตามหมู่บ้าน
ม.6 จัดรายการวิทยุ
จบม.6 เรียนต่อปริญญาตรี ม.รามคำแหง แต่ด้วยสภาพทางบ้านไม่เอื้ออำนวย จึงได้ออกมาทำงานแบบจริงจังอีกครั้ง ช่วงอายุ19 ย่าง 20
ที่แรก ทำงาน เซเว่น แถวๆรามคำแหง1
ทำได้สักพัก ก็ลาออกไปอยู่ร้านเบเกอรี่ แบรนด์ดังของสิงคโปร์ ที่มีสาขาอยู่ทั่วไปในเขตกรุงเทพฯ ที่นี่อยู่นานหน่อยเพราะ ชอบ และรัก ทั้งผู้จัดการ เพื่อนร่วมงาน นิสัยดี น่ารัก อยู่ได้ปีกว่าๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในบริษัท ผู้จัดการ เพื่อนร่วมงานที่รู้ใจกัน ถูกย้ายสาขา บวกกับรู้สึกไม่ค่อยสนุกเท่าเดิมก็ลาออก
ที่ที่ 3 อยู่ร้านกาแฟชื่อดัง ผู้จัดการนิสัยดี น่ารัก แต่รู้สึก ยังไม่ถูกใจ ยังไม่ใช่แนวตัวเอง บวกกับอยู่ไกลบ้าน และเป็นสาขาที่ค่อนข้างขายดี วันหยุดเยอะแต่ไม่ค่อยได้ใช้ ไม่มีเวลาให้พ่อ แม่ ท่านบ่นบ่อย แม่ก็ไม่ค่อยสบายบ่อย จะลามาดูแลท่านก็ลำบาก ก็เลยขอลาออก
และปัจจุบัน กลับมาทำงานอยู่ใกล้บ้าน กลับบ้านบ่อย พ่อ แม่ หลานๆ ครอบครัวมีความสุขมากขึ้น ด้วยความที่เป็นคนรักในการอ่านหนังสือ จะเรียกว่าบ้าก็คงได้ เพราะพยายามอ่านทุกวัน วันละ 1 เล่ม ตั้งแต่สมัยเรียน ประถม (จะขาดไปแค่ช่วง มีบอลเตะ 55) ตอนนี้ก็เลยเป็นพนักงานขายอยู่ร้านหนังสือชื่อดัง ด้วยความที่ได้อยู่กับหนังสือ ได้อ่านหนังสือเยอะ
ตอนนี้เลยมีความฝัน ความหวัง สักวัน อยากมีกิจการเป็นของตัวเองใกล้บ้านในต่างจังหวัด ปีนี้อายุเพิ่ง 22 อยู่ หวังว่า ไม่เกิน 25 คงจะทำได้ ^_^
สำหรับหนูวันนี้ต้องขอบคุณ ครูคนแรก (ป้าของหนูเอง) ที่ช่วยสอนเรื่องการขายตั้งแต่เด็กๆ (ป.5)
ตื่นมาตั้งแต่ ตี 4 ตี 5 มาจัดร้านตามตลาดนัด ทุกๆช่วงปิดเทอมในกรุงเทพฯทั้งที่ขายเสื้อผ้าไม่เป็นสักตัว แต่ป้าสอนเสมอเรื่องความอดทน
แกพูดทุกครั้งหลังจากจัดร้านเสร็จ "เหนื่อยก็พัก หายเหนื่อยแล้วค่อยมาทำใหม่" มันเป็นประโยคที่จำได้ขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้
แกสอนเรื่องการจัดวางร้าน เนื่องจากซอกเล็กๆตามตลาดนัด ไม่เอื้อพอที่จะวางกล่อง ลังใส่ของมากมาย ไม่มากพอที่จะวางแม้แต่เก้าอี้สำหรับนั่งแม้แต่ตัวเดียว แต่แกทำได้ ด้วยการเอาลังใส่ของมาทำเป็นที่นั่ง และสอนว่า ของชิ้นไหนที่เกะกะ เก็บมันซะก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น อย่าให้มันขวางทางเราทำงาน 😊😊😊
ครูคนที่ 2 คือ ผู้จัดการที่ทำงานเก่า (พี่น้อย) เป็นคนแรกที่สอน
เรื่องหลักของการขาย
เรื่องของการจัดเรียงสินค้า เทคนิคยังไงให้ลูกค้ามาซื้อเยอะๆ
เรื่องของการเชียร์สินค้า เพิ่มยอดขาย เรื่องของการวางตัว ซื้อใจลูกน้อง
แกสอนเสมอว่า อยากให้ลูกน้องทำอะไร เราต้องทำก่อน (วันนึงแกถูร้านมากกว่า10 ครั้ง เรียกลูกค้า ชั่วโมงละหลายรอบต่อวัน 555) จนสาขาขายดีติดอันดับ 1-3 ของบริษัท
แกพูดทุกครั้งที่มีพนักงานเข้าออก เพราะงานบริการไม่ค่อยมีคนอยู่นาน แกบอก มาก่อนนับเป็นพี่ มาทีหลังนับเป็นน้อง ทั้งที่ตอนนั้นหนูอายุน้อยที่สุดในที่ทำงาน (อายุ19 ย่าง 20) แต่ต้องยอมให้ทุกคนเรียกพี่ ในฐานะที่กำลังจะขึ้นเป็นหัวหน้าแคชเชียร์ จะให้ทุกคนเชื่อฟัง ต้องเป็นพี่เท่านั้น (ช่วงนั้นหนูเลยต้องปิดบังพ.ศ.เกิดในเฟสบุ๊ค^_^)
พี่น้อยนับว่าเป็นครูที่หนูจะลืมไม่ได้ เพราะแกคือคนที่ทำให้หนูรู้สึกรักในการขาย เพราะงานบริการ การขายของเป็นอะไรที่สนุก แม้จะเจอลูกค้า...เยอะ แต่ถ้าได้เจอลูกค้าดีๆแค่สักคน ต่อวัน มันจะทำให้เรายิ้มหน้าบาน มีความสุขได้ทั้งวัน
พี่น้อยเป็นคนที่มีความอดทนสูง ช่วงแรกๆที่เปิดร้านใหม่ พนักงานประจำร้านยังไม่มี มีแต่คนที่มาช่วยเปิดสาขา พี่น้อยต้องมาทำงานยาวทุกวันตั้งแต่ร้านเปิด 9 โมงเช้า ยัน ห้าทุ่ม เที่ยงคืน ยาวกว่าครึ่งเดือนที่ไม่ได้หยุดเลย
แกมาทำงานพร้อมกับปัญหาที่มีเข้าร้านมาทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่วันกยุดของแกเอง เสียงโทรศพท์จะดังไม่ขาดสาย แม้แต่หนูก็ช่วยไม่ได้ เพราะช่วงนั้นหนูยังเป็นแค่พาสไทม์ ทำเสาร์-อาทิตย์ อยู่เลย แต่ทำไปทำมา 2-3 เดือนรู้สึกสนุกเลยไปทำทุกวัน สุดท้ายพี่น้อยเลยจีบไปอยู่ประจำ เพราะสาขาไม่มีคนประจำจริงๆที่อยู่นาน ส่วนใหญ่มาวัน สองวันพอพักเบรกก็หนีไปเลยไม่กลับมาทำงาน ก็ไม่เข้าสู่วันที่ 3 ก็ไม่มาแล้ว
เพราะงานมันเหนื่อยจริงๆ ยืนทั้งวัน ลูกค้าก็เยอะ มาแต่เช้า เลิกก็ดึก แถมงานมันย่อยมือ ต้องทำเองทุกอย่าง ทั้งงานหน้าร้าน หลังร้าน เอกสาร น้อยคนที่จะทน
แต่ทุกอย่างที่พี่น้อยทำในวันนั้น ยังคงติดตราตรึงใจมาถึงหนูในวันนี้
เวลานี้แม้จะลาออกจากบริษัทมาแล้ว แต่ความรัก ความผูกพัน คำสอน บทเรียนดีๆ ที่ได้มา หนูไม่เคยลืมเลย
ขอบคุณประสบการณ์ที่สอนให้รู้จักเข้มแข็ง และแข็งแกร่งพอที่จะเดินต่อไป
พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ขอแค่วันนี้ดีที่สุดก็พอแล้ว
และหวังว่าสักวันหนึ่งหนูจะทำให้ความฝันที่อยากเป็นเจ้าของกิจการส่วนตัวจะเป็นจริง แล้วหนูจะไม่ลืมที่จะเป็นหัวหน้าที่ดีแบบที่พี่น้อยเป็น บริการลูกค้าด้วยใจรัก รักลูกน้องด้วยความผูกพัน ^_^
พี่น้อยเป็นคนสำคัญที่สุด ที่ทำให้หนูรู้สึกรักในการขาย และถึงแม้จะเป็นลูกน้อง แต่ก็รู้สึกเหมือนตัวเอง ทำงานด้วยจิตสำนึกแห่งการเป็นเจ้าของ รู้สึกรัก ชอบ และสนุกทุกครั้งที่ได้คุยกับลูกค้าทุกๆคน หลายๆแบบ หลายๆความคิด
มันทำให้หนูรู้สึกโลกแคบๆของหนูได้เปิดกว้าง ได้เห็นทั้งด้านมืด และด้านสว่างของใจคน ขอบคุณในงานบริการจากใจจริง ^_^
สิ่งที่ทำให้รู้สึกรักในงานบริการ
แต่ก็ต้องขอบคุณ เพราะมันทำให้เราเก่งแบบไม่น่าเชื่อจริง ๆ ถ้าเค้าเปิดโอกาสให้เราแสดงศักยภาพพออ่ะนะ
อะไรก็ตาม เราทำคนเดียวไม่ได้ ต้องมีทีม เชื่อมั่น เชื่อใจ ไว้ใจ หัวหน้าทีมอาจจะสำคัญ แต่..ถ้าไม่มีเพื่อนร่วมทีม ความสำคัญของหัวหน้าก็ไม่มีความหมาย
หัวหน้าที่ดีต้องซื้อใจลูกน้องได้ เหมือนกับที่ โค้ชเช ซื้อใจนักกีฬาทีมชาติไทยทุกคนได้ จนพาเทควันโดทีมชาติไทยไปสู่ความสำเร็จดังที่ทุกคนคาดหวัง
ถ้าหัวหน้าไม่ดีจริง สังคม ระบบ มันจะถูกทำลายด้วยตัวของมันเอง เหมือนที่หลายๆคนประสบความล้มเหลวในด้านต่างๆ เพราะความพยายาม และความมั่นใจในทีมเวิร์ก ยังมีไม่มากพอ มั่นใจในตัวเองมากเกินไป
ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างต้องมีความผิดพลาด เพราะทุกๆความผิดพลาด คือบันไดก้าวไปสู่ความสำเร็จ หรือใครจะเถียง ว่าคุณประสบความสำเร็จอย่างสวยงามไม่เคยทำอะไรผิดเลย 😜😜😜😜
ตัวหนูเองเคยทำงานมาหลายที่ตั้งแต่เด็กๆ ป.5-ม.ต้น ทุกๆปิดเทอม ขายผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้ามือสอง ตามตลาดนัดในกรุงเทพฯ
ม.3-ม.5 ช่วยงานNGO เด็กในจังหวัด เป็นสต๊าฟ โครงการต่างๆ
ม.4 อยู่โรงงานน้ำดื่ม เล็กๆ ยกลัง ล้างถัง ส่งน้ำ ตามหมู่บ้าน
ม.6 จัดรายการวิทยุ
จบม.6 เรียนต่อปริญญาตรี ม.รามคำแหง แต่ด้วยสภาพทางบ้านไม่เอื้ออำนวย จึงได้ออกมาทำงานแบบจริงจังอีกครั้ง ช่วงอายุ19 ย่าง 20
ที่แรก ทำงาน เซเว่น แถวๆรามคำแหง1
ทำได้สักพัก ก็ลาออกไปอยู่ร้านเบเกอรี่ แบรนด์ดังของสิงคโปร์ ที่มีสาขาอยู่ทั่วไปในเขตกรุงเทพฯ ที่นี่อยู่นานหน่อยเพราะ ชอบ และรัก ทั้งผู้จัดการ เพื่อนร่วมงาน นิสัยดี น่ารัก อยู่ได้ปีกว่าๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในบริษัท ผู้จัดการ เพื่อนร่วมงานที่รู้ใจกัน ถูกย้ายสาขา บวกกับรู้สึกไม่ค่อยสนุกเท่าเดิมก็ลาออก
ที่ที่ 3 อยู่ร้านกาแฟชื่อดัง ผู้จัดการนิสัยดี น่ารัก แต่รู้สึก ยังไม่ถูกใจ ยังไม่ใช่แนวตัวเอง บวกกับอยู่ไกลบ้าน และเป็นสาขาที่ค่อนข้างขายดี วันหยุดเยอะแต่ไม่ค่อยได้ใช้ ไม่มีเวลาให้พ่อ แม่ ท่านบ่นบ่อย แม่ก็ไม่ค่อยสบายบ่อย จะลามาดูแลท่านก็ลำบาก ก็เลยขอลาออก
และปัจจุบัน กลับมาทำงานอยู่ใกล้บ้าน กลับบ้านบ่อย พ่อ แม่ หลานๆ ครอบครัวมีความสุขมากขึ้น ด้วยความที่เป็นคนรักในการอ่านหนังสือ จะเรียกว่าบ้าก็คงได้ เพราะพยายามอ่านทุกวัน วันละ 1 เล่ม ตั้งแต่สมัยเรียน ประถม (จะขาดไปแค่ช่วง มีบอลเตะ 55) ตอนนี้ก็เลยเป็นพนักงานขายอยู่ร้านหนังสือชื่อดัง ด้วยความที่ได้อยู่กับหนังสือ ได้อ่านหนังสือเยอะ
ตอนนี้เลยมีความฝัน ความหวัง สักวัน อยากมีกิจการเป็นของตัวเองใกล้บ้านในต่างจังหวัด ปีนี้อายุเพิ่ง 22 อยู่ หวังว่า ไม่เกิน 25 คงจะทำได้ ^_^
สำหรับหนูวันนี้ต้องขอบคุณ ครูคนแรก (ป้าของหนูเอง) ที่ช่วยสอนเรื่องการขายตั้งแต่เด็กๆ (ป.5)
ตื่นมาตั้งแต่ ตี 4 ตี 5 มาจัดร้านตามตลาดนัด ทุกๆช่วงปิดเทอมในกรุงเทพฯทั้งที่ขายเสื้อผ้าไม่เป็นสักตัว แต่ป้าสอนเสมอเรื่องความอดทน
แกพูดทุกครั้งหลังจากจัดร้านเสร็จ "เหนื่อยก็พัก หายเหนื่อยแล้วค่อยมาทำใหม่" มันเป็นประโยคที่จำได้ขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้
แกสอนเรื่องการจัดวางร้าน เนื่องจากซอกเล็กๆตามตลาดนัด ไม่เอื้อพอที่จะวางกล่อง ลังใส่ของมากมาย ไม่มากพอที่จะวางแม้แต่เก้าอี้สำหรับนั่งแม้แต่ตัวเดียว แต่แกทำได้ ด้วยการเอาลังใส่ของมาทำเป็นที่นั่ง และสอนว่า ของชิ้นไหนที่เกะกะ เก็บมันซะก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น อย่าให้มันขวางทางเราทำงาน 😊😊😊
ครูคนที่ 2 คือ ผู้จัดการที่ทำงานเก่า (พี่น้อย) เป็นคนแรกที่สอน
เรื่องหลักของการขาย
เรื่องของการจัดเรียงสินค้า เทคนิคยังไงให้ลูกค้ามาซื้อเยอะๆ
เรื่องของการเชียร์สินค้า เพิ่มยอดขาย เรื่องของการวางตัว ซื้อใจลูกน้อง
แกสอนเสมอว่า อยากให้ลูกน้องทำอะไร เราต้องทำก่อน (วันนึงแกถูร้านมากกว่า10 ครั้ง เรียกลูกค้า ชั่วโมงละหลายรอบต่อวัน 555) จนสาขาขายดีติดอันดับ 1-3 ของบริษัท
แกพูดทุกครั้งที่มีพนักงานเข้าออก เพราะงานบริการไม่ค่อยมีคนอยู่นาน แกบอก มาก่อนนับเป็นพี่ มาทีหลังนับเป็นน้อง ทั้งที่ตอนนั้นหนูอายุน้อยที่สุดในที่ทำงาน (อายุ19 ย่าง 20) แต่ต้องยอมให้ทุกคนเรียกพี่ ในฐานะที่กำลังจะขึ้นเป็นหัวหน้าแคชเชียร์ จะให้ทุกคนเชื่อฟัง ต้องเป็นพี่เท่านั้น (ช่วงนั้นหนูเลยต้องปิดบังพ.ศ.เกิดในเฟสบุ๊ค^_^)
พี่น้อยนับว่าเป็นครูที่หนูจะลืมไม่ได้ เพราะแกคือคนที่ทำให้หนูรู้สึกรักในการขาย เพราะงานบริการ การขายของเป็นอะไรที่สนุก แม้จะเจอลูกค้า...เยอะ แต่ถ้าได้เจอลูกค้าดีๆแค่สักคน ต่อวัน มันจะทำให้เรายิ้มหน้าบาน มีความสุขได้ทั้งวัน
พี่น้อยเป็นคนที่มีความอดทนสูง ช่วงแรกๆที่เปิดร้านใหม่ พนักงานประจำร้านยังไม่มี มีแต่คนที่มาช่วยเปิดสาขา พี่น้อยต้องมาทำงานยาวทุกวันตั้งแต่ร้านเปิด 9 โมงเช้า ยัน ห้าทุ่ม เที่ยงคืน ยาวกว่าครึ่งเดือนที่ไม่ได้หยุดเลย
แกมาทำงานพร้อมกับปัญหาที่มีเข้าร้านมาทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่วันกยุดของแกเอง เสียงโทรศพท์จะดังไม่ขาดสาย แม้แต่หนูก็ช่วยไม่ได้ เพราะช่วงนั้นหนูยังเป็นแค่พาสไทม์ ทำเสาร์-อาทิตย์ อยู่เลย แต่ทำไปทำมา 2-3 เดือนรู้สึกสนุกเลยไปทำทุกวัน สุดท้ายพี่น้อยเลยจีบไปอยู่ประจำ เพราะสาขาไม่มีคนประจำจริงๆที่อยู่นาน ส่วนใหญ่มาวัน สองวันพอพักเบรกก็หนีไปเลยไม่กลับมาทำงาน ก็ไม่เข้าสู่วันที่ 3 ก็ไม่มาแล้ว
เพราะงานมันเหนื่อยจริงๆ ยืนทั้งวัน ลูกค้าก็เยอะ มาแต่เช้า เลิกก็ดึก แถมงานมันย่อยมือ ต้องทำเองทุกอย่าง ทั้งงานหน้าร้าน หลังร้าน เอกสาร น้อยคนที่จะทน
แต่ทุกอย่างที่พี่น้อยทำในวันนั้น ยังคงติดตราตรึงใจมาถึงหนูในวันนี้
เวลานี้แม้จะลาออกจากบริษัทมาแล้ว แต่ความรัก ความผูกพัน คำสอน บทเรียนดีๆ ที่ได้มา หนูไม่เคยลืมเลย
ขอบคุณประสบการณ์ที่สอนให้รู้จักเข้มแข็ง และแข็งแกร่งพอที่จะเดินต่อไป
พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ขอแค่วันนี้ดีที่สุดก็พอแล้ว
และหวังว่าสักวันหนึ่งหนูจะทำให้ความฝันที่อยากเป็นเจ้าของกิจการส่วนตัวจะเป็นจริง แล้วหนูจะไม่ลืมที่จะเป็นหัวหน้าที่ดีแบบที่พี่น้อยเป็น บริการลูกค้าด้วยใจรัก รักลูกน้องด้วยความผูกพัน ^_^
พี่น้อยเป็นคนสำคัญที่สุด ที่ทำให้หนูรู้สึกรักในการขาย และถึงแม้จะเป็นลูกน้อง แต่ก็รู้สึกเหมือนตัวเอง ทำงานด้วยจิตสำนึกแห่งการเป็นเจ้าของ รู้สึกรัก ชอบ และสนุกทุกครั้งที่ได้คุยกับลูกค้าทุกๆคน หลายๆแบบ หลายๆความคิด
มันทำให้หนูรู้สึกโลกแคบๆของหนูได้เปิดกว้าง ได้เห็นทั้งด้านมืด และด้านสว่างของใจคน ขอบคุณในงานบริการจากใจจริง ^_^