หงส์ปีกหัก
ตอนที่ หนึ่ง
ในย่านชุมชนแออัดใจกลางเมือง ไม่น่าเชื่อว่ายังมีความยากจนอันค้นแค้นของคนยากจนชนิดที่เรียกได้ว่าลำบากสาหัสสากันหาเช้ากินค่ำ ที่แทบไม่พอเลี้ยงปากท้องของตนเอง แม้ว่าค่าแรงขั้นต่ำจะสามร้อยบาท แต่ในสังคมนี้ก็ยังมีคนที่มีอาชีพที่ไม่มีการกำหนดค่าแรงที่แน่นอนทำไปวันๆ ให้พอเพียงเพื่อประทังชีวิตได้เงินมาวันหนึ่งๆ อย่างสายใจที่เก็บขยะและของเก่าขายกินวันหนึ่งได้เงินมาเพียงไม่กี่บาท ไหนยังต้องเลี้ยงลูกที่เกิดมาร่วมชะตากรรมอีกหนึ่งคน ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการหาเศษขยะและของเก่า
“โอ้ย...ลำบากจริงโว้ย ชีวิตนี้กว่าจะได้เงินมาแต่ละบาทแต่ละสตางค์เก็บแทบตายได้มาเท่านี้” พลางดูธนบัตรสีแดงในมือสามใบที่ไม่รู้ว่าจะพอให้กินอย่ประทังชีวิตไปวันๆ ของสองแม่ลูกยาจกคู่นี้
“แล้วเอ็งจะไปทำมาหากินอะไร...ความรู้ก็ไม่มี...ผัวติดคุกหัวโต...มีลูกเด็กอีกตั้งคน” หญิงมีอายุคู่สนทนาและร่วมอาชีพเดียวกันกล่าวไปพลางเอาเท้าหยีบขวดน้ำอัดลมพลาสติกที่คุ้นเก็บได้ในถังขยะ
“ฉันบ่นอย่างงี้ทุกวันยังไม่ชินเองหรอพี่” สายใจหันไปพูดใส่ทำหน้ายิ้มแย้ม
“ชินน่ะมันชินอยู่หรอก...แต่เอ็งนะอีสายใจ ข้าได้ยินเอ็งบ่นอย่างงี้ตลอดว่าเงินไม่พอ เงินไม่พอ...เอ็งก็เอาเงินที่ไปเข้าบ่อนเล่นไพ่พนันของเอ็งเอามาเก็บออมมันไม่ดีกว่าหรือไงให้มันเพราๆ บ้างเถอะ” ยายเข่งพูดแบบทีเล่นทีจริง
ยายเข่งยังเตือนอีก “เดี๋ยวก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่เห็นลูกมันได้ดิบได้ดีหรอก”
สายใจที่นิ่งฟังอยู่นาน และยังใคร่คิดตามด้วยย้อนไปว่า “ฉันบ่นนิดเดียว” ทำมือจีบตาม “พี่เทศน์ฉันยังกับเทศน์มหาชาติ”
สายใจนิ่งคิดอีกครู่ “ไอ้ฉันมันความรู้น้อย...ฉันก็อยากส่งเสริมให้นังช้อนมันได้เรียนให้มันเป็นเจ้าคนนายคนอย่างคนอื่นเขา แต่จะให้ทำไงได้ไอ้เรามันมีแค่นี้ให้มันเรียนเท่าที่แม่จนๆ อย่างฉันจะมีปัญญาหาได้...เท่าไหน เท่านั้น” แม่คนเดิมกล่าวเสริมอีก
“ไอ้ช้อนมันหัวไม่ค่อยดี...ตั้งแต่มันเรียนมาเนี่ยนะมันสอบได้แต่เลขสองตัวไม่เคยได้เลขตัวเดียวอย่างลูกพี่นิ...อีกคนลูกนังหมอนอาหารตามสั่ง” ร้านอาหารตามสั่งนังหมอนหรือน้าหมอนที่เด็กๆ ในชุมชนแออัดหรือสลัมกลางกรุงรู้จักดีในความจิตใจดีมีเมตตาหลายครั้งที่สายใจหรือใครหลายมักไปซื้อ จะเรียกให้ถูกบอกว่าไปเชื่อของดีกว่าสำหรับสายใจ ของที่ร้านนี้มิได้ขายแต่อาหารตามสั่ง แต่ยังเปิดร้านโชห่วยให้บริการคนในชุมชนด้วย
“ลูกยัยหมอนวันๆ ไม่เห็นมันทำอะไรป็นชิ้นเป็นอัน มันยังเรียนดีสอบได้เลขขตัวเดียวตลอด...ยังว่าและมันเรียนพิเศษด้วยสมัยนี้...ไอ้ช้อนฉันอย่าหวังเลย” ถอนหายใจพูดก่อนจะโดนยายเข่ง
“เอานั้นมันลูกเขา...ลูกเราเอ็งบอกอยู่นิว่าจะส่งเสียมันสุดความสามารถขของเอ็งนิ...อะไรเมื่อกี้นี้เอ็งยังพูดอยู่เลย” ยายเข่งย้อนมา
“แม่...แม่” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบ ผิวคล่ำ ตาโตหน้าคมเนื้อตัวดูมอมแมมหลังจากการไปวิ่งเล่นอยู่กับ ฉงน เพื่อนต่างเพศห้าวเป้งสุดรัก กว่าเด็กน้อยจะกลับมาก็เกือบจะพลบค่ำ แววตาอันใสซื่อยังคงเรียนมารดาที่ยังคงนอนงัวเงียนไม่รู้ตื่น แต่เมื่อตื่นเท่านั้นและ
“จะเรียนอะไรนักหนาวะ...ข้าจะนอน” สายใจเพลียแดดมาแต่บ่ายจากที่ออกไปคุ้ยเขี่ยจากกองขยะอันป็นกิจวัตรที่เธอทำมาตลอดหลายสิบปี
“หนูหิว...มีอะไรกินบ้างละจ้ะ” สายใจตอบลูกสาวบบไปที “ไม่มี”
“เอ็งก็ไปขอแม่ชีที่วัดท่านซิ...รักมากนิเห็นไปหากันตลอดเลยไม่ใช่หรอ” เด็กน้อยได้ยินคำตอบเช่นนั้นจึงนิ่งเงียบ เพราะการที่แม่สายใจตอบเช่นนี้นั้นก็หมายความว่าต้องไปขอหาอาหารของวัดเข้ามากินอีกเหนื่อยใจป่วยการไปเปล่าที่จะมาเรียกปลุกแม่ที่เป็นอย่างที่เห็น แต่เด็กน้อยก็ยังมองโลกในแง่ดีว่าเธอก็มีแม่ แม้จะไม่เอาเรื่องเอาราวอะไรเท่าไรก็ตามอย่าน้อยก็ชี้ทางสว่างที่ทำให้ท้องไม่ต้องร้อง จ๊อก จ๊อก แต่น่าเห็นใจผู้เป็นแม่เช่นกันบ่อยครั้งที่เธอไม่สามารถหาเงินได้ ด้วยการที่ขยะนั้นไม่พอเก็บ เนื่องด้วยบริเวณที่เธอหาของเก่าเก็บขยะขายอยู่นั้นมีเพื่อนร่วมอาชีพมากมายนัก เป็นเหตุให้สายใจต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่หรือบ้างครั้งตีสาม เพื่อไปหาขยะที่พอจหาได้มีราคาก่อนคนอื่นจำพวก กระป๋อง ขวดน้ำ ขวดแก้ว พลาสติกเอย
แม้แต่วันที่ฝนตกสายใจจำต้องออกไปเก็บขยะช่วงเวลาเดียวกัน บางครั้งทำให้ล้มป่วยนอนซมด้วยพิษไข้จาหกที่ไปต่างฝนเป็นเวลานาน ไม่มีเงินซื้อข้าวปลาอาหารหรือยารักษาโรค สายใจจะให้ลูกสาวไปขอข้าวที่วัดพระหรือแม่ชีที่อาศัยอยู่ถัดออกมาหน่อยอยู่เป็นประจำ รวมไปถึงยารักษาโรคด้วย
ผ่านไปนานช้อนกลับมาพร้อมกับข้าวใส่ถุงแกง แกงถุงต่างๆ ที่ใส่ถุงมามากมาย อาหารพวกนี้ทางวัดได้มาจากการใส่บาตรของคนทั่วไปตอนที่พระออกไปบิณฑบาต
สายใจลุกขึ้นจากพื้นบ้านที่เป็นไม้จากที่นอนมานานหลายชั่วโมง
หงส์ปีกหัก เกริ่น
ตอนที่ หนึ่ง
ในย่านชุมชนแออัดใจกลางเมือง ไม่น่าเชื่อว่ายังมีความยากจนอันค้นแค้นของคนยากจนชนิดที่เรียกได้ว่าลำบากสาหัสสากันหาเช้ากินค่ำ ที่แทบไม่พอเลี้ยงปากท้องของตนเอง แม้ว่าค่าแรงขั้นต่ำจะสามร้อยบาท แต่ในสังคมนี้ก็ยังมีคนที่มีอาชีพที่ไม่มีการกำหนดค่าแรงที่แน่นอนทำไปวันๆ ให้พอเพียงเพื่อประทังชีวิตได้เงินมาวันหนึ่งๆ อย่างสายใจที่เก็บขยะและของเก่าขายกินวันหนึ่งได้เงินมาเพียงไม่กี่บาท ไหนยังต้องเลี้ยงลูกที่เกิดมาร่วมชะตากรรมอีกหนึ่งคน ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการหาเศษขยะและของเก่า
“โอ้ย...ลำบากจริงโว้ย ชีวิตนี้กว่าจะได้เงินมาแต่ละบาทแต่ละสตางค์เก็บแทบตายได้มาเท่านี้” พลางดูธนบัตรสีแดงในมือสามใบที่ไม่รู้ว่าจะพอให้กินอย่ประทังชีวิตไปวันๆ ของสองแม่ลูกยาจกคู่นี้
“แล้วเอ็งจะไปทำมาหากินอะไร...ความรู้ก็ไม่มี...ผัวติดคุกหัวโต...มีลูกเด็กอีกตั้งคน” หญิงมีอายุคู่สนทนาและร่วมอาชีพเดียวกันกล่าวไปพลางเอาเท้าหยีบขวดน้ำอัดลมพลาสติกที่คุ้นเก็บได้ในถังขยะ
“ฉันบ่นอย่างงี้ทุกวันยังไม่ชินเองหรอพี่” สายใจหันไปพูดใส่ทำหน้ายิ้มแย้ม
“ชินน่ะมันชินอยู่หรอก...แต่เอ็งนะอีสายใจ ข้าได้ยินเอ็งบ่นอย่างงี้ตลอดว่าเงินไม่พอ เงินไม่พอ...เอ็งก็เอาเงินที่ไปเข้าบ่อนเล่นไพ่พนันของเอ็งเอามาเก็บออมมันไม่ดีกว่าหรือไงให้มันเพราๆ บ้างเถอะ” ยายเข่งพูดแบบทีเล่นทีจริง
ยายเข่งยังเตือนอีก “เดี๋ยวก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่เห็นลูกมันได้ดิบได้ดีหรอก”
สายใจที่นิ่งฟังอยู่นาน และยังใคร่คิดตามด้วยย้อนไปว่า “ฉันบ่นนิดเดียว” ทำมือจีบตาม “พี่เทศน์ฉันยังกับเทศน์มหาชาติ”
สายใจนิ่งคิดอีกครู่ “ไอ้ฉันมันความรู้น้อย...ฉันก็อยากส่งเสริมให้นังช้อนมันได้เรียนให้มันเป็นเจ้าคนนายคนอย่างคนอื่นเขา แต่จะให้ทำไงได้ไอ้เรามันมีแค่นี้ให้มันเรียนเท่าที่แม่จนๆ อย่างฉันจะมีปัญญาหาได้...เท่าไหน เท่านั้น” แม่คนเดิมกล่าวเสริมอีก
“ไอ้ช้อนมันหัวไม่ค่อยดี...ตั้งแต่มันเรียนมาเนี่ยนะมันสอบได้แต่เลขสองตัวไม่เคยได้เลขตัวเดียวอย่างลูกพี่นิ...อีกคนลูกนังหมอนอาหารตามสั่ง” ร้านอาหารตามสั่งนังหมอนหรือน้าหมอนที่เด็กๆ ในชุมชนแออัดหรือสลัมกลางกรุงรู้จักดีในความจิตใจดีมีเมตตาหลายครั้งที่สายใจหรือใครหลายมักไปซื้อ จะเรียกให้ถูกบอกว่าไปเชื่อของดีกว่าสำหรับสายใจ ของที่ร้านนี้มิได้ขายแต่อาหารตามสั่ง แต่ยังเปิดร้านโชห่วยให้บริการคนในชุมชนด้วย
“ลูกยัยหมอนวันๆ ไม่เห็นมันทำอะไรป็นชิ้นเป็นอัน มันยังเรียนดีสอบได้เลขขตัวเดียวตลอด...ยังว่าและมันเรียนพิเศษด้วยสมัยนี้...ไอ้ช้อนฉันอย่าหวังเลย” ถอนหายใจพูดก่อนจะโดนยายเข่ง
“เอานั้นมันลูกเขา...ลูกเราเอ็งบอกอยู่นิว่าจะส่งเสียมันสุดความสามารถขของเอ็งนิ...อะไรเมื่อกี้นี้เอ็งยังพูดอยู่เลย” ยายเข่งย้อนมา
“แม่...แม่” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบ ผิวคล่ำ ตาโตหน้าคมเนื้อตัวดูมอมแมมหลังจากการไปวิ่งเล่นอยู่กับ ฉงน เพื่อนต่างเพศห้าวเป้งสุดรัก กว่าเด็กน้อยจะกลับมาก็เกือบจะพลบค่ำ แววตาอันใสซื่อยังคงเรียนมารดาที่ยังคงนอนงัวเงียนไม่รู้ตื่น แต่เมื่อตื่นเท่านั้นและ
“จะเรียนอะไรนักหนาวะ...ข้าจะนอน” สายใจเพลียแดดมาแต่บ่ายจากที่ออกไปคุ้ยเขี่ยจากกองขยะอันป็นกิจวัตรที่เธอทำมาตลอดหลายสิบปี
“หนูหิว...มีอะไรกินบ้างละจ้ะ” สายใจตอบลูกสาวบบไปที “ไม่มี”
“เอ็งก็ไปขอแม่ชีที่วัดท่านซิ...รักมากนิเห็นไปหากันตลอดเลยไม่ใช่หรอ” เด็กน้อยได้ยินคำตอบเช่นนั้นจึงนิ่งเงียบ เพราะการที่แม่สายใจตอบเช่นนี้นั้นก็หมายความว่าต้องไปขอหาอาหารของวัดเข้ามากินอีกเหนื่อยใจป่วยการไปเปล่าที่จะมาเรียกปลุกแม่ที่เป็นอย่างที่เห็น แต่เด็กน้อยก็ยังมองโลกในแง่ดีว่าเธอก็มีแม่ แม้จะไม่เอาเรื่องเอาราวอะไรเท่าไรก็ตามอย่าน้อยก็ชี้ทางสว่างที่ทำให้ท้องไม่ต้องร้อง จ๊อก จ๊อก แต่น่าเห็นใจผู้เป็นแม่เช่นกันบ่อยครั้งที่เธอไม่สามารถหาเงินได้ ด้วยการที่ขยะนั้นไม่พอเก็บ เนื่องด้วยบริเวณที่เธอหาของเก่าเก็บขยะขายอยู่นั้นมีเพื่อนร่วมอาชีพมากมายนัก เป็นเหตุให้สายใจต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่หรือบ้างครั้งตีสาม เพื่อไปหาขยะที่พอจหาได้มีราคาก่อนคนอื่นจำพวก กระป๋อง ขวดน้ำ ขวดแก้ว พลาสติกเอย
แม้แต่วันที่ฝนตกสายใจจำต้องออกไปเก็บขยะช่วงเวลาเดียวกัน บางครั้งทำให้ล้มป่วยนอนซมด้วยพิษไข้จาหกที่ไปต่างฝนเป็นเวลานาน ไม่มีเงินซื้อข้าวปลาอาหารหรือยารักษาโรค สายใจจะให้ลูกสาวไปขอข้าวที่วัดพระหรือแม่ชีที่อาศัยอยู่ถัดออกมาหน่อยอยู่เป็นประจำ รวมไปถึงยารักษาโรคด้วย
ผ่านไปนานช้อนกลับมาพร้อมกับข้าวใส่ถุงแกง แกงถุงต่างๆ ที่ใส่ถุงมามากมาย อาหารพวกนี้ทางวัดได้มาจากการใส่บาตรของคนทั่วไปตอนที่พระออกไปบิณฑบาต
สายใจลุกขึ้นจากพื้นบ้านที่เป็นไม้จากที่นอนมานานหลายชั่วโมง