นายอานันท์ ปันยารชุน นายกกรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ ปิดงานสัมนา "Improving Corporate Governance :Key to Advancing Thailand" ซึ่งจัดโดยสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ว่า การจัดการอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนตัวประเมินว่าอยู่ในระดับที่ "ใช้ได้" แต่หลังจากนี้ก็ควรจะมีการบริหารจัดการต่อยอดจากสิ่งที่ทำ เพื่อช่วยให้อีก 3 เดือนข้างหน้า เกิดการพัฒนาประเทศไทยไปในทิศทางที่ถูกต้อง
โดยได้เสนอให้คสช. ปรับโครงสร้างการปกครองเพื่อไม่ให้เกิดการใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จ (absolute power) เพราะไม่มีใครสามารถมั่นใจได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป รวมไปถึงให้ คสช. นำบุคคลภายนอก ที่ไม่ใช่พรรคพวกและยังไม่เคยปฏิบัติงานร่วมกันเข้ามาร่วมบริหาร ซึ่งการแบ่งอำนาจดังกล่าวจะทำให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงาน ไม่เกิดปัญหาอย่างเช่น กรณีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งไม่มีการจัดทำบัญชี ไม่มียอดบันทึกการจัดเก็บข้าว ปริมาณการขายข้าวที่มีความชัดเจน
"คนไทย เกลียด โกรธ อาฆาตกันมานาน จนต้องทำให้มีการปิดเมืองไทยเพื่อซ่อมแซม แต่ก็ไม่ควรจะปิดนานนัก เพราะจะเกิดการหลงอำนาจ ผมจึงเห็นว่าต้องหาวิธีแบ่งอำนาจออกมา และในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้ ผมหวังว่าเราจะไม่เดินทางผิด และย้อนตัวเองกลับไปสู่ทางตันอีกครั้งหนึ่ง นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว เป็นโอกาสที่ไม่ได้ชี้ถึงผลที่จะเกิดกับตัวเราอย่างเดียว แต่หมายถึงอนาคตของลูหลานของเราด้วย" นายาอนันท์กล่าว
นายกกรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ ยังกล่าวให้สัมภาษณ์รอบนอกสัมนา เพิ่มว่า ขณะนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะมีการปราบปรามการคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าการฉ้อราษฎร์บังหลวง การโกงกินเป็นโรคร้ายต่อไทยมานานแล้ว ซึ่งระยะหลังก็มากขึ้นจนน่ากลัว ทั้งมาจากข้าราชการ การเมือง ขณะเดียวกันศีลธรรม จริยธรรมก็แทบไม่มี ทำให้นับวันจะยิ่งลดคุณค่าของชีวิตและสังคมลงจนไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก
ทั้งนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ สังคมไทยหลาย 10 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจังทั้งการป้องปรามและเอาผิดด้านกฎหมายเพื่อให้ปัญหาเหล่านี้เบาบางลงเช่น สิงคโปร์ที่เคยเป็นประเทศที่มีคอร์รัปชั่นสูง ปัจจุบันกลับลดน้อยลง สวนทางกับประเทศไทยที่การคอรัปชั่นกลับเพิ่มขึ้น ดังนั้นทุกภาคส่วนทั้งรัฐบาล เอกชน และประชาชนต้องร่วมกันเปลี่ยนแปลงทัศนคติให้ตระหนักรู้อะไรผิดอะไรถูก ไม่ใช่เก่งแต่สามารถโกงได้
"ที่ผ่านมาไม่มีมาตรการแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม แม้มีกฎหมายก็ใช่ว่าจะมีความเป็นธรรมเสมอไป ดังนั้น กฎหมายอย่างเดียวจังไม่สามารถปราบคอรัปชั่นได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือ การอบรมปลูกฝังลูกหลานให้เกรงกลัวต่อกฎหมาย สั่งสอนให้คนมีหิริโอตัปปะ ละอายต่อบาป เริ่มที่จิตสำนึกของคนเป็นพื้นฐาน เริ่มจากผู้มีอำนาจที่ต้งทำตัวเป็นตัวอย่าง แม้บรรยากาศในการปราบปรามคอร์รัปชั่นดีขึ้น แต่ยังไม่เพียงพอเพราะยังไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง แต่ระหว่างนี้คนไทยต้องอยู่อย่างมีความหวัง" อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าว
ปล. พูดดีจัง ผู้ดีรัตนโกสินทร์ อยากหัวเราะ 5555
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1403623896
"อานันท์ ปันยารชุน" วัดผลทางรอดไทยใน 3 เดือน ปลุกผู้นำต้านโกง
นายอานันท์ ปันยารชุน นายกกรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ ปิดงานสัมนา "Improving Corporate Governance :Key to Advancing Thailand" ซึ่งจัดโดยสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ว่า การจัดการอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนตัวประเมินว่าอยู่ในระดับที่ "ใช้ได้" แต่หลังจากนี้ก็ควรจะมีการบริหารจัดการต่อยอดจากสิ่งที่ทำ เพื่อช่วยให้อีก 3 เดือนข้างหน้า เกิดการพัฒนาประเทศไทยไปในทิศทางที่ถูกต้อง
โดยได้เสนอให้คสช. ปรับโครงสร้างการปกครองเพื่อไม่ให้เกิดการใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จ (absolute power) เพราะไม่มีใครสามารถมั่นใจได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป รวมไปถึงให้ คสช. นำบุคคลภายนอก ที่ไม่ใช่พรรคพวกและยังไม่เคยปฏิบัติงานร่วมกันเข้ามาร่วมบริหาร ซึ่งการแบ่งอำนาจดังกล่าวจะทำให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงาน ไม่เกิดปัญหาอย่างเช่น กรณีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งไม่มีการจัดทำบัญชี ไม่มียอดบันทึกการจัดเก็บข้าว ปริมาณการขายข้าวที่มีความชัดเจน
"คนไทย เกลียด โกรธ อาฆาตกันมานาน จนต้องทำให้มีการปิดเมืองไทยเพื่อซ่อมแซม แต่ก็ไม่ควรจะปิดนานนัก เพราะจะเกิดการหลงอำนาจ ผมจึงเห็นว่าต้องหาวิธีแบ่งอำนาจออกมา และในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้ ผมหวังว่าเราจะไม่เดินทางผิด และย้อนตัวเองกลับไปสู่ทางตันอีกครั้งหนึ่ง นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว เป็นโอกาสที่ไม่ได้ชี้ถึงผลที่จะเกิดกับตัวเราอย่างเดียว แต่หมายถึงอนาคตของลูหลานของเราด้วย" นายาอนันท์กล่าว
นายกกรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ ยังกล่าวให้สัมภาษณ์รอบนอกสัมนา เพิ่มว่า ขณะนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะมีการปราบปรามการคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าการฉ้อราษฎร์บังหลวง การโกงกินเป็นโรคร้ายต่อไทยมานานแล้ว ซึ่งระยะหลังก็มากขึ้นจนน่ากลัว ทั้งมาจากข้าราชการ การเมือง ขณะเดียวกันศีลธรรม จริยธรรมก็แทบไม่มี ทำให้นับวันจะยิ่งลดคุณค่าของชีวิตและสังคมลงจนไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก
ทั้งนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ สังคมไทยหลาย 10 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจังทั้งการป้องปรามและเอาผิดด้านกฎหมายเพื่อให้ปัญหาเหล่านี้เบาบางลงเช่น สิงคโปร์ที่เคยเป็นประเทศที่มีคอร์รัปชั่นสูง ปัจจุบันกลับลดน้อยลง สวนทางกับประเทศไทยที่การคอรัปชั่นกลับเพิ่มขึ้น ดังนั้นทุกภาคส่วนทั้งรัฐบาล เอกชน และประชาชนต้องร่วมกันเปลี่ยนแปลงทัศนคติให้ตระหนักรู้อะไรผิดอะไรถูก ไม่ใช่เก่งแต่สามารถโกงได้
"ที่ผ่านมาไม่มีมาตรการแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม แม้มีกฎหมายก็ใช่ว่าจะมีความเป็นธรรมเสมอไป ดังนั้น กฎหมายอย่างเดียวจังไม่สามารถปราบคอรัปชั่นได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือ การอบรมปลูกฝังลูกหลานให้เกรงกลัวต่อกฎหมาย สั่งสอนให้คนมีหิริโอตัปปะ ละอายต่อบาป เริ่มที่จิตสำนึกของคนเป็นพื้นฐาน เริ่มจากผู้มีอำนาจที่ต้งทำตัวเป็นตัวอย่าง แม้บรรยากาศในการปราบปรามคอร์รัปชั่นดีขึ้น แต่ยังไม่เพียงพอเพราะยังไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง แต่ระหว่างนี้คนไทยต้องอยู่อย่างมีความหวัง" อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าว
ปล. พูดดีจัง ผู้ดีรัตนโกสินทร์ อยากหัวเราะ 5555
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1403623896