จะอะไรนักหนาเรื่อง เดทกับผู้หญิง แล้วต้องจ่ายค่าข้าวให้

สวัสดีครับทุกๆคน
เห็นเยอะมากครับทู้ที่บ่นเรื่อง ไปเดทกับสาวแล้วต้องจ่ายค่าข้าว ค่าหนังให้ แล้วก็มาบ่นต่อว่าไม่เท่าเทียม นู่นนี่ บลาๆๆๆๆ
ขนาดผมเป็นผู้ชายผมยังว่าไม่เหมาะสมเลย ผมเดทกับใครก็แล้วแต่ผมออกให้ทุกอย่าง ก็ตามมารยาทครับ
ผมเคยทดลองครับ เดทครั้งหนึ่งจ่ายให้ทุกอย่าง ผมสังเกตุปฏิกิริยา คือผญเขาก็แอบยิ้มๆ คงประมาณว่า "เออแม่ม สุภาพบุรุษ"
ครั้งที่2 เป็นรุ่นน้อง ตอนนั้นไปจีบ น่ารักมาก พอลองเดท ผมลองเอ่ยปากบอก หารคนครึ่งนะ ผญเขาเงียบกริบเลย...แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจนะ ก็ตกลงกันได้ น้องเขาก็บอก โอเคๆ ได้ๆ แล้วปฏิกิริยาก็เฉยๆ ไม่มีอาการดีใจ หรือยิ้มให้เห็น นี่คือผมลองเปรียบเทียบมาแล้ว

คราวนี้ผมเห็นทู้ในพันทิปแนวนี้เยอะ ผมเลยลองถามเพื่อนๆผญเรื่องนี้ สิ่งที่ได้คือ "ถ้าเลี้ยงมันก็ดีมีมารยาท สุภาพบุรุษ ถ้าไม่เลี้ยงก็เฉยๆ"
ซึ่งจริงครับ ถ้าไม่เลี้ยงข้าวนี่เฉยๆจริงๆ เฉยยยยยยยยยยยเลย
ผมเลยลองมาวิเคราะห์ การที่ผญหรือผชก็แล้วแต่ บอกว่าชายหญิงเท่าเทียมกัน ใช่ครับ สมัยนี้เท่าเทียมกันหมดแล้ว รวมถึงเรื่องเดทด้วย ช ญ เท่าเทียมกัน
แล้วเรื่องเลี้ยงข้าวเลี้ยงหนังตอนเดทเนี่ย ใครบอกไม่เท่าเทียม มันเท่าเทียมกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คือ สิทธิในการคิด การตัดสินใจของฝ่ายชายว่าจะเลี้ยงหรือไม่เลี้ยง ถ้าสมมติว่ามีกฎมาว่า เดททุกครั้งฝ่ายชายต้องเลี้ยงเท่านั้น เออ อันนี้ค่อยมาบ่นสิว่าไม่เท่าเทียม
แต่นี่ไม่ใช่ คุณจะจ่ายหรือไม่จ่ายก็ได้ แต่ที่คุณบ่นกันปาวๆว่าไม่เท่าเทียม ทำไมฝ่ายชายต้องจ่ายล่ะ มันคือค่านิยมครับ ค่านิยมที่คิดว่าถ้าเลี้ยงคือสุภาพบุรุษ บลาๆๆ อะไรก็ว่าไป มันคือค่านิยมทั้งนั้น

แล้วมาขยายความเรื่องค่านิยม ไอ้ที่บอกว่าเลี้ยงแล้วดูเป็นสุภาพบุรุษน่ะ มันก็แค่คำพูดสวยๆครับ ที่จริงไม่ใช่ มันเป็นกุศโลบายที่ให้เชื่อแบบนั้นมานมนาน
เพื่อ ให้ฝ่ายหญิงสามารถวัดความเห็นแก่ตัวของผู้ชายได้ เพราะการเดท มันคือครั้งแรกที่คนสองคนจะใช้เวลาเพียงวันเดียววันแรกที่จะทำความรู้จักกันระยะต้น ว่าจะไปกันได้ไหม เพราะงั้นจึงไม่มีตัวไหนสามารถวัดความเห็นแก่ตัวได้เลย จึงใช้สิ่งนี้เป็นตัววัด

ในกรณีเมื่อก่อนนู้น ถ้าผู้ชายไม่จ่าย ผู้หญิงก็จะแสดงออกเฉยๆเหมือนสมัยนี้แหล่ะ หรือบางคนไม่ชอบอาจจะไม่คบต่อเลย เพราะเมื่อก่อนเขาจะคิดกันว่า "ขนาดข้าว แม่มยังจ่ายแต่ของตัวเอง หนังก็จ่ายแต่ของตัวเอง อะไรแม่มก็รับผิดชอบแต่ของตัวเอง แล้วในอนาคต มันจะรับผิดชอบอะไรตรูบ้างวะ??" นี่ไง นี่คือวิธีความคิดของเมื่อก่อน คือใช้วัดความเห็นแก่ตัว ว่าฝ่ายชายจะเอาแต่ตัวเองรึเปล่าในอนาคต เพราะเวลาวัดมีจำกัดเพียงวันเดียว จึงใช้สิ่งนี้เป็นตัววัดเพราะง่ายที่สุด ถ้าฝ่ายชายแม่มจ่ายให้ฝ่ายหญิง ไม่ต้องมากก็ได้ อย่างแค่เลี้ยงข้าวจานเดียว มันก็เป็นตัววัดระดับต้นละว่า ไม่ได้เอาแต่ตัวเอง แต่ยังมีน้ำใจให้คนอื่นด้วย พอฝ่ายหญิงเห็นแบบนี้ ก็มาละครับ คำว่าเป็นสุภาพบุรุษเอย มีมารยาทเอย บลาๆๆ มาหมด ทั้งๆที่บางคำก็เว่อร์เกิน อย่างบอกว่า ถ้าเลี้ยงข้าวเป็นคนดี...อันนี้ก็เว่อร์ไป

แต่พอมาสมัยนี้ เริ่มมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น ฝ่ายชายบางคนก็เลยเริ่มบ่นไง ผมเลยอยากจะบอกไว้ตามข้างบนว่า ความเท่าเทียมมันมีครับ แต่คุณแค่มองข้าม แล้วไปเอาสิ่งอื่นมากล่าวหาว่าไม่มีความเท่าเทียม.......สวัสดิครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่