สวัสดีเพื่อนๆห้องบลูทุกคนครับ หลังจากที่ผมแอบซุ้มดูReviewของเพื่อนๆอยู่นานหลายปี ผมก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมน่าจะลองแบ่งปันประสบการณ์การเดินทางของตัวเองให้เพื่อนๆบ้างสักที
ผมคิดอยู่นานว่าเรื่องแรก(หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องเดียวนะ 55) จะเล่าเรื่องไหน และจะเล่าอย่างไรดีถึงจะน่าสนใจและไม่ซ้ำกับเพื่อนๆคนอื่น(เพราะคงสู้เขาไม่ได้) สุดท้าย ในครั้งแรกนี้ผมตัดสินเลือกสถานที่ๆผมเองก็เคยหาข้อมูลใน Pantip มาก่อน แล้วก็พบว่าถึงจะมีคนพูดถึงเยอะ แต่คน Review กลับแทบจะไม่มีซะงั้น และที่ๆผมพูดถึงนั้นก็คือ “หินเรือใบแห่งยอดโมโกจู อุทยานแห่งชาติแม่วงก์” นั้นเองครับ
ส่วนลักษณะการ Review นั้น จริงๆจะเรียกว่า Review ก็อาจจะไม่ถูกต้องนัก น่าจะเรียกว่าบันทึกความทรงจำของผมเสียมากกว่า เพราะผมตั้งใจจะเขียนบรรยายถึงสิ่งที่ผมเห็น ผมได้ยิน ได้สัมผัส และได้รู้สึกผ่านมุมมองของผม แล้วก็จะมีภาพประกอบในส่วนที่ผมสนใจ เหมือนมีกล้อง Gopro ติดหัวผมแล้วพาเพื่อนๆไปเห็นในมุมมองที่ผมได้เห็นครับ ฉะนั้นถ้าใครอยากได้ข้อมูลอะไร ที่เป็นชิ้นเป็นอัน มีสาระ นอกเหนือจากที่ผมเวิ่นเว้อไป ยังไงก็ถามมาได้เลยครับ :]
บันทึกนักเดินทาง : Mokochu A Tu Corazon (โมโกจู...สู่กลางใจเธอ)
Prologue : เมื่อพูดถึง “โมโกจู” แน่นอนว่าหลายคนจะต้องนึกถึง “หินเรือใบ” หินก้อนใหญ่ที่อยู่บนยอดโมโกจู เหมือนเวลาเราพูดถึงฝรั่งเศสแล้วก็จะนึกถึง “หอไอเฟล” หรือ พูดถึงกัมพูชาแล้วก็จะนึกถึง “นครวัด” ตัวผมเองในตอนแรกเลยที่ได้เห็นรูปหินเรือใบจาก google หรือ ฟังคำพรรณนาของนักเดินทางคนอื่นๆถึงความสวยงามของมัน ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่า.....”มันก็แค่หินก้อนนึงที่ตั้งอยู่บนยอดเขาป่ะวะ” ผมไม่ได้มองว่ามันสวยพิเศษอะไรเลยจริงๆนะ แล้วก็คิดไปว่าพวกที่เคยไปมาก่อนนี้ โม้กันเกินจริงไปรึเปล่า .......จนกระทั้งผมได้”ดั้นด้น”(ต้องใช้คำนี้จริงๆ) มาจนถึงบนนี้ ...ทันทีที่ 2 เท้าของผมเหยียบยืนอยู่บนหินเรือใบได้อย่างมั่นคง และ เมื่อสายตาของผม ได้บรรจบกับเส้นขอบที่อยู่ไกลริบๆ...ในชั่วขณะที่ลมภูเขาพัดผ่านร่างของผม..คำตอบทุกอย่างมันชัดเจนไปหมด จนไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม หรือไม่ต้องพูดอะไรด้วยซ้ำ
มีคนเคยบอกว่า “เราจะเห็นแจ่มชัดด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยตา”
ความงามของที่นี่ที่ผมสัมผัสได้ ผมไม่ได้รับรู้ด้วยตาของผมเท่านั้น แต่ผมรับรู้มันผ่านความเย็นชื้นของไอน้ำบนผิวหนัง กลิ่นของป่า เสียงของลมและนก และที่สำคัญที่สุดคือ “เรื่องราว” ตลอดเส้นทางให้ผมมาถึงตรงนี้ ซึ่งผมจะเล่าให้เพื่อนๆฟังต่อจากนี้ มันทำให้ที่นี่เป็นที่ที่แสนพิเศษสำหรับตัวผมซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายทั้งหมดนี้ผ่านตัวอักษรยังไงหมด คงได้แต่ท้าชวนให้เพื่อนๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากให้มาสัมผัสที่นี่กันดูสักครั้งครับ
ออ...ลืมบอกไป คนที่พูดประโยคข้างบนจริงๆแล้วไม่ใช่คนหรอกครับ เขาเป็น “สุนัขป่า” แล้วเขาก็ไม่ได้บอกผมหรอกครับ เขาบอก “เจ้าชายน้อย” :]
[CR] บันทึกนักเดินทาง : โมโกจู A Tu Corazon
ผมคิดอยู่นานว่าเรื่องแรก(หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องเดียวนะ 55) จะเล่าเรื่องไหน และจะเล่าอย่างไรดีถึงจะน่าสนใจและไม่ซ้ำกับเพื่อนๆคนอื่น(เพราะคงสู้เขาไม่ได้) สุดท้าย ในครั้งแรกนี้ผมตัดสินเลือกสถานที่ๆผมเองก็เคยหาข้อมูลใน Pantip มาก่อน แล้วก็พบว่าถึงจะมีคนพูดถึงเยอะ แต่คน Review กลับแทบจะไม่มีซะงั้น และที่ๆผมพูดถึงนั้นก็คือ “หินเรือใบแห่งยอดโมโกจู อุทยานแห่งชาติแม่วงก์” นั้นเองครับ
ส่วนลักษณะการ Review นั้น จริงๆจะเรียกว่า Review ก็อาจจะไม่ถูกต้องนัก น่าจะเรียกว่าบันทึกความทรงจำของผมเสียมากกว่า เพราะผมตั้งใจจะเขียนบรรยายถึงสิ่งที่ผมเห็น ผมได้ยิน ได้สัมผัส และได้รู้สึกผ่านมุมมองของผม แล้วก็จะมีภาพประกอบในส่วนที่ผมสนใจ เหมือนมีกล้อง Gopro ติดหัวผมแล้วพาเพื่อนๆไปเห็นในมุมมองที่ผมได้เห็นครับ ฉะนั้นถ้าใครอยากได้ข้อมูลอะไร ที่เป็นชิ้นเป็นอัน มีสาระ นอกเหนือจากที่ผมเวิ่นเว้อไป ยังไงก็ถามมาได้เลยครับ :]
บันทึกนักเดินทาง : Mokochu A Tu Corazon (โมโกจู...สู่กลางใจเธอ)
Prologue : เมื่อพูดถึง “โมโกจู” แน่นอนว่าหลายคนจะต้องนึกถึง “หินเรือใบ” หินก้อนใหญ่ที่อยู่บนยอดโมโกจู เหมือนเวลาเราพูดถึงฝรั่งเศสแล้วก็จะนึกถึง “หอไอเฟล” หรือ พูดถึงกัมพูชาแล้วก็จะนึกถึง “นครวัด” ตัวผมเองในตอนแรกเลยที่ได้เห็นรูปหินเรือใบจาก google หรือ ฟังคำพรรณนาของนักเดินทางคนอื่นๆถึงความสวยงามของมัน ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่า.....”มันก็แค่หินก้อนนึงที่ตั้งอยู่บนยอดเขาป่ะวะ” ผมไม่ได้มองว่ามันสวยพิเศษอะไรเลยจริงๆนะ แล้วก็คิดไปว่าพวกที่เคยไปมาก่อนนี้ โม้กันเกินจริงไปรึเปล่า .......จนกระทั้งผมได้”ดั้นด้น”(ต้องใช้คำนี้จริงๆ) มาจนถึงบนนี้ ...ทันทีที่ 2 เท้าของผมเหยียบยืนอยู่บนหินเรือใบได้อย่างมั่นคง และ เมื่อสายตาของผม ได้บรรจบกับเส้นขอบที่อยู่ไกลริบๆ...ในชั่วขณะที่ลมภูเขาพัดผ่านร่างของผม..คำตอบทุกอย่างมันชัดเจนไปหมด จนไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม หรือไม่ต้องพูดอะไรด้วยซ้ำ
มีคนเคยบอกว่า “เราจะเห็นแจ่มชัดด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยตา”
ความงามของที่นี่ที่ผมสัมผัสได้ ผมไม่ได้รับรู้ด้วยตาของผมเท่านั้น แต่ผมรับรู้มันผ่านความเย็นชื้นของไอน้ำบนผิวหนัง กลิ่นของป่า เสียงของลมและนก และที่สำคัญที่สุดคือ “เรื่องราว” ตลอดเส้นทางให้ผมมาถึงตรงนี้ ซึ่งผมจะเล่าให้เพื่อนๆฟังต่อจากนี้ มันทำให้ที่นี่เป็นที่ที่แสนพิเศษสำหรับตัวผมซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายทั้งหมดนี้ผ่านตัวอักษรยังไงหมด คงได้แต่ท้าชวนให้เพื่อนๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากให้มาสัมผัสที่นี่กันดูสักครั้งครับ
ออ...ลืมบอกไป คนที่พูดประโยคข้างบนจริงๆแล้วไม่ใช่คนหรอกครับ เขาเป็น “สุนัขป่า” แล้วเขาก็ไม่ได้บอกผมหรอกครับ เขาบอก “เจ้าชายน้อย” :]