วันนี้ได้ดูข่าวน้องที่โดนกระทำบนรถไฟ แล้วญาติยังติดใจว่ามีคนอื่นร่วมกระทำด้วย ถ้ามีคนร้ายมากกว่าหนึ่งเราจะทราบได้อย่างไร หรือคนร้ายที่จับมาได้เป็นแค่แพะ เพื่อรอให้การปฎิเสธในชั้นศาลว่าไม่ได้ทำ แล้วหลักฐานมันอาจไม่ชัดเจน ทำให้ทั้งแพะและคนร้ายตัวจริงหลุดไปได้
แล้วอะไรจะเป็นหลักประกันในการเอาคนร้ายตัวจริง และคนร้ายทุกคน(กรณีผู้กระทำมากกว่าหนึ่ง)มาลงโทษให้ได้ การเก็บหลักฐานทางนิติเวชเป็นเรื่องสำคัญมากในการไขความจริง หลักฐานในทางทฤษฎีที่สามารถเก็บได้ เช่น คราบเลือดคนร้ายที่อาจติดตามเสื้อผ้าร่างกายผู้เสียหาย เนื้อเยื่อจากใต้เล็บผู้เสียหาย(ข่วนคนร้าย) ขนเพชร เส้นผมที่ติดบนตัวผู้เสียหาย สารคัดหลั่งบนผิวหนังหรือในช่องคลอดหรือทวาร ซึ่งถ้าเก็บได้หมดทุกอย่าง แล้วนำส่งตรวจDNA ไว้ ก็จะช่วยมัดตัวผู้ต้องหาได้ครบทุกราย
ปัญหาคือหลายจังหวัด การตรวจร่างกายคดีข่มขืน ทำโดยแพทย์ทั่วไป ไม่ได้เป็นนิติเวชโดยตรง การเก็บสิ่งต่างๆที่ว่าไม่มีทางเก็บได้ครบทุกอย่าง และไม่สามรถส่ง DNAได้ทุกที่ ดังนั้นนี่คือช่องว่างที่จะมัดตัวคนร้ายได้ ถ้าคนร้ายพลิกลิ้นในชั้นศาล ถ้าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มันไม่แน่นพอ คนร้ายก็อาจหลุด หรือโทษประหารที่หลายคนอยากให้เกิด มันก็ไม่เกิดขึ้น ถ้ายกมาตรฐานตรงนี้ได้ ก็จะช่วยกระบวนการยุติธรรมได้ดีขึ้น
ส่วนกรณีของน้อง ก็หวังว่าจะมีการเก็บหลักฐานไว้อย่างละเอียดที่สุด เพราะเป็นข่าวใหญ่ และคดีอาจมีพลิกเพราะญาติเริ่มสงสัยว่ามีคนร้ายมากกว่าหนึ่ง มีการย้ายตั๋ว ดับไฟ วางผ้าปูใหม่ มันดูเยอะเกินไปที่จะทำได้คนเดียว ถ้าคนผิดมีมากกว่าหนึ่ง DNA ที่ต่างกันในจุดต่างๆที่เก็บจากร่างผู้ถูกละเมิดจะชี้ไปถึงตัวคนร้ายทุกคนได้ แต่ถ้าหลงทางเชื่อแค่คำสารภาพของคนร้ายว่าทำคนเดียว แล้วเก็บหลักฐานแบบไม่ละเอียด คนร้ายตัวจริงอาจหลุดไปก็ได้ครับ
ช่องโหว่ของกระบวนการยุติธรรมเกี่ยวกับคดีข่มขืน
แล้วอะไรจะเป็นหลักประกันในการเอาคนร้ายตัวจริง และคนร้ายทุกคน(กรณีผู้กระทำมากกว่าหนึ่ง)มาลงโทษให้ได้ การเก็บหลักฐานทางนิติเวชเป็นเรื่องสำคัญมากในการไขความจริง หลักฐานในทางทฤษฎีที่สามารถเก็บได้ เช่น คราบเลือดคนร้ายที่อาจติดตามเสื้อผ้าร่างกายผู้เสียหาย เนื้อเยื่อจากใต้เล็บผู้เสียหาย(ข่วนคนร้าย) ขนเพชร เส้นผมที่ติดบนตัวผู้เสียหาย สารคัดหลั่งบนผิวหนังหรือในช่องคลอดหรือทวาร ซึ่งถ้าเก็บได้หมดทุกอย่าง แล้วนำส่งตรวจDNA ไว้ ก็จะช่วยมัดตัวผู้ต้องหาได้ครบทุกราย
ปัญหาคือหลายจังหวัด การตรวจร่างกายคดีข่มขืน ทำโดยแพทย์ทั่วไป ไม่ได้เป็นนิติเวชโดยตรง การเก็บสิ่งต่างๆที่ว่าไม่มีทางเก็บได้ครบทุกอย่าง และไม่สามรถส่ง DNAได้ทุกที่ ดังนั้นนี่คือช่องว่างที่จะมัดตัวคนร้ายได้ ถ้าคนร้ายพลิกลิ้นในชั้นศาล ถ้าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มันไม่แน่นพอ คนร้ายก็อาจหลุด หรือโทษประหารที่หลายคนอยากให้เกิด มันก็ไม่เกิดขึ้น ถ้ายกมาตรฐานตรงนี้ได้ ก็จะช่วยกระบวนการยุติธรรมได้ดีขึ้น
ส่วนกรณีของน้อง ก็หวังว่าจะมีการเก็บหลักฐานไว้อย่างละเอียดที่สุด เพราะเป็นข่าวใหญ่ และคดีอาจมีพลิกเพราะญาติเริ่มสงสัยว่ามีคนร้ายมากกว่าหนึ่ง มีการย้ายตั๋ว ดับไฟ วางผ้าปูใหม่ มันดูเยอะเกินไปที่จะทำได้คนเดียว ถ้าคนผิดมีมากกว่าหนึ่ง DNA ที่ต่างกันในจุดต่างๆที่เก็บจากร่างผู้ถูกละเมิดจะชี้ไปถึงตัวคนร้ายทุกคนได้ แต่ถ้าหลงทางเชื่อแค่คำสารภาพของคนร้ายว่าทำคนเดียว แล้วเก็บหลักฐานแบบไม่ละเอียด คนร้ายตัวจริงอาจหลุดไปก็ได้ครับ