เพราะ สักกายทิฎฐิ เป็นความเห็นว่ามีสิ่งที่เป็นอัตตาหรือตัวตนอมตะอยู่ในร่างกายของเรา ซึ่งก็หมายถึงความเชื่อว่า จิต หรือ วิญญาณ ของคนเรานี้เป็นอัตตา หรือตัวเราที่เป็นอมตะ ที่ไม่มีวันดับหายไป ถึงแม้ร่างกายจะตายไปแล้ว แต่ว่าสิ่งที่เป็นตัวเรานี้จะไม่หายไป เพราะมันสามารถที่จะเกิดขึ้นมาใหม่ได้ในร่างกายใหม่ (แม้จะจำเรื่องของร่างกายเก่าไม่ได้แล้วก็ตาม) ซึ่งบางคนก็เชื่อว่าจิตหรือวิญญาณนี้จะล่องลอยออกจากร่างที่ตายแล้วเพื่อไปเกิดใหม่ได้ แต่บางคนก็เชื่อว่า จิตหรือวิญญาณนี้ไม่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ แต่กิเลส หรือ กรรม หรืออวิชชาจะไปสร้างจิตที่เป็นเราขึ้นมาได้ในร่างกายใหม่แทน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นความเชื่ออย่างไร มันก็เป็นลักษณะของอัตตาตามที่พราหมณ์สอนทั้งสิ้น ซึ่งความเชื่อนี้เองที่ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางร่างกาย และความเชื่อเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เทวดา นางฟ้า และเรื่องเวรกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้นขึ้นมา และความเชื่อนี้ก็ได้ผสมอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนามาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว
สักกายทิฎฐินี้ พุทธศาสนาจัดว่าเป็นสังโยชน์ (เครื่องผูกจิตไว้ในความทุกข์) ตัวแรก จากทั้งหมด ๑๐ ตัว ซึ่งเป็นความเห็นผิดหยายๆอันดับแรก ที่ชาวพุทธจะต้องทำลายให้ได้ก่อนตัวอื่น (โดยการสร้างสัมมาทิฎฐิให้เกิดขึ้น) ถ้ายังทำลายสักกายทิฎฐิไม่ได้ ก็จะยังไม่รู้จักพุทธศาสนาที่แท้จริงได้ เพราะนี่คือจุดแยกระหว่างพุทธกับพราหมณ์ คือพราหมณ์จะสอนเรื่องว่าจิตเป็นอัตตาที่เวียนว่ายตายเกิดทางร่างกายได้ แต่พุทธจะสอนว่าจิตเป็นอนัตตา คือเป็นการปฏิเสธเรื่องที่ว่าจิตเป็นอัตตาตามที่พราหมณ์สอน จึงไม่ยอมเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางร่างกายเป็นต้นของพราหมณ์ได้ ดังนั้นจึงเป็นความเห็นที่ตรงข้ามกัน ไม่สามารถเข้ากันได้ ถ้าใครยังมีความเห็นว่าจิตเป็นอัตตาอย่างพราหมณ์ จะไม่มีวันรู้จักหรือมีความเห็นที่ถูกต้องอย่างพุทธได้ จะต้องละทิ้งความเชื่อเรื่องจิตเป็นอัตตา แล้วมาศึกษาร่างกายและจิตใจของเราตามที่เป็นอยู่จริง จนเกิดความเข้าใจว่าจิตเป็นอนัตตาก่อน จึงจะเริ่มรู้จักคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าได้
ถ้ายังทำลายสักกายทิฎฐิไม่ได้ จะไม่มีวันได้รู้จักคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าได้
สักกายทิฎฐินี้ พุทธศาสนาจัดว่าเป็นสังโยชน์ (เครื่องผูกจิตไว้ในความทุกข์) ตัวแรก จากทั้งหมด ๑๐ ตัว ซึ่งเป็นความเห็นผิดหยายๆอันดับแรก ที่ชาวพุทธจะต้องทำลายให้ได้ก่อนตัวอื่น (โดยการสร้างสัมมาทิฎฐิให้เกิดขึ้น) ถ้ายังทำลายสักกายทิฎฐิไม่ได้ ก็จะยังไม่รู้จักพุทธศาสนาที่แท้จริงได้ เพราะนี่คือจุดแยกระหว่างพุทธกับพราหมณ์ คือพราหมณ์จะสอนเรื่องว่าจิตเป็นอัตตาที่เวียนว่ายตายเกิดทางร่างกายได้ แต่พุทธจะสอนว่าจิตเป็นอนัตตา คือเป็นการปฏิเสธเรื่องที่ว่าจิตเป็นอัตตาตามที่พราหมณ์สอน จึงไม่ยอมเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางร่างกายเป็นต้นของพราหมณ์ได้ ดังนั้นจึงเป็นความเห็นที่ตรงข้ามกัน ไม่สามารถเข้ากันได้ ถ้าใครยังมีความเห็นว่าจิตเป็นอัตตาอย่างพราหมณ์ จะไม่มีวันรู้จักหรือมีความเห็นที่ถูกต้องอย่างพุทธได้ จะต้องละทิ้งความเชื่อเรื่องจิตเป็นอัตตา แล้วมาศึกษาร่างกายและจิตใจของเราตามที่เป็นอยู่จริง จนเกิดความเข้าใจว่าจิตเป็นอนัตตาก่อน จึงจะเริ่มรู้จักคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าได้