ครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ เมื่อข้าพเจ้าไปจังหวัดเชียงราย...เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น
ข้าพเจ้าขับรถจากกรุงเทพฯไปเชียงราย พักที่สามเหลี่ยมทองคำหนึ่งคืน จากนั้นมุ่งหน้าสู่เป้าหมายต่อไปคือ ดอยแม่สลอง
ระหว่างทางไปดอยแม่สลองนั้น มีไร่ชาแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาบอกปากต่อปากกันว่า สวยงามมาก แม้แต่ละครเรื่อง "มัจจุราชสีน้ำผึ้ง" ที่ออกอากาศทางช่อง 3 เมื่อไม่นานมานี้ ก็ใช้สถานที่ดังกล่าวถ่ายทำละครด้วย
ข้าพเจ้าจึงเข้าเน็ตสอบถามกูรู ซึ่งก็คือ กูเกิ้ล ว่า ไร่ชาฉุยฟง อยู่ที่ไหนและเป็นอย่างไร ได้รับคำตอบหลากหลาย ส่วนใหญ่มักชื่นชม แต่มีบางเว็บไซต์บอกว่า ไร่ชาฉุยฟง มี 2 แห่งๆ หนึ่งอยู่ด้านล่าง และแห่งที่ 2 อยู่บนยอดเขา
เมื่อมีข้อมูลเบื้องต้นดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ออกเดินทางจากอำเภอแม่สาย มุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่มีลูกศรชี้ว่า "ดอยแม่สลอง" เป็นเส้นทางขึ้นเขาประมาณ 32 กิโลเมตร
ตามเส้นทางขึ้นสู่ดอยแม่สลอง ขับรถตรงขึ้นไปตามทาง ประมาณคร่าวๆ 5 กิโลเมตร ก็จะพบป้ายชี้ไปไร่ชาฉุยฟง เลี้ยวขวาเข้าไป จะเป็นเส้นทางลูกรังเข้าสู่ไร่ชา ซึ่งมีวิชาที่ปลูกเป็นขั้นบันไดอย่างสวยงาม สีเขียวขจีเป็นชั้นๆ รถยนต์สามารถขับขึ้นไป ชมวิวข้างบนได้
ข้าพเจ้าขับรถมาจนเกือบถึงทางขึ้น ก็นึกในใจว่า ไร่ชาฉุยฟงด้านล่างยังสวยขนาดนี้ ด้านบนที่จะขึ้นไป ต้องสวยกว่านี้อีกเป็นแน่แท้ ด้วยความโลภที่อยากจะบริโภคอาหารตา จึงกลับรถแล้ววิ่งตรงไปตามเส้นทางขึ้นดอยแม่สลองเช่นเดิม มีจุดหมายปลายทางยังไร่ชาฉุยฟงแห่งที่ 2
ตลอดระยะทางที่วิ่งขึ้นดอยแม่สลองมีฝนตกปรอยๆเป็นระยะๆ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนกลางเดือนกรกฎาคม ทำให้การขับรถจึงต้องระแวดระวังเป็นพิเศษ
เมื่อขับตามเส้นทางมาได้ราวๆ 20 กิโลเมตร ก็จะถึงบ้านอีก้อสามแยก (ด่านตรวจ) แยกซ้ายขึ้นไปดอยแม่สลอง ส่วนแยกทางขวา มีป้ายบอกไปไร่ชาฉุยฟง อีกประมาณ 23 กิโลเมตร โอ้…ไกลเหมือนกันแฮะ นึกในใจ แต่ไหนๆก็ไหนๆ มาถึงขนาดนี้แล้ว จะช้าอยู่ใย ข้าพเจ้าจึงขับไปทางขวา มุ่งสู่เป้าหมายเดิม
เส้นทางที่ไป เป็นทาง 2 เลน ขึ้นเขา-ลงเขา และเป็นเส้นทางที่เลียบภูเขาไปตลอดทาง วิวสวยดี แต่ไม่กล้ามองเท่าไหร่ มีรถยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่รถกระบะขับสวนมาเป็นระยะๆ
ข้าพเจ้าขับรถไปอีกราว 10 กิโลเมตร ก็พบกับหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีชื่อว่า "บ้านเทอดไทย"
บ้านเทอดไทยแห่งนี้ เดิมเรียกว่า “บ้านหินแตก” อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงราย 66 กิโลเมตร ในปี พ.ศ.2511 ขุนส่าเคยเข้ามาใช้เป็นฐานที่มั่นในฐานะผู้นำกองทัพกู้ชาติไต คำว่า “ขุน” เป็นคำที่ประชาชนในรัฐฉานเรียกบุคคลที่ให้ความเคารพนับถือ แต่คนทั่วไปรู้จัก ขุนส่า ในชื่อของ “ราชาเฮโรอีน” ระหว่างปี พ.ศ. 2519-2525 ขุนส่าได้ใช้บ้านหินแตกเป็นฐานที่มั่นอย่างถาวรและกระทำการผิดกฎหมาย จนทางรัฐบาลไทยต้องใช้กำลังผลักดันให้ออกไปจากประเทศไทย คงทิ้งไว้แต่อดีตที่เหลืออยู่ เช่น บ้านพักที่ขุนส่าใช้เป็นศูนย์บัญชาการ นอกจากนี้บ้านเทอดไทยยังเป็นที่อยู่ของชุมชนชาวเขาหลายเผ่า
ข้าพเจ้าขับรถเข้าในบ้านเทอดไทย ระหว่างทางพบเห็นข้อความภาษาจีนติดอยู่ตามบ้านของผู้คน แต่ไม่ทราบความหมาย เพราะอ่านไม่ออก และผู้คนก็มีหน้าตาเหมือนชาวจีน ชาวเขาเสียเป็นส่วนใหญ่
พอขับไปสักพัก ปรากฏว่า ถนนที่เป็นดินลูกรังของหมู่บ้าน กลายเป็นหลุมเป็นบ่อเช่นเดียวกับหลุมในโลกพระจันทร์ก็ไม่ปาน ถนนเสียหายอย่างมาก พังเป็นช่วง ๆ อาจเป็นเพราะมีรถบรรทุก 6 ล้อวิ่งกันขวักไขว่พอสมควร ขอบว่า รถเล็กไม่สามารถวิ่งได้ เพราะถ้าเอามา ช่วงล่างพังแน่ๆครับ ข้าพเจ้าโชคดีที่มากับ "น้องจูน" (ฟอร์จูนเนอร์) พอจะผ่านไปได้ แต่ก็ลำบากลำบนพอควร
หลังจากขับรถท่ามกลางฝนพรำมาหลายชั่วโมง ประกอบกับต้องโยกย้ายส่ายตัวส่ายหัวมากับน้องจูนได้อีกพักใหญ่ ก็เริ่มต้องระบายน้ำออกบ้าง ปวดฉี่เต็มทน จนต้องจอดรถข้างทาง ถามน้องคนหนึ่งหน้าตาเป็นหนุ่มเกาหลีนี่แหละว่า ไร่ชาฉุยฟงไปอีกไกลไหม ? ได้รับคำตอบที่พูดไทยไม่ชัดเหมือนที่ได้ยินชาวเขาทั่วไปในกรุงเทพฯพูดว่า ไม่ไกล แต่ทางดีกว่านี้ ราดยางตลอด...ทำให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อย
หนุ่มคนดังกล่าวบอกว่า ขับรถไปจนสุดเส้นทาง ก็จะเจอไร่ชาฉุยฟงแห่งนี้ ที่อยู่ติดกับเขตประเทศพม่า
พอได้ข้อมูลจนเป็นที่คุ้นกันบ้าง ข้าพเจ้าก็ถือวิสาสะขอเข้าห้องน้ำในบ้านหนุ่มคนนั้น ซึ่งเขาก็ยินดี ซึ่งก็ต้องขอบคุณเขาไว้ด้วย
กลับขึ้นรถอีกครั้ง ไปตามคำแนะนำของหนุ่มคนนั้น ถนนหนทางดีกว่าในหมู่บ้านเทอดไทยก็จริง แต่ตลอดระยะทางที่ขับไป ฝนตกตลอด ทำให้เส้นทางเฉอะแฉะ ยังดีที่เป็นถนน 2 เลน และไม่ค่อยมีรถขับสวนมาเท่าใดนัก
เส้นทางวนไปวนมาตามไหล่เขา เส้นทางข้างหนึ่งติดภูเขา ซึ่งไม่แปลกใจ เมื่อใดที่มีฝนตกหนักมากๆติดต่อกันหลายวัน จะเกิดหินและดินถล่มปิดถนนดังที่เป็นข่าวอยู่เนืองๆ
แต่เส้นทางอีกข้างหนึ่ง จะเห็นภูมิประเทศที่สวยสดงดงาม มีพื้นที่สีเขียวขจีสอดรับกับเม็ดฝนโปรยปรายที่มีสายลมโอบกอด บางช่วงยังมองเห็นการปลูกข้าวขั้นบันไดของชาวดอย
ว่ากันว่าข้าวที่ปลูก เรียกว่า "ข้าวกล้องดอย" เป็นข้าวที่ปลูกเป็นขั้นบันไดในฤดูฝน โดยไม่ต้องรดน้ำ ใส่ปุ๋ย ให้สายฝนทำหน้าที่รดน้ำตามธรรมชาติ พอหมดหน้าฝนก็สามารถเก็บเกี่ยวได้พอดี ข้าวกล้องดอย เม็ดข้าวจะเรียวเกือบกลม เวลาหุงต้องใส่น้ำเยอะ หุงออกมาแล้วจะคล้ายกับข้าวญี่ปุ่นที่ขายกันตามร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไปในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าคิดว่า หากมีการส่งเสริมการปลูกข้าวกล้องดอย แล้วทำการตลาดดีๆ จะช่วยให้ชาวดอยมีรายได้เพิ่มมากขึ้น แทนการนำเข้าข้าวญี่ปุ่นจากประเทศญี่ปุ่นได้ด้วยนะครับ
ข้าพเจ้าขับรถมาได้สักพัก ก็ไม่ถึงไร่ชาเสียที ผ่านบ้านที่ปลูกไว้รายทาง พบผู้เฒ่าคนหนึ่ง จึงแวะถามทางอีก ผู้เฒ่าส่ายหน้า พูดอะไรฟังไม่ออก แต่เข้าใจได้ว่า คงฟังภาษาไทยไม่ออกนั่นเอง จึงเดินทางต่อไป พบเด็กสาวอีกคนหนึ่ง กางร่มเดินอยู่ริมถนน ถามว่า รู้จักไร่ชาฉุยฟังไหมครับ เธอตอบไม่ชัดว่า รู้จัก ถามอีกว่า ไปอีกไกลไหม เธอว่า ไม่ไกลอีกนิดเดียว
โล่งอกอีกไม่นานก็ถึงแล้ว ข้าพเจ้าจึงพาน้องจูนไปด้วยความหวัง ขับไปเรื่อยๆ....
ขับไปเรื่อยๆๆๆๆ....
ขับไปอีกๆๆๆๆๆ....
ขับไปๆๆๆๆ....
ไม่เห็นจะถึงสักที นึกในใจที่มีคนบอกว่า กิโลเมตรของเรา กับกิโลแม้ว มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เขาบอกว่าใกล้นิดเดียว แต่ไกล ไกล๊ ไกลของเรา....
ข้าพเจ้าขับรถมาจนถึงหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง ชื่อ หมู่บ้านพญาไพร ทางด้านขวามือเห็นป้ายขึ้นเขาสูง เขียนว่า ไร่ชาฉุยฟง หัวใจลิงโลดขึ้นมาทันที จึงหยุดรถ เลื่อนกระจกลง แหงนหน้ามองขึ้นไป... (ต้องแหงนหน้ามองน่ะครับ ลองคิดดู)
เจอเส้นทางลาดปูนเส้นเดียวขึ้นเขาไป หัวใจที่ลิงโลดเต้นแรง ตุ๊บ...ตุ๊บ...แทบจะหลุดออกมานอกอกตกลงดิน เพราะเส้นทางดังกล่าว รถวิ่งได้เลนเดียว สวนทางไม่ได้ ทั้งที่เป็นเส้นทางขึ้นเขา
ใจหนึ่งบอกว่า กลับเหอะ ไปดอยแม่สลองเลยดีกว่าว่ะ ไม่คุ้มที่จะเสี่ยง.....
อีกใจหนึ่งบอก มาถึงขนาดนี้แล้ว จะกลับง่ายๆหรือว่ะ อีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ถ้ากลับตอนนี้ ก็เท่ากับเสียเวลามาเกือบครึ่งวัน ก็สูญเปล่า
จะเอายังไง...
ติ๊ก…ต่อกๆๆๆ
เอาว่ะ...ชีวิตคนเราหนึ่งชีวิต มีอะไรที่มันตื่นเต้นเสียบ้าง ชีวิตจะได้มีรสชาติ
ว่าแล้ว ข้าพเจ้าก็ขึ้นรถ วนขึ้นเขามาสัก 10 เมตร….เอ…หรือว่าจะไม่ขึ้นดีว่ะ ถอยหลังกลับตอนนี้ยังทันนี่หว่า แล้วเขาเกียร์ถอยหลัง
เฮ้ย…ซวยแล้วไหมล่ะ ดันมีรถกระบะสีเงินคันหนึ่ง วนขึ้นเขามาจ่อท้ายรถข้าพเจ้า เหมือนเอาปืนมาจี้หลังข้าพเจ้าให้ต้องเดินหน้าขึ้นไป ถอยหลังกลับไม่ได้ จำใจต้องขับรถขึ้นเขาไปเสียแล้ว
ระหว่างทางขึ้นเขา ข้าพเจ้ามองขึ้นไปบนเส้นทางว่า จะมีรถสวนลงมาหรือไม่ ถ้าสวนลงมาจะทำอย่างไร ก็นึกในใจอยู่ตลอด ข้างทางมองลงไปเห็นแต่เหวอยู่ข้างๆ ลองนึกดูครับ ขับรถเลนเดียว ข้างๆเป็นเหว หวาดเสียวขนาดไหน พลาดตกลงไปก็จบเห่...
ข้าพเจ้าขับรถขึ้นไปได้ประมาณ 100 เมตรกว่า ก็พบทางแยกเป็นฐานปฏิบัติการของทหารอยู่ด้านบน กระบะคันที่ตามรถข้าพเจ้ามา คงเป็นรถของทหาร เพราะเลี้ยวเข้าไปในฐานปฏิบัติการดังกล่าว ข้าพเจ้ามองตามเส้นทางข้างหน้าไปไร่ชาฉุยฟง เห็นเส้นทางยิ่งแคบลงๆเรื่อยๆ จึงจอดรถ ลงไปถามชาวบ้านแถวนั้นว่า รถเข้าไปได้หรือไม่ และมีทางลงทางอื่นที่ไม่อันตรายเหมือนทางขึ้นมาหรือไม่
คำตอบที่ได้รับจากเด็กหนึ่งคนหนึ่งขับมอเตอร์ไซค์ผ่านมา บอกว่า ไม่มี ขึ้นทางไหน ลงทางนั้น คราวนี้หัวใจไม่เต้นแรงเหมือนเก่า แต่มันฟ่อห่อเหี่ยวเลยครับ
ตัดสินใจจอดรถตรงทางแยกเข้าฐานปฏิบัติการทหาร เปิดเป้คว้ากล้องถ่ายรูปติดมือ ตัดสินใจเดินไปตามทางหาไร่ชาฉุยฟง
ระยะทางอีก 100 เมตร ก็จะพบกับไร่ชาขนาดใหญ่หลายร้อยไร่ เป็นขั้นบันไดเขียวขจี รีบคว้ากล้องถ่ายรูป กดชัตเตอร์เก็บภาพสวยๆไว้หลายรูป ถ่ายให้สมกับที่บุกบ่าฝ่าฟันมาจนถึงที่นี่ได้
จากนั้นรีบเดินกลับไปยังรถ เพื่อลุ้นระทึกกับเส้นทางขากลับ นับ 1-3 สตาร์ทเครื่อง เส้นทางบังคับกลับทางเดิม
รถเข้าเกียร์ต่ำลงเขามาตลอดทาง ตามองไปสุดทางขึ้นว่ามีรถสวนหรือไม่ ขณะเดียวกัน มองข้างทางว่า ถ้ามีรถสวนมา จะแอบรถเราตรงไหนได้บ้าง ไม่ได้มองข้างทางที่เป็นเหวเลย และไม่กล้าหยุดเพื่อถ่ายรูปเหวมาให้ดู เพราะข้าพเจ้าลุ้นระทึกไปตลอด จนกระทั่งลงถึงหมู่บ้านพญาไพรจนได้ และมุ่งหน้าไปสู่ดอยแม่สลองต่อไป
นี่ถ้าไม่มีรถกระบะทหารคันนั้น คงไม่มี "นักบุกเบิก" ไร่ชาฉุยฟงแห่งที่ 2 คนนี้หรอกนะครับ
ชาคริต เพชรอินทร์
Facebook : ข้าวคำน้ำขัน
สุดระทึกใจเมื่อไปไร่ชาฉุยฟง
ข้าพเจ้าขับรถจากกรุงเทพฯไปเชียงราย พักที่สามเหลี่ยมทองคำหนึ่งคืน จากนั้นมุ่งหน้าสู่เป้าหมายต่อไปคือ ดอยแม่สลอง
ระหว่างทางไปดอยแม่สลองนั้น มีไร่ชาแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาบอกปากต่อปากกันว่า สวยงามมาก แม้แต่ละครเรื่อง "มัจจุราชสีน้ำผึ้ง" ที่ออกอากาศทางช่อง 3 เมื่อไม่นานมานี้ ก็ใช้สถานที่ดังกล่าวถ่ายทำละครด้วย
ข้าพเจ้าจึงเข้าเน็ตสอบถามกูรู ซึ่งก็คือ กูเกิ้ล ว่า ไร่ชาฉุยฟง อยู่ที่ไหนและเป็นอย่างไร ได้รับคำตอบหลากหลาย ส่วนใหญ่มักชื่นชม แต่มีบางเว็บไซต์บอกว่า ไร่ชาฉุยฟง มี 2 แห่งๆ หนึ่งอยู่ด้านล่าง และแห่งที่ 2 อยู่บนยอดเขา
เมื่อมีข้อมูลเบื้องต้นดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ออกเดินทางจากอำเภอแม่สาย มุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่มีลูกศรชี้ว่า "ดอยแม่สลอง" เป็นเส้นทางขึ้นเขาประมาณ 32 กิโลเมตร
ตามเส้นทางขึ้นสู่ดอยแม่สลอง ขับรถตรงขึ้นไปตามทาง ประมาณคร่าวๆ 5 กิโลเมตร ก็จะพบป้ายชี้ไปไร่ชาฉุยฟง เลี้ยวขวาเข้าไป จะเป็นเส้นทางลูกรังเข้าสู่ไร่ชา ซึ่งมีวิชาที่ปลูกเป็นขั้นบันไดอย่างสวยงาม สีเขียวขจีเป็นชั้นๆ รถยนต์สามารถขับขึ้นไป ชมวิวข้างบนได้
ข้าพเจ้าขับรถมาจนเกือบถึงทางขึ้น ก็นึกในใจว่า ไร่ชาฉุยฟงด้านล่างยังสวยขนาดนี้ ด้านบนที่จะขึ้นไป ต้องสวยกว่านี้อีกเป็นแน่แท้ ด้วยความโลภที่อยากจะบริโภคอาหารตา จึงกลับรถแล้ววิ่งตรงไปตามเส้นทางขึ้นดอยแม่สลองเช่นเดิม มีจุดหมายปลายทางยังไร่ชาฉุยฟงแห่งที่ 2
ตลอดระยะทางที่วิ่งขึ้นดอยแม่สลองมีฝนตกปรอยๆเป็นระยะๆ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนกลางเดือนกรกฎาคม ทำให้การขับรถจึงต้องระแวดระวังเป็นพิเศษ
เมื่อขับตามเส้นทางมาได้ราวๆ 20 กิโลเมตร ก็จะถึงบ้านอีก้อสามแยก (ด่านตรวจ) แยกซ้ายขึ้นไปดอยแม่สลอง ส่วนแยกทางขวา มีป้ายบอกไปไร่ชาฉุยฟง อีกประมาณ 23 กิโลเมตร โอ้…ไกลเหมือนกันแฮะ นึกในใจ แต่ไหนๆก็ไหนๆ มาถึงขนาดนี้แล้ว จะช้าอยู่ใย ข้าพเจ้าจึงขับไปทางขวา มุ่งสู่เป้าหมายเดิม
เส้นทางที่ไป เป็นทาง 2 เลน ขึ้นเขา-ลงเขา และเป็นเส้นทางที่เลียบภูเขาไปตลอดทาง วิวสวยดี แต่ไม่กล้ามองเท่าไหร่ มีรถยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่รถกระบะขับสวนมาเป็นระยะๆ
ข้าพเจ้าขับรถไปอีกราว 10 กิโลเมตร ก็พบกับหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีชื่อว่า "บ้านเทอดไทย"
บ้านเทอดไทยแห่งนี้ เดิมเรียกว่า “บ้านหินแตก” อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงราย 66 กิโลเมตร ในปี พ.ศ.2511 ขุนส่าเคยเข้ามาใช้เป็นฐานที่มั่นในฐานะผู้นำกองทัพกู้ชาติไต คำว่า “ขุน” เป็นคำที่ประชาชนในรัฐฉานเรียกบุคคลที่ให้ความเคารพนับถือ แต่คนทั่วไปรู้จัก ขุนส่า ในชื่อของ “ราชาเฮโรอีน” ระหว่างปี พ.ศ. 2519-2525 ขุนส่าได้ใช้บ้านหินแตกเป็นฐานที่มั่นอย่างถาวรและกระทำการผิดกฎหมาย จนทางรัฐบาลไทยต้องใช้กำลังผลักดันให้ออกไปจากประเทศไทย คงทิ้งไว้แต่อดีตที่เหลืออยู่ เช่น บ้านพักที่ขุนส่าใช้เป็นศูนย์บัญชาการ นอกจากนี้บ้านเทอดไทยยังเป็นที่อยู่ของชุมชนชาวเขาหลายเผ่า
ข้าพเจ้าขับรถเข้าในบ้านเทอดไทย ระหว่างทางพบเห็นข้อความภาษาจีนติดอยู่ตามบ้านของผู้คน แต่ไม่ทราบความหมาย เพราะอ่านไม่ออก และผู้คนก็มีหน้าตาเหมือนชาวจีน ชาวเขาเสียเป็นส่วนใหญ่
พอขับไปสักพัก ปรากฏว่า ถนนที่เป็นดินลูกรังของหมู่บ้าน กลายเป็นหลุมเป็นบ่อเช่นเดียวกับหลุมในโลกพระจันทร์ก็ไม่ปาน ถนนเสียหายอย่างมาก พังเป็นช่วง ๆ อาจเป็นเพราะมีรถบรรทุก 6 ล้อวิ่งกันขวักไขว่พอสมควร ขอบว่า รถเล็กไม่สามารถวิ่งได้ เพราะถ้าเอามา ช่วงล่างพังแน่ๆครับ ข้าพเจ้าโชคดีที่มากับ "น้องจูน" (ฟอร์จูนเนอร์) พอจะผ่านไปได้ แต่ก็ลำบากลำบนพอควร
หลังจากขับรถท่ามกลางฝนพรำมาหลายชั่วโมง ประกอบกับต้องโยกย้ายส่ายตัวส่ายหัวมากับน้องจูนได้อีกพักใหญ่ ก็เริ่มต้องระบายน้ำออกบ้าง ปวดฉี่เต็มทน จนต้องจอดรถข้างทาง ถามน้องคนหนึ่งหน้าตาเป็นหนุ่มเกาหลีนี่แหละว่า ไร่ชาฉุยฟงไปอีกไกลไหม ? ได้รับคำตอบที่พูดไทยไม่ชัดเหมือนที่ได้ยินชาวเขาทั่วไปในกรุงเทพฯพูดว่า ไม่ไกล แต่ทางดีกว่านี้ ราดยางตลอด...ทำให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อย
หนุ่มคนดังกล่าวบอกว่า ขับรถไปจนสุดเส้นทาง ก็จะเจอไร่ชาฉุยฟงแห่งนี้ ที่อยู่ติดกับเขตประเทศพม่า
พอได้ข้อมูลจนเป็นที่คุ้นกันบ้าง ข้าพเจ้าก็ถือวิสาสะขอเข้าห้องน้ำในบ้านหนุ่มคนนั้น ซึ่งเขาก็ยินดี ซึ่งก็ต้องขอบคุณเขาไว้ด้วย
กลับขึ้นรถอีกครั้ง ไปตามคำแนะนำของหนุ่มคนนั้น ถนนหนทางดีกว่าในหมู่บ้านเทอดไทยก็จริง แต่ตลอดระยะทางที่ขับไป ฝนตกตลอด ทำให้เส้นทางเฉอะแฉะ ยังดีที่เป็นถนน 2 เลน และไม่ค่อยมีรถขับสวนมาเท่าใดนัก
เส้นทางวนไปวนมาตามไหล่เขา เส้นทางข้างหนึ่งติดภูเขา ซึ่งไม่แปลกใจ เมื่อใดที่มีฝนตกหนักมากๆติดต่อกันหลายวัน จะเกิดหินและดินถล่มปิดถนนดังที่เป็นข่าวอยู่เนืองๆ
แต่เส้นทางอีกข้างหนึ่ง จะเห็นภูมิประเทศที่สวยสดงดงาม มีพื้นที่สีเขียวขจีสอดรับกับเม็ดฝนโปรยปรายที่มีสายลมโอบกอด บางช่วงยังมองเห็นการปลูกข้าวขั้นบันไดของชาวดอย
ว่ากันว่าข้าวที่ปลูก เรียกว่า "ข้าวกล้องดอย" เป็นข้าวที่ปลูกเป็นขั้นบันไดในฤดูฝน โดยไม่ต้องรดน้ำ ใส่ปุ๋ย ให้สายฝนทำหน้าที่รดน้ำตามธรรมชาติ พอหมดหน้าฝนก็สามารถเก็บเกี่ยวได้พอดี ข้าวกล้องดอย เม็ดข้าวจะเรียวเกือบกลม เวลาหุงต้องใส่น้ำเยอะ หุงออกมาแล้วจะคล้ายกับข้าวญี่ปุ่นที่ขายกันตามร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไปในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าคิดว่า หากมีการส่งเสริมการปลูกข้าวกล้องดอย แล้วทำการตลาดดีๆ จะช่วยให้ชาวดอยมีรายได้เพิ่มมากขึ้น แทนการนำเข้าข้าวญี่ปุ่นจากประเทศญี่ปุ่นได้ด้วยนะครับ
ข้าพเจ้าขับรถมาได้สักพัก ก็ไม่ถึงไร่ชาเสียที ผ่านบ้านที่ปลูกไว้รายทาง พบผู้เฒ่าคนหนึ่ง จึงแวะถามทางอีก ผู้เฒ่าส่ายหน้า พูดอะไรฟังไม่ออก แต่เข้าใจได้ว่า คงฟังภาษาไทยไม่ออกนั่นเอง จึงเดินทางต่อไป พบเด็กสาวอีกคนหนึ่ง กางร่มเดินอยู่ริมถนน ถามว่า รู้จักไร่ชาฉุยฟังไหมครับ เธอตอบไม่ชัดว่า รู้จัก ถามอีกว่า ไปอีกไกลไหม เธอว่า ไม่ไกลอีกนิดเดียว
โล่งอกอีกไม่นานก็ถึงแล้ว ข้าพเจ้าจึงพาน้องจูนไปด้วยความหวัง ขับไปเรื่อยๆ....
ขับไปเรื่อยๆๆๆๆ....
ขับไปอีกๆๆๆๆๆ....
ขับไปๆๆๆๆ....
ไม่เห็นจะถึงสักที นึกในใจที่มีคนบอกว่า กิโลเมตรของเรา กับกิโลแม้ว มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เขาบอกว่าใกล้นิดเดียว แต่ไกล ไกล๊ ไกลของเรา....
ข้าพเจ้าขับรถมาจนถึงหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง ชื่อ หมู่บ้านพญาไพร ทางด้านขวามือเห็นป้ายขึ้นเขาสูง เขียนว่า ไร่ชาฉุยฟง หัวใจลิงโลดขึ้นมาทันที จึงหยุดรถ เลื่อนกระจกลง แหงนหน้ามองขึ้นไป... (ต้องแหงนหน้ามองน่ะครับ ลองคิดดู)
เจอเส้นทางลาดปูนเส้นเดียวขึ้นเขาไป หัวใจที่ลิงโลดเต้นแรง ตุ๊บ...ตุ๊บ...แทบจะหลุดออกมานอกอกตกลงดิน เพราะเส้นทางดังกล่าว รถวิ่งได้เลนเดียว สวนทางไม่ได้ ทั้งที่เป็นเส้นทางขึ้นเขา
ใจหนึ่งบอกว่า กลับเหอะ ไปดอยแม่สลองเลยดีกว่าว่ะ ไม่คุ้มที่จะเสี่ยง.....
อีกใจหนึ่งบอก มาถึงขนาดนี้แล้ว จะกลับง่ายๆหรือว่ะ อีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ถ้ากลับตอนนี้ ก็เท่ากับเสียเวลามาเกือบครึ่งวัน ก็สูญเปล่า
จะเอายังไง...
ติ๊ก…ต่อกๆๆๆ
เอาว่ะ...ชีวิตคนเราหนึ่งชีวิต มีอะไรที่มันตื่นเต้นเสียบ้าง ชีวิตจะได้มีรสชาติ
ว่าแล้ว ข้าพเจ้าก็ขึ้นรถ วนขึ้นเขามาสัก 10 เมตร….เอ…หรือว่าจะไม่ขึ้นดีว่ะ ถอยหลังกลับตอนนี้ยังทันนี่หว่า แล้วเขาเกียร์ถอยหลัง
เฮ้ย…ซวยแล้วไหมล่ะ ดันมีรถกระบะสีเงินคันหนึ่ง วนขึ้นเขามาจ่อท้ายรถข้าพเจ้า เหมือนเอาปืนมาจี้หลังข้าพเจ้าให้ต้องเดินหน้าขึ้นไป ถอยหลังกลับไม่ได้ จำใจต้องขับรถขึ้นเขาไปเสียแล้ว
ระหว่างทางขึ้นเขา ข้าพเจ้ามองขึ้นไปบนเส้นทางว่า จะมีรถสวนลงมาหรือไม่ ถ้าสวนลงมาจะทำอย่างไร ก็นึกในใจอยู่ตลอด ข้างทางมองลงไปเห็นแต่เหวอยู่ข้างๆ ลองนึกดูครับ ขับรถเลนเดียว ข้างๆเป็นเหว หวาดเสียวขนาดไหน พลาดตกลงไปก็จบเห่...
ข้าพเจ้าขับรถขึ้นไปได้ประมาณ 100 เมตรกว่า ก็พบทางแยกเป็นฐานปฏิบัติการของทหารอยู่ด้านบน กระบะคันที่ตามรถข้าพเจ้ามา คงเป็นรถของทหาร เพราะเลี้ยวเข้าไปในฐานปฏิบัติการดังกล่าว ข้าพเจ้ามองตามเส้นทางข้างหน้าไปไร่ชาฉุยฟง เห็นเส้นทางยิ่งแคบลงๆเรื่อยๆ จึงจอดรถ ลงไปถามชาวบ้านแถวนั้นว่า รถเข้าไปได้หรือไม่ และมีทางลงทางอื่นที่ไม่อันตรายเหมือนทางขึ้นมาหรือไม่
คำตอบที่ได้รับจากเด็กหนึ่งคนหนึ่งขับมอเตอร์ไซค์ผ่านมา บอกว่า ไม่มี ขึ้นทางไหน ลงทางนั้น คราวนี้หัวใจไม่เต้นแรงเหมือนเก่า แต่มันฟ่อห่อเหี่ยวเลยครับ
ตัดสินใจจอดรถตรงทางแยกเข้าฐานปฏิบัติการทหาร เปิดเป้คว้ากล้องถ่ายรูปติดมือ ตัดสินใจเดินไปตามทางหาไร่ชาฉุยฟง
ระยะทางอีก 100 เมตร ก็จะพบกับไร่ชาขนาดใหญ่หลายร้อยไร่ เป็นขั้นบันไดเขียวขจี รีบคว้ากล้องถ่ายรูป กดชัตเตอร์เก็บภาพสวยๆไว้หลายรูป ถ่ายให้สมกับที่บุกบ่าฝ่าฟันมาจนถึงที่นี่ได้
จากนั้นรีบเดินกลับไปยังรถ เพื่อลุ้นระทึกกับเส้นทางขากลับ นับ 1-3 สตาร์ทเครื่อง เส้นทางบังคับกลับทางเดิม
รถเข้าเกียร์ต่ำลงเขามาตลอดทาง ตามองไปสุดทางขึ้นว่ามีรถสวนหรือไม่ ขณะเดียวกัน มองข้างทางว่า ถ้ามีรถสวนมา จะแอบรถเราตรงไหนได้บ้าง ไม่ได้มองข้างทางที่เป็นเหวเลย และไม่กล้าหยุดเพื่อถ่ายรูปเหวมาให้ดู เพราะข้าพเจ้าลุ้นระทึกไปตลอด จนกระทั่งลงถึงหมู่บ้านพญาไพรจนได้ และมุ่งหน้าไปสู่ดอยแม่สลองต่อไป
นี่ถ้าไม่มีรถกระบะทหารคันนั้น คงไม่มี "นักบุกเบิก" ไร่ชาฉุยฟงแห่งที่ 2 คนนี้หรอกนะครับ
ชาคริต เพชรอินทร์
Facebook : ข้าวคำน้ำขัน